นี่คือ ROG Phone 7 Ultimate มือถือเล่นเกมกับสเปกที่แรงที่สุดในปฐพีแอนดอยด์ มันจะเล่นเกมได้นิ่งจนไม่แลคซักวิจริงไหม เดี๋ยววันนี้แบไต๋รีวิวให้เอง

ดีไซน์

ดีไซน์ของ ROG Phone 7 Ultimate นี้ คือมือถือที่ตะโกน ‘เกมเมอร์’ ทุกจุดของเครื่องเลยก็ว่าได้ ตั้งแต่แกะกล่อง ยันดีไซน์ของตัวเครื่องที่มองไกล ๆ ก็รู้ว่าของเกมเมอร์ มีลาย ROG ตรงนี้, 07 ตรงนี้, โลโก้ Republic of Gamers, ลวดลายบนฝาหลังสี Storm White นี้ และจอหลัง ROG Vision ที่แสดงสถานะทั้งเปิดจอ, ชาร์จแบตฯ, เข้าเกม นี่ก็ตะโกน ‘เกมเมอร์’ เหมือนกัน

หรืออย่าง AirTrigger ฟีเจอร์ประจำของ ROG Phone เองก็อยู่ที่เดิม เพิ่มเติมคือ ASUS เขาพัฒนามาเพิ่มให้สามารถใช้งานได้ 9 แบบแล้ว, พอร์ต USB-C ที่ให้มา 2 พอร์ต (ด้านข้างเป็นเวอร์ชัน 3.1 ข้างล่างเป็น 2.0), ช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร นี่ก็ดีไซน์มาเพื่อเกมเมอร์เหมือนกัน

อีกอย่างที่คล้ายก็คือแผ่นดำ ๆ ตรงนี่ยังสามารถติดพัดลม AeroActive Cooler ได้ (แถมมาให้ในกล่องแล้วด้วย !) และมีช่อง AeroActive Portal เปิดรูให้เป่าลมผ่านฟินทองแดงเข้า Vapor Chamber ระบายความร้อนของบอร์ดได้โดยตรง ซึ่งเป็นแบรนด์เดียวในตลาดที่ทำแบบนี้ได้นะ เหมือนซิงก์ระบายความร้อนซีพียูบนคอมเลย! และส่วนที่เพิ่มเข้ามาคือกันน้ำด้วย ! ผ่านมาตรฐาน IP54 แล้ว แต่ยังเป็นระดับที่เรียกว่ากันละอองน้ำเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้นนะ เช่นเวลาฝนเริ่มตกแล้วโดนฝนนิดหน่อย ก็รีบเช็ด อันนี้ยังพอได้ แต่ไม่ได้กันถึงขนาดว่าเอาเครื่องไปลงน้ำได้นะ และตัวพัดลม เพราะตอนนี้เขาไปรุ่นที่ 7 แล้ว รุ่นใหม่นี่เขาไม่ได้ปรับแค่เรื่อง Air Flow ให้ดีขึ้น ด้วยการเพิ่มขนาดพัดลม, พัฒนาช่องเป่าลมเข้าบอร์ดให้ตรงมากขึ้น มีช่องให้เป่าลมเย็นเข้าจอ และเป่าลมร้อนออกด้านข้างนะ

แต่พัดลมรุ่นใหม่นี้ทำหน้าที่เป็น Subwoofer ให้กับตัวเครื่อง เหมือนเป็นลำโพงอีกตัวเลยก็ว่าได้ ซึ่งบอกเลยว่าใช้งานได้จริง เสียงจากลำโพงตัวเครื่องที่ให้มาเป็นสเตอริโอซ้าย-ขวาของตัวเครื่อง (แนวนอน)
แล้วพอติดพัดลมเข้าไป จะยิ่งให้เสียงเบสที่แน่นกว่าเดิมได้อีก โดยไม่ได้กินแบตเตอรี่มากเท่าที่เคยเจอในรุ่นที่แล้ว ซึ่งจากที่ลองใช้มา การจับถือทำได้ค่อนข้างดีขึ้นมากเลย แม้ตัวพัดลมจะใหญ่ขึ้น แต่ขนาดโดยรวมเล็กลง แถมยังได้ซับวูฟเฟอร์ในตัวมาด้วย เล่นเกมกระฮึ่มกว่าเดิมแน่นอน ต้องบอกก่อนนะว่าพัดลม AeroActive Cooler 7 ตัวนี้ทางเอซุสประเทศไทยจะไม่ได้มีขายแยกต่างหากนะ ใครอยากได้แบบมีพัดลมก็ต้องเลือกซื้อ ROG Phone 7 Ultimate รุ่นนี้เท่านั้น

