[REVIEW] MacBook Pro 13″ 2020 เมื่อความโปรพกพาได้ พร้อมกับคีย์บอร์ดที่ดีขึ้นจริง ๆ สักที
Our score
8.5

[REVIEW] MacBook Pro 13″ 2020 เมื่อความโปรพกพาได้ พร้อมกับคีย์บอร์ดที่ดีขึ้นจริง ๆ สักที

จุดเด่น

  1. คีย์บอร์ดมีสัมผัสพิมพ์ที่ดี ควรเปลี่ยนกลับมานานแล้ว
  2. แบตอึดมาก ใช้ได้ทั้งวันหายห่วง
  3. ลำโพง และไมค์คุณภาพสูง
  4. Trackpad และ Touch Bar ใช้ประโยชน์ได้มาก

จุดสังเกต

  1. เครื่องหนักพอสมควร
  2. เครื่องร้อนเร็วมาก
  • สเปก

    8.0

  • ความสะดวกในการใช้งาน

    9.5

  • คุณภาพวัสดุ

    8.0

  • แบตเตอรี่

    9.5

  • ความคุ้มค่าต่อราคา

    7.5

หลังจาก Apple ถอดใจกับคีย์บอร์ด Butterfly Switch และเปลี่ยนมาใช้ Scissor Mechanic ใน Magic Keyboard บน MacBook Pro 16″ 2019 แทน (รุ่นที่มาแทน MacBook Pro 15″ ตัวเก่า) เราก็ได้เห็นการยกแผง MacBook คีย์บอร์ดใหม่ทุกรุ่นตั้งแต่ MacBook Air 2020 จนล่าสุดคือ MacBook Pro 13″ 2020 ที่เรา #beartai จะมารีวิวในวันนี้! ว่านอกจากคีย์บอร์ดใหม่แล้ว มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปอีกบ้าง และมันเหมาะกับใคร!

รายละเอียดสเปก และความเห็นส่วนตัว (Specifications and Opinion)

ถึง Apple จะไม่จ่ายเรา เราจ่าย Apple เอง (ใช่ครับ รีวิวนี้เราไม่ได้ค่าสปอนเซอร์นะ) เราได้ MacBook Pro 13″ 2020 ตัวล่าสุดที่เปิดตัวไปไม่กี่อาทิตย์ก่อน ซึ่งเป็นรุ่น Base Model แบบ Thunderbolt 3 สองพอร์ต config แบบพื้นฐานเลย ไม่ได้เพิ่มเติมอะไร

ข้อมูลสเปกของ MacBook Pro 13″ 2020 รุ่น Thunderbolt 3 สองพอร์ต

  • ชิปประมวลผล Intel Core i5 Gen 8 Quad Core ความเร็วพื้นฐาน 1.4GHz ความเร็วสูงสุด 3.9GHz
  • ชิปประมวลผลกราฟิก Intel Iris Plus Graphics 645 แรมขนาด 1.5GB
  • แรมขนาด 8GB LPDDR3 ความเร็วบัส 2133MHz
  • SSD ความจุ 256GB

อ่านมาถึงตรงนี้ คนที่ใช้ MacBook Pro 13″ 2019 ตัว Base Model คงจะถาม เอ้า ไม่เห็นจะมีอะไรใหม่เลย!

จริง ๆ แล้วความแตกต่างที่เห็นได้ชัดด้านสเปกคงจะต้องไปเริ่มที่รุ่น Thunderbolt 3 สี่พอร์ต ที่หันมาใช้ Intel Gen 10 Commet Lake และแรม LPDDR4 แต่ในรุ่นของ Thunderbolt 3 สองพอร์ต สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปหลัก ๆ เลยคือ Magic Keyboard แบบใหม่ ที่ให้สัมผัสการพิมพ์ที่ดีขึ้นอย่างมาก จากตัวเก่าที่ใช้ Butterfly Switch และอีกอย่างที่ใหม่ในรุ่นนี้คือมาพร้อมกับความจุเริ่มต้นที่ 256GB แล้ว มากกว่าเดิมถึงสองเท่าเลย

นอกจากนั้นแล้วก็มีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ที่ Touch Bar นั้นจะสั้นลงหน่อย และเพิ่มปุ่ม ESC แบบปุ่มจริง ๆ เข้าไป หลายคนที่หงุดหงิดกับการกดปุ่ม ESC ไม่โดนในรุ่นก่อน ๆ ก็คงจะฟินไปเลย

นอกจากนั้นแล้วการดีไซน์ รวมถึงส่วนต่าง ๆ ก็เหมือนเดิมจากรุ่นปี 2019 เลย ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ถือว่าเป็นการรีเฟรชไลน์อัปที่คุ้มค่าสำหรับตัวราคาเริ่มต้น เพราะได้ทั้งความจุที่เพิ่มขึ้น และคีย์บอร์ดใหม่ที่ดีขึ้นกว่าเดิมเยอะมาก และไม่มีปัญหาปุ่มไม่เด้งอีกแล้ว แต่อาจจะดูเฉย ๆ สำหรับคนที่ config เครื่องสูง ๆ ไปใช้แล้ว

คำถามคือ ทำไม Apple ถึงดูงกแทบไม่เปลี่ยนแปลงอะไรเลย?

