Our score
9.8The Legend of Zelda: Breath of the Wild
จุดเด่น
- โลกกว้างๆที่ทำอะไรก็ได้
- เกมเพลย์สนุกมาก
- ความหลากหลายในเกม
- งานออกแบบงามๆ
- ปริศนาที่ซับซ้อน
จุดสังเกต
- ออกบน Switch ที่มีราคาแพงส่วน WiiU ก็ตกรุ่นไปแล้ว
- เฟรมเรตตกในบางฉาก
-
กราฟิก และงานออกแบบ
9.0
-
เกมเพลย์
10.0
-
ความแปลกใหม่
10.0
-
ความคุ้มค่า
10.0
-
ภาพรวม
10.0
หลังจากปล่อยให้คอเกมรอกันนานแสนนานในที่สุดเกมฟอร์มยักษ์อย่าง The Legend of Zelda: Breath of the Wild ก็ได้ออกมาให้คอเกมทั่วโลกได้สนุกไปกับ Zelda ภาคที่ผู้สร้างได้ยืนยันว่ามันเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของซีรีส์
โดย The Legend of Zelda: Breath of the Wild เป็นอีกหนึ่งเกมที่ใช้เวลาสร้างยาวนานมาก เพราะหลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในปี 2014 ก็ได้เลื่อนวันวางขายมาตลอด จนต้องมาออกพร้อมกัน 2 เครื่องทั้ง WiiU และ Nintendo Switch ทำให้มันยิ่งกลายเป็นจุดเด่นเพราะ Zelda คือเกมเดียวที่โดดเด่นบน Switch และหลังจากได้คะแนนเต็ม 10 จากหลายสำนักรีวิวทำให้มันกลายเป็นกระแสในทันที
และสัมผัสแรกภาพในเกมถือว่าน่าประทับใจมากๆ จริงอยู่ที่ความละเอียดสูงสุดบน Switch จะอยู่ที่ 900p และเฟรมเรต 30 FPS ที่มีอาการร่วงบ้าง แต่โดยรวมแล้วมันคืองานศิลปะที่ยอดเยี่ยม งานออกแบบฉากทำได้ดีเต็มไปด้วยรายละเอียด เช่นความละเอียดของพื้นผิวที่ทำได้ดีมีการตกกระทบของแสงเงาที่แตกต่างกันของช่วงเวลา และยังเคลื่อนไหวตามสภาพอากาศชนิดที่เกมยุคใหม่บางเกมยังไม่ได้ใส่ใจรายละเอียดขนาดนี้
ส่วนตัวละครในเกมสร้างออกมาโดยอิงการออกแบบมาจากการ์ตูนอนิเมะ ที่ดูดีมากแม้ว่าจะอยู่บนจอ HD ทีวี ก็ยังมีความคมชัดและจะดียิ่งกว่าเมื่อมาอยู่บนจอของ Switch ส่วนงานออกแบบโดยรวมเหมือนกับการ์ตูนจากค่าย จิบลิ อย่าง Princess Mononoke
ส่วนระบบเสียงถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่(มาก) ของซีรีส์ เพราะมีเสียงพากย์เป็นครั้งแรก(ไม่นับภาค Cdi และภาคเสริม) และถือว่าเป็นเสียงพากย์จากมืออาชีพที่มีคุณภาพมาก แต่อย่างไรก็ตาม Link ก็ยังคงเป็นใบ้เหมือนเดิม และจะมีเสียงพากย์เฉพาะฉากสำคัญเท่านั้นไม่ได้มีตลอดเวลา แต่ที่ต้องชมคือเพลงประกอบที่เลือกความเงียบพร้อมเสียงบรรยากาศ แต่เมื่อเจอศัตรูหรือสถานที่สำคัญดนตรีจะขึ้นแถมเป็นเพลงธีมที่ไพเราะติดหูระดับเดียวกับ Zelda ทุกภาคที่ผ่านมา