อีกเรื่องที่จัดมาแน่นเหมือนเดิมก็คือ Game Genie หรือซอฟต์แวร์ครอบทับเกม ที่ทำมาเพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ ทั้งเปิด X-Mode เพื่อ Overclock ทั้ง CPU และการ์ดจอให้เล่นเกมได้ดีขึ้น, แสดงการทำงานของ CPU/GPU, อุณหภูมิของตัวเครื่อง, สถานะแบตเตอรี่, และเฟรมเรตของเกมที่กำลังเล่น และมีการตั้งค่าอื่น ๆ เพื่อการเล่นเกมโดยเฉพาะ ถือว่ามีลูกเล่นมากกว่าเดิม เพื่อให้การเล่นเกมของเราสะดวกมากที่สุด เกิดความหน่วงน้อยที่สุด ไม่ว่าจะจากเครื่อง จากเน็ต หรือจากการจับถือก็ตาม

สเปก

แต่แน่นอนว่าการจะเป็นสมาร์ตโฟนที่เล่นเกมได้ดี สเปกภายในนี่แหละที่สำคัญ เพราะงั้นเราลองดูสเปกของ ROG Phone 7 Ultimate ที่เรียกว่า ‘No Compromise’ หรือจัดเต็มไม่ประนีประนอมใด ๆ เลย ทั้ง ชิปเซ็ต Snapdragon 8 Gen 2 ตัวท็อปสุดของฝั่งแอนดรอยด์ในเวลานี้, RAM 16 GB LPDDR5X, ROM ขนาด 512 GB UFS 4.0, รองรับ 5G Stand Alone, WiFi 6 ซึ่งจริง ๆ รองรับไปถึง 6E และ 7 แล้วแต่ในไทยยังใช้ไม่ได้ ส่วน Bluetooth ก็เป็นเวอร์ชัน 5.3 แล้ว

รวมถึงหน้าจอ AMOLED ขนาด 6.78 นิ้ว ความละเอียด 2448 x 1080 พิกเซล อัตรา Refresh Rate 165 Hz แบบแบนของซัมซุงที่บอกตรง ๆ ว่าทัชลื่นมากเพราะให้ Touch Sampling 720 Hz จะใช้งานไถโซเชียลทั่วไปหรือเล่นเกมก็ไปตามนิ้วแน่นอน

ส่วนระบบระบายความร้อน ROG ก็ใช้ ‘GameCool 7’ ที่มีการปรับดีไซน์ในบอร์ดใหม่ ให้ชิปเซ็ตให้อยู่ตรงกลางเครื่อง เอาแบตไว้ขนาบข้างซ้าย-ขวาแทน และใช้แผ่นระบายความร้อน Rapid-Cycle Vapor Chamber ที่ถูกออกแบบเป็นพิเศษ ให้ของเหลวใน Vapor Chamber ไหลเป็นรูปตัว Y เข้ามาระบายความร้อนบนชิปเซ็ต เพื่อให้เครื่องไม่ร้อนเวลาเล่นเกมนาน ๆ หรือ Overclock ที่แม้จะไม่ต่อพัดลม ก็จะไม่ร้อนมาก ซึ่งตรงนี้เดี๋ยวเรามาดูผลจากการเล่นเกมจริงกัน แต่ก่อนหน้านั้น เรามาลองดูผลคะแนน (แบบไม่ติดพัดลม) กันก่อน Geekbench 6 (เปิด X Mode) ได้คะแนน Multi Core 5,556 คะแนน
3D Mark Wildlife Stress Test ได้คะแนนสูงสุด 13,316 คะแนน และต่ำสุดที่ 7,568 คะแนน นิ่ง 56.8% และอุณหภูมิสูงสุดที่ 41 องศาเท่านั้น !

