Our score
8.3Famicom Mini
จุดเด่น
- จำลองได้เหมือนกับเครื่องต้นฉบับ
- มีเกมให้ 30 เกม
- โหมดปรับภาพ
- Save ได้ทุกที่
จุดสังเกต
- สายคอนโทรลเลอร์สั้นมาก
- เพิ่มเกมไม่ได้
- ไม่มีหม้อแปลงมาให้
-
ภาพลักษณ์ภายนอก
9.0
-
เกมที่แถมมา
8.0
-
คุณภาพของสินค้า
8.5
-
ความคุ้มค่า
8.0
-
ภาพรวม
8.0
ช่วงเทศกาลปลายปีวงการเกมจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะทุกปีต้องมีการเปิดตัวเครื่องเกมคอนโซล รุ่นใหม่เช่น PS4 Pro ของ Sony แต่ปู่นินกลับสู้ด้วยการหยิบเอาเครื่องรุ่นคลาสสิกมาย่อส่วน มาขายใหม่ในชื่อ Famicom Mini (โซนญี่ปุ่น) หรือ NES Classic Edition ในอเมริกา ซึ่งแม้อาจดูธรรมดาแต่พอได้สัมผัสแล้วถือว่าการกลับมาของคอนโซลรุ่นคุณพ่อที่วางขายในยุค 80 มีอะไรดีกว่าที่คิด
แกะกล่องของแถมดูขาดไปหลายอย่าง
โดยในกล่อง Famicom Mini จะมี
- ตัวเครื่อง Famicom Mini พร้อม 2 จอยเกม
- สาย HDMI ขนาดมาตรฐาน
- สาย USB แบบธรรมดา ไว้ใช้จ่ายไฟเข้าเครื่องเกม
- คู่มือ (ภาษาญี่ปุ่น) พร้อมใบรับประกัน
และในโซนญี่ปุ่นจะไม่มีการแถมหม้อแปลงไฟมาให้ แต่คุณสามารถใช้การจ่ายไฟผ่าน ช่อง USB ของ ทีวีได้เลย หรือจะใช้หม้อแปลงไฟ USB ทั่วไปมาแทน หรือจะใช้ Power Bank มาใช้แทนก็ทำได้ เรียกว่าตรงจุดนี้ไม่มีปัญหาแม้ว่ามันจะไม่แถมหม้อแปลงมาให้ และถือว่าสะดวกกว่าด้วยซ้ำ ส่วนช่องเสียบสาย USB และ HDMI จะอยู่ด้านหลังของตัวเครื่องเกม Famicom Mini
ตัวเครื่อง Famicom Mini มีขนาดเล็กมาก
ก่อนที่จะได้เครื่องมาลองรีวิว แค่เห็นในคลิปหรือรูปที่ปู่นินปล่อยมาก็คิดว่ามันคงเล็กอยู่แล้ว และพอได้สัมผัสของจริงก็เป็นไปตามที่คาดว่ามันเล็กจิ๋วจริงๆ ขนาดที่วางบนฝ่ามือได้เลย บนตัวเครื่องด้านบน ไม่มีอะไรเป็นพิเศษนอกจากปุ่ม ปิดเปิดเครื่อง และ ปุ่มรีเซ็ตแบบต้นฉบับที่ใช้ได้จริงๆ เหมือนกับของเดิม แต่ฝาปิดช่องใส่ตลับเกมไม่สามารถเปิดออกมาได้ (เพราะเกมใส่ตลับเกมเพิ่มไม่ได้) รวมทั้งช่องเสียบอุปกรณ์เสริมอย่างจอย Hori ก็ดึงออกมาไม่ได้เช่นกัน
คอนโทรลเลอร์ มีขนาดเล็กมาก
แต่นอนว่าประเด็นหลักของเครืองเกมขนาดจิ๋วคือ คอนโทรลเลอร์ ที่มีขนาดเล็กตามเครื่องเกมคอนโซลด้วย และหากมองแค่ภาพมันไม่น่าจะเล่นถนัด และยิ่งรุ่น Famicom Mini ไม่ได้มีขนาดจอยเกมเท่ากับรุ่นปรกติเหมือนกับ NES Classic Edition แต่พอได้เล่นจริงก็ถือว่ายังคงเล่นได้ถนัดมือ เพราะปุ่มบนตัวจอยมีขนาดใหญ่แม้จะไม่เท่ากับรุ่นปรกติก็ตาม แต่ก็ถือว่ากดได้สะดวก โดยเฉพาะปุ่ม D-Pad บังคับทิศทาง และปุ่ม A , B ที่มีขนาดใหญ่ทำให้การเล่นเกมในยุค 8 Bit ที่ไม่ซับซ้อนทำได้ง่ายดายเหมือนกับต้นฉบับ
มีโหมดปรับภาพใหม่เอาใจทั้งรุ่นใหม่รุ่นเก่า
ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้คุณภาพและความละเอียดของหน้าจอ ทีวีเปลี่ยนไปดังนั้นการนำเกมคลาสสิกสมัยจอหลอดแก้ว มาเล่นบนจอ HD ต้องมีการเปลี่ยนแปลงปู่นินเลยจัด 3 โหมดที่ช่วยให้การเล่นดูดีมากขึ้นกว่าเดิมโดยแบ่งเป็น
- CRT Mode ซึ่งมีไว้ให้คอเกมรุ่นเก่าที่อยากสัมผัสประสบการณ์เดิมสมัยยังเด็กด้วยการจงใจทำให้ภาพดูไม่ชัดและเป็นเส้นๆเหมือนจอทีวีหลอดแก้วรุ่นเก่า