รูปแบบการเล่นของ Zelda: Breath of the Wild ถือความโดดเด่นที่สุดเพราะมันได้กลายร่างเป็นเกม Open World เต็มตัว ที่มีโลกกว้างมากๆอย่างไม่น่าเชื่อว่าปู่นินจะทำแนวโลกอิสระได้ยิ่งใหญ่ขนาดนี้ และแม้มันจะกว้างแต่ก็เต็มไปด้วยชีวิตชีวาและรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นสัตว์ป่า หมู่บ้าน และศัตรู ซึ่งหากคุณดูผ่านๆคงคิดว่าไม่มีอะไรแต่พอเล่นจริงๆแล้วมีรายละเอียดมากจนแม้แต่แมลงตัวเล็กๆก็ใส่เข้ามา
ส่วนองค์ประกอบของเกมถูกปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เพราะจากเดิม Link ต้องออกเดินทางหาดันเจี้ยนเพื่อได้อาวุธ หรือไอเทมใหม่และเดินทางหาที่ต่อไป แต่ใน Breath of the Wild นอกจาก Link ต้องออกทำเควส หลักแล้วอีกประเด็นคือเราต้องออกค้นหา Shrine ที่อยู่ตามจุดบนแผนที่โดยมันเป็นมินิดันเจี้ยนที่มีการแก้ปริศนาในฉากที่สั้นๆ เพื่อเก็บไอเทม และ Spirit orb
โดยมันมี Shrine ให้เล่นกันถึงหลักร้อย ทำให้แม้จะไม่ยาวแต่เมื่อเทียบปริมาณแล้วมันน่าทึ่งมาก และคุณต้องทำเพราะ Shrine เป็นเหมือนจุดวาร์ป และ Spirit orb ก็ใช้เอาไปแลกเป็นพลังหัวใจ หรือจะเลือกเพิ่มพลังความอึดได้ด้วย ซึ่งมีประโยชน์มากเวลาคุณวิ่งหนีศัตรู , ปีนเขา , ว่ายน้ำและอีกหลายอย่างที่ใช้ค่าพลังนี้
อีกทั้งปริศนาใน Shrine แม้จะไม่ยาวแต่ก็เต็มไปด้วยความซับซ้อนมาก และแทบจะไม่มีการบอกใบ้ ไม่เหมือนเกมรุ่นใหม่ที่แทบจะบอกทุกอย่าง และยังมีความหลากหลายมีทั้งการแก้ปริศนาโดยใช้ไอเทม หรือการใช้ระบบจับการเคลื่อนไหวของ Joy-con และยังมีศัตรูขั้นเทพที่รอท้าทายผู้เล่น โดย Shrine ที่มีมากมายในช่วงแรกเราต้องค้นหาเองไม่มีบอกบนแผนที่ แต่พอเราอัพเกรด Sheikah Slate แล้วจะมีเสียงเตือนเมื่อเราอยู่ใกล้ๆ Shrine
ส่วนโลกกว้างๆของเกมที่กว้างสมกับเป็น Open World จริงๆ แถมไปได้แทบจะทุกที่ พร้อมกับความสามารถใหม่ของ Link ที่จะปีนป่ายไปได้แทบจะทุกที่ แต่จะมีค่าพลังความอึดกำหนดไว้ (ซึ่งอัพเกรดได้) ถือเป็นมิติใหม่ที่เสริมความหลากหลายให้เกมน่าเล่นขึ้น และส่งผลให้แม้ว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เปลี่ยนแปลงมาใช้โลกกว้างๆแต่มันกลับทำได้แทบจะเหนือกว่าเกมโลกอิสระแท้ๆหลายเกมเลยด้วยซ้ำ