ซึ่งถ้าติดพัดลมแล้ว การทดสอบ 3D Mark Wildlife Stress Test แบบเปิด X Mode ได้คะแนนสูงสุด 13,312 คะแนน และต่ำสุดที่ 13,242 คะแนน นิ่งถึง 99.5% แต่อุณหภูมิจะสูงสุดที่ 44 องศา ถือว่าเย็นกว่าในรุ่น 6D Ultimate ตอนติดพัดลม 4 องศาเลย นี่คือความแตกต่างระหว่างการใช้และไม่ใช้พัดลม ดีกว่ายังไง

ดูผลกันเยอะแล้วมาลองลงสนามจริงกันดูบ้าง ในเกม Genshin Impact ปรับสุดที่ 60FPS แบบเปิด X Mode ก็สามารถเล่นได้เต็ม 60 FPS ลื่น ๆ เลย ไม่ว่าจะเล่นนานแค่ไหนก็ตาม แถมอุณหภูมิเท่าที่ลองเล่นมา ยังไม่เกิน 41 องศาด้วย ซึ่งถ้าติดพัดลมก่อนเข้าเล่น จะทำให้รักษาอุณหภูมิเครื่องที่ประมาณ 35 องศาได้

ส่วนในเกม RoV ที่ปรับสุดทุกอย่าง และเฟรมเรตสูง ก็เล่นได้เต็ม ๆ 60 FPS นิ่ง ๆ แม้จะเจอไฟท์เยอะน้อยก็ได้หมดเลย อาจจะ Overkill ไปหน่อย แต่เอาจริง นักกีฬา Esport ก็ต้องการเครื่องที่สามารถเล่นได้แบบไม่กระตุกซักวินาทีแบบนี้แหละ

แบตเตอรี่

เรื่องแบตเตอรี่เองก็ให้มาเยอะระดับ 6,000 มิลลิแอมป์ โดยวางออกมาเป็น 2 ก้อน ก้อนละ 3,000 มิลลิแอมป์แบบสมดุลซ้าย – ขวา เวลาเล่นแล้วจะไม่ร้อนที่มือข้างใดข้างหนึ่ง ซึ่งก็ยังมาพร้อมกับระบบชาร์จแบตเตอรี่ ROG Hyper Charge 65 วัตต์ แต่ถ้าชาร์จด้วย USB-PD จะขึ้นชาร์จไวเฉย ๆ ไม่ได้เข้าเต็ม 65W นะ

ซึ่งถามว่า 6,000 มิลลิแอมป์นี่เยอะขนาดไหน เยอะกว่ามือถือเรือธงทุกค่ายแน่นอน คือถ้าชาร์จเต็มตั้งแต่ 9.30 น. แล้วใช้ทั่วไปแบบไม่เล่นเกมจนถึงเที่ยงคืน ถ้า Screen On ซัก 3 ชั่วโมง แบตเตอรี่จะเหลือ ‘72%’ ใช่ 72% คือถ้าไม่เล่นเกมนี่สามารถข้ามวันได้สบาย ๆ แน่นอน แต่ถ้าเล่นเกม Genshin Impact แบบติดพัดลมต่อเนื่อง 15 นาที แถมเปิด X Mode ไปด้วย แบตเตอรี่จะลดไป 9%

กล้อง

เราอาจจะเห็นว่าสมาร์ตโฟนเกมมิงเหนือกว่าสมาร์ตโฟนเรือธงทั่ว ๆ ไปในหลาย ๆ ด้านมาก แต่ก็ต้องมีสิ่งที่แลกไปด้วย นั่นคือเรื่องกล้อง ที่ว่ากันตรง ๆ ก็ให้เลนส์กล้องหลังที่เท่ากับรุ่น ROG Phone 6D Ultimate เป๊ะ ๆ คือ 50 ล้าน, เลนส์กว้าง 13 ล้าน และมาโคร 5 ล้าน กับกล้องหน้าที่เพิ่มจาก 12 ล้านเป็น 32 ล้านแทน