- 4:3 โหมดนี้จะปรับสัดส่วนหน้าจอให้เหมาะกับทีวีรุ่นใหม่ แม้ว่าภาพจะไม่เต็มจอก็ตาม(มีแถบดำด้านข้าง) แต่ดูดีและเป็นโหมดที่คิดว่าเหมาะกับการเล่นที่สุดแล้ว และแนะนำให้เล่นในโหมดนี้
- โหมด Pixel Perfect ที่จะปรับทุกเม็ดพิกเซล 8-Bit ให้คมชัดแบบสุดๆ แต่โหมดนี้จะมีสัดส่วนที่ไม่เต็มจอ และการที่มันคมชัดเกินไปอาจทำให้กราฟิกดูแปลกตาเพราะเราจะเห็นกราฟิกความละเอียดต่ำที่คมชัดจนมันดูไม่เหมือนเดิม
Save ได้ทุกที่ มือใหม่ก็เล่นได้
หลายเกมบน Famicom Mini อย่าง Zelda และ Final Fantasy 3 ต้องมีระบบ Save แต่บนเครื่องคอนโซลมินิ ทำได้เหนือกว่า เพราะคุณสามารถ Save เกมได้ทุกที่ ทุกเวลา และก็ง่ายดายเพียงแค่หากอยากหยุดเล่นก็กดปุ่ม รีเซ็ตเครื่อง ซึ่งบนเมนูหน้าจอจะมีกล้องสี่เหลี่ยมเล็กๆอยู่ด้านซ้ายล่างของหน้าจอ และเมื่อกดเข้าไปจะเลือก Save ได้ 4 ช่องต่อ 1 เกม และสามารถ Save ทับได้เรื่อยๆ ทำให้ไม่ว่าจะเป็นเกมแอ็คชั่น หรือ RPG คุณก็ Save ได้หมด แม้ว่าอาจไม่แปลกอะไรแต่ก็เป็นโหมดที่ควรจะมี
ความลื่นไหลของ เมนูเกม ที่สุดยอด
ความเสถียรของระบบเป็นส่วนหนึ่งที่น่าชมมาก เพราะผู้เขียนเองได้ลองหนักๆ เล่นเปลี่ยนเมนูไปมากอย่างรวดเร็ว ออกจากเกมกระทันหัน แต่ระบบเกมยังลงลื่นไหลไม่มีสะดุด อีกทั้งเมนูยังเข้าใจง่ายเพราะแบ่งออกเป็นช่องๆและมีภาพเกม รวมทั้งสัญลักษณ์แสดงเมนูเช่นการปรับแต่งทีวี ก็จะมีภาพเป็นรูปทีวีเล็ก ทำให้แม้มันจะเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมดคนไทยก็เข้าใจได้ง่าย ทำให้การเล่นเกมคลาสสิก ทั้ง 30 เกมทำได้อย่างลื่นไหลแบบไม่มีสะดุด
ข้อเสีย สายจอยเกมสั้นมากๆ
ข้อเสียหลักๆที่ทำให้การเล่นน่าหงุดหงิดมากมีเพียงอย่างเดียวคือ สายของคอนโทรลเลอร์ที่สั้นมากๆ อีกทั้งด้วยรูปแบบของเครื่อง Famicom ที่จอยเกมติดอยู่กับตัวเครื่องเปลี่ยนไม่ได้ และสายที่ให้มาก็พอๆกับต้นฉบับ แต่ด้วยรูปแบบการเล่นเกมในยุคนี้ที่เปลี่ยนไปเพราะทุกวันนี้คนเล่นบนทีวีขนาดใหญ่ 30-50 นิ้ว ถือเป็นเรื่องปรกติ ทำให้ตอนเล่นเราต้องนั่งติดกับจอ ลองคิดดูว่าการนั่งติดจอขนาด 50 นิ้วมันคงเล่นได้ไม่ถนัดแน่ แถมสาย HDMI ที่แถมมามีความยาวมาตรฐาน ทำให้การเล่นยิ่งลำบาก จนผู้เขียนเองต้องไปขุดเอาทีวี 20 นี้วมาเล่นแบบนั่งชิดติดหน้าจอแทน ดังนั้นหากใครจะซื้อ Famicom Mini ไปต่อทีวีใหญ่ๆคุณต้องการสาย HDMI และ สาย USB (ไว้จ่ายไฟ) ที่มีความยาวเป็นพิเศษเพื่อเล่นแน่นอน
สรุป Famicom Mini เหมาะกับใคร
หลังจากได้ลองเล่น Famicom Mini เหมาะมากสำหรับคอเกมรุ่นเก่าที่เคยเล่นต้นฉบับในยุค 80 เพราะมันเหมือนกับย้อนเวลาไปและทำให้เราสัมผัสความสนุกสมัยยังเป็นเด็ก ในรูปแบบที่ปรับให้เข้ากับยุคสมัยไม่ว่าจะเป็น การปรับภาพให้เหมะสมกับ LCD TV และยัง Save ได้ทุกที่ทุกเวลา เสียอย่างเดียวที่สาย คอนโทรลเลอร์ ที่สั้นมากเกินไปทำให้เล่นได้ลำบาก ซึ่งถ้าไม่แคร์ส่วนนี้ Famicom Mini เหมือนกับของที่ระลึกจากยุค 80 ที่ปู่นินส่งมาให้เป็นของขวัญปีใหม่สำหรับทุกคน
ขอบคุณร้านเกม Nadz Project ดิจิตอล เกตเวย์ ชั้น 2