ระบบอาวุธและเครื่องป้องกันเป็นอีกหนึ่งที่เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้นแม้ว่ามันจะพังง่ายเสียเหลือเกิน ใช่แล้วดาบ หรือโล่ รวมทั้งอาวุธหลายประเภทสามารถพังได้ แถมยังพกพาไปแบบจำกัดด้วย ดังนั้นผู้เล่นต้องวางแผนกันดีๆ อีกทั้งในฉากต่อสู้กับบอสในบางครั้งไม่มีไอเทม แม้แต่หัวใจตกให้เติมพลังเหมือนกับเกม Zelda ทั่วๆไป ทำให้ความโหดเพิ่มขึ้นมาก เพราะไม่มีการอำนวยความสะดวกเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ฟังดูเหมือนจะยุ่งยากแต่ก็ไม่ได้รู้สึกลำบากในการเล่นแม้แต่น้อย และที่ชอบอย่างมากคือประเภทของอาวุธที่มีทั้งแต่ ดาบหลายขนาด และยังมี หอก , ท่อนไม้ , บูมเมอแรงไปจนถึงอาวุธเทพๆที่รอให้เราไปค้นหาในโลกกว้างๆจนคุณคาดไม่ถึง
ระบบแอ็คชั่นในการต่อสู้ถือเป็นไฮไลท์ที่โดดเด่นมาก แม้ว่าภาคหลังๆ Zelda เริ่มใส่ความเป็นแอ็คชั่นที่ต้องใช้ฝีมือมากขึ้น แต่ภาคนี้ทำได้เข้มข้นมาก มีการใช้ท่าสโลว์โมชั่นเพื่อหน่วงเวลาในการต่อสู้กับศัตรู รวมทั้งอาวุธชนิดต่างๆก็มีคุณสมบัติที่แตกต่างกัน เช่นดาบยักษ์ที่มีพลังทำลายสูงแต่โจมตีได้ช้า หรือหอกใช้โจมตีระยะไกลได้ รวมทั้งยังมีอาวุธแบบพิเศษที่ปล่อยพลังท่าไม้ตายได้ รวมทั้งเรายังมาประยุกต์ กับรูปแบบของไอเทมได้เรียกว่ามันไม่มีที่ติในส่วนนี้เลยแม้แต่น้อย
ส่วนไอเทมพิเศษที่ช่วยในการแก้ปริศนาแม้ว่าจะดูไม่เยอะแต่ก็มีความหลากหลายเพราะมีทั้ง Remote Bomb ที่เป็นระเบิดแบบกลม , Remote Bomb ระเบิดแบบสี่เหลี่ยม , Magnesis พลังแม่เหล็ก , Stasis หยุดเวลาวัตถุให้อยู่นิ่งๆ และ Cryonis สร้างน้ำแข็งบนพื้นน้ำได้ และมันไม่ได้มีไว้แก้ปริศนาเท่านั้น เรายังเอาไปประยุกต์เพื่อเดินทางไปยังจุดที่เราไปไม่ได้ในแบบปรกติ ที่สมชื่อเกมแนว Open World รวมทั้งไอเทมสำคัญอย่างเครื่องร่อนที่ช่วยให้เราท่องไปในดินแดนอันกว้างใหญ่ได้
นอกจากนี้พวกเครื่องป้องกันเช่นเสื้อผ้าที่ส่งผลกับ Link เช่นเสื้อผ้าป้องกันความหนาว หรือชุดพิเศษที่เสริมความสามารถเช่นว่ายน้ำ ส่วนความอิสระในการเลือกช่องทางการเล่นก็ถือเป็นความโดดเด่น เช่นเมื่อเราเดินทางไปยังดินแดนที่มีความหนาวถึงจุดเยือกแข็งที่พลังชีวิตของเราละต่อยๆลดลงเรื่อยๆ วิธีแก้นอกจากชุดกันความเย็นมาใช้แล้วยังมีวิธีการอื่นเช่นกินอาหารที่เพิ่มความทนทานความหนาว และยังทำได้ด้วยการถือคบเพลิง หรือไม้ติดไฟ เรียกว่ามีอิสระในการเลือกวิธีการเล่นแบบที่คุณคาดไม่ถึง
ความอิสระในการเดินเรื่องที่สามารถไปไหนก็ได้จะเดินไปหาบอสใหญ่เลยก็ได้ตั้งแต่ช่วงแรกๆของเกม อย่างไรก็ตามการบอกว่าเราต้องไปทำอะไรที่ไหนต่อ หรือ Quest หลักๆของเกมจะบอกจุดบน Map ที่ต้องไป แต่ระหว่างทางหาเส้นทางไม่ได้มีการลงรายละเอียดซึ่งเป็นสิ่งที่เกม Zelda ใช้มานาน แต่คนที่เคยชินกับเกมยุคใหม่ๆอาจจะงงๆว่าต้องไปทำอะไรต่อ แต่พอทำความเข้าใจแล้วการออกท่องโลกโดยไม่ต้องมีอะไรบอกมากมายกลับเป็นความท้าทายอย่างแท้จริง