ซึ่งเอาจริง ๆ ตอนแรกก็คาดหวังว่ากล้องจะธรรมดาเหมือนกับรุ่นก่อน แต่ภาพที่ออกมาก็มีดีขึ้นอยู่นะ ให้สีที่ดีขึ้น แต่ยังแพ้สมาร์ตโฟนเรือธงในด้านการจับวัตถุ การเกลี่ยแสง และการจัดการกับสภาพแสงที่ต่างกันอยู่ คือพอเจอที่มืดหน่อย Noise ก็มาแล้ว ว่ามีไว้เพื่อใช้ทั่ว ๆ ไป อันนี้ยังพอไปได้ ในด้านวิดีโอที่ถ่ายได้ 4K 60 FPS

โดยสรุปแล้ว สมาร์ตโฟนเกมมิงแบบ ROG Phone 7 Ultimate ก็เหมือนกับรถแข่งแหละ ที่มีฟีเจอร์ต่าง ๆ เข้ามามากมากยุบยับไปหมด ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะอยากขับรถแข่งขนาดนั้น แต่ถ้าคุณเป็นคนที่แม้การเล่นเกมแล้วเจอแลคแค่วินาทีเดียวก็ตัดสินแพ้ชนะได้เลย ว่า ROG Phone 7 Ultimate นี้คือคำตอบของคุณ

ข้อสังเกต

ด้วยความที่ ROG Phone 7 Ultimate ออกแบบในหลาย ๆ ส่วนมาเพื่อเกมมิงโดยเฉพาะ ทำให้น้ำหนักตัวเครื่องที่แม้จะลดจาก 247 กรัมในรุ่น 6D Ultimate เหลือ 239 กรัมแล้ว แต่จากการถือใช้ทั่วไปมา ว่ายังค่อนข้างหนักอยู่ ถ้าใช้งานทั่วไปมือเดียวยังแอบรู้สึกเมื่อยได้อยู่ แต่ว่าไม่ลำบากเกินไปสำหรับสายเกมอย่างเราแน่นอน

ราคา

ROG Phone 7 Ultimate วางจำหน่ายในประเทศไทยอยู่ที่ราคา 42,990 บาท ! โดยแถมพัดลม AeroActive Cooler 7 มาให้ในกล่องแล้ว ไม่ต้องซื้อเพิ่ม

โดยจะมี ROG Phone 7 ที่เปิดตัวมาพร้อมกัน ซึ่งสเปกทุกอย่างจะเหมือนกับรุ่น Ultimate เลย ต่างแค่ไม่มีจอหลัง ROG Vision เป็นไฟ LED Aura RGB LED แทน, ไม่มีช่อง AeroActive Portal ให้พัดลมเป่าเข้าบอร์ด และไม่มีพัดลม AeroActive Cooler 7 แถมมาให้ โดยจะวางจำหน่ายที่ราคา 34,990 บาท

นอกจากนั้น ASUS ROG ยังได้ร่วมมือกับ DEVILCASE ให้เขาออกแบบเคสที่โชว์ลายบนฝาหลังเครื่อง รวมทั้ง Aura RGB LED ใน ROG Phone 7 และ ROG Vision บน ROG Phone 7 Ultimate เลย แต่เท่าที่ลองมา ใส่เคสแล้วติดพัดลมไม่ได้นะ ต้องถอดอยู่ โดยจะวางขายในราคา 990 บาท

ทั้งสองรุ่นนี้พร้อมวางจำหน่ายผ่านตัวแทนจำหน่ายของ ASUS ทั่วประเทศออนไลน์ออฟฟิเชียลของ ASUS ทุกช่องทาง รวมไปถึง AIS Shop และ AIS Online Store ตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย. 66 เป็นต้นไป