แน่นอนว่าความยากของภาคนี้เพิ่มขึ้นหลายเท่า เพราะแม้แต่ศัตรูธรรมดาก็ตบเราตายได้อย่างง่ายดาย เช่นเดียวกับบอส ที่มีท่าไม้ตายที่ลดพลังหัวใจของเราได้อย่างรวดเร็วผิดกับเกม Zelda ภาคก่อนๆมาก เรียกว่าเดินๆอยู่ดีๆก็อาจตายได้ในพริบตา จนสื่อนอกต่างจากให้นิยามว่ามันคือ Dark Souls ของ Nintendo กันเลย แต่มันก็ไม่ได้ยากจนเกินไปหากเตรียมตัวมาดี อาวุธเครื่องป้องกันที่จำเป็นครบ และรู้จุดอ่อนของศัตรูโดยเฉพาะบอส ก็จะผ่านไปได้ (แต่ไม่ง่ายเหมือนเมื่อก่อนแน่)รวมทั้งเรายังมีอิสระในการเลือกวางกลยุทธ์ในการต่อสู้ไม่ว่าจะเป็นแบบลอบเร้นลอบโจมตี หรือ ใช้สภาพอากาศให้เป็นประโยชน์ ซึ่งหากวางแผนกันดีๆก็สามารถกำจัดศัตรูได้คราวละหลายตัว
อีกความยอดเยี่ยมคือเหล่า สัตว์จักรกลยักษ์ Divine Beasts ที่เราต้องเข้าไปภายในตัวมัน ที่เหมือนเป็นดันเจี้ยนหลักของภาคนี้ ที่ดูภายนอกอาจจะไม่ได้ยาวนัก แต่การแก้ปริศนาทำเราปวดหัวได้ง่ายๆหากเล่นรอบแรก เพราะมันซับซ้อนที่เราต้องงัดเอาทุกอย่างที่เรามีเพื่อแก้ และยังมีการใช้กลไกบังคับเพื่อปรับเปลี่ยนฉากภายในที่เพิ่มความยากขึ้นไปอีก จนมีบางปริศนาผู้เล่นที่ผ่านการเล่น Zelda มาทุกภาคยังอุทานออกมาว่ามันคิดออกมาได้ยังไง และเหมือนเป็นการคอบโจทย์ของเกมยุคใหม่ที่ต้องไม่ยาวมากเกินไป อีกทั้งเราสามารถ Save ได้แทบจะทุกที่ทุกเวลา และจะกลับมาเริ่มต้นที่จุด Save ไว้ไม่ได้เริ่มใหม่ทั้งฉากเหมือน Zelda บางภาค
ปิดท้ายกับระบบเสริมที่จำเป็นอย่างการทำอาหารที่ทุกคนต้องใส่ใจมาก เพราะเกมนี้ไม่ได้มีพลังชีวิตที่เป็นหัวใจซ่อนอยู่ในฉากแล้ว เราต้องออกค้นหาวัตถุดิบแล้วปรุงเป็นอาหารที่จะช่วยเพิ่มค่าพลังและไม่ใช่แค่พลังชีวิต มันยังเพิ่มความฮึดหรือทำให้เราทนความเย็นได้ เช่นเดียวกับ “ม้า” ที่ในเบื้องต้นผู้เล่นต้องไปจับม้าที่อยู่ในป่ามาแล้วไปลงทะเบียน เราจะสามารถผิวปากเรียกมาใช้งานได้ แต่ด้วยความสมจริงหากม้าอยู่นอกระยะแล้วต่อให้เรียกมันก็ไม่มา
การกลับมาของ Link ในเกม Zelda Breath of the Wild ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ถูกที่ควร เพราะสามารถผสมผสานความเป็นเกม Zelda กับ Open World ได้ลงตัวมาก มีสิ่งใหม่ๆอยู่ในเกมมากมาย จนอาจพูดได้ว่ามันคือ Zelda Ocarina of Time ของยุคนี้ได้เลย ใครมี WiiU และ Nintendo Switch ไม่ควรพลาด เพราะความยอดเยี่ยมของมันขนาดให้ลงทุนซื้อเครื่องเพื่อมาเล่นเกมนี้เกมเดียวยังคุ้มเลย
ขอบคุณร้านเกม Nadz Project ดิจิตอล เกตเวย์ ชั้น 2