เพราะขนาด MacBook Air 2020 ตัวเริ่มต้นยังมาพร้อมกับแรม LPDDR4X ที่มีความเร็วบัสสูงกว่า และมาพร้อมกับชิป Intel Gen 10 ส่วนตัวผมคิดว่า Apple บังเอิญทำตัว Base Model แบบ 2 พอร์ตไว้ดีเกินไป เพราะในรุ่นของปี 2018 Apple ได้ทำลายข้อแตกต่างหลัก ๆ ของรุ่นเริ่มต้น และรุ่นสูงขึ้นไปอีก โดยการเพิ่ม Touch Bar ให้กับทุกตัวเลยใน MacBook Pro ทำให้ความแตกต่างตอนนี้มีเพียงแค่จำนวนพอร์ต Thunderbolt และจำนวนพัดลมด้านใน และชิปเก่า หรือใหม่เพียงแค่นั้น

เพราะแบบนี้จึงทำให้ MacBook Pro 13″ รุ่นเริ่มต้นในปีต่อ ๆ มามีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย (ในทางที่ดีขึ้น) แต่ก็ค่อนข้างคุ้มค่าพอตัว โดยถ้าใครอยากได้ความเปลี่ยนแปลงที่มากขึ้นก็คงต้องมองไปที่รุ่น Thunderbolt 3 สี่พอร์ตแทน ที่มีราคาที่สูงขึ้นไปอีกหน่อย

การใช้งานทั่วไป (Daily Tasks Usage)

MacBook Pro 13″ เป็นเครื่องที่เหมาะกับการใช้งานทั่วไป, ตัดต่อวิดีโอเบา ๆ, แต่งรูป, เขียนงาน อะไรประมาณนี้ ซึ่งผมทดลองใช้อยู่ด้วยกัน 2 วัน

วันแรก ลองเล่นทั่วไป ต่อจอ external display นั่งทำงานแบบตั้งโต๊ะ (แทนที่ Mac mini ตัวเก่า บอกก่อนว่าผมย้ายมาจาก Mac mini นี่เป็น MacBook เครื่องแรก) ซึ่งค่อนข้างมีประสิทธิภาพที่โอเคเลย ผมเอามาใช้เขียนงาน ตัดต่อรูป และทำรูป ซึ่ง Intel Core i5 Gen 8 ยังทำหน้าที่ได้ดี

วันที่สอง ผมตั้งใจจะใช้งานแบบ Laptop เต็มตัวแบบไม่ใช้อะไรเสริมเลย และจะทดสอบแบตเตอรี่ไปด้วย ด้วยการใช้งานแบบทั้งวันแบบไม่ชาร์จ ซึ่งได้ผลที่ค่อนข้างน่าพอใจ ผมเริ่มใช้ตั้งแต่ประมาณ 9 โมงเช้าจนราว ๆ 5 โมงเย็น ยังเหลือแบตประมาณ 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ ผมใช้ทำงานเขียน, ทำรูป และดูหนัง เป็นเวลาประมาณ 8 ชั่วโมง

สิ่งที่ประทับใจ / ข้อสังเกต (Pros and Cons)

สิ่งที่ประทับใจ

  • คีย์บอร์ดมีสัมผัสพิมพ์ที่ดีมาก เคยลองพิมพ์บน Butterfly Switch ตัวเก่าอยู่เหมือนกัน แต่จำความรู้สึกไม่ค่อยได้แล้ว แต่พิมพ์บน Magic Keyboard ให้ความรู้สึกที่ค่อนข้างดี พิมพ์สนุกมือมาก
  • ลำโพงดังมาก เสียงแน่น มีคุณภาพ ผมเปิดใช้แทนลำโพงปกติที่ต่อคอมฯเลย และลองทดสอบไมค์ด้วยการใช้พูดคุยบน Discord ปกติ ซึ่งไมค์ทำให้มีคุณภาพเสียงที่ดีเยี่ยม
  • Trackpad ใช้ประโยชน์ได้มากกว่าที่คิด จนผมแทบจะไม่อยากจับเมาส์แล้ว ด้วย gesture ต่าง ๆ ทำให้สะดวกในการควบคุมอย่างมาก
  • จอยังเทพเหมือนเดิม สว่างมาก แถมยังรองรับค่าสีที่กว้าง (P3) เหมาะสำหรับงานทำรูป

สิ่งที่น่าสังเกต

  • เครื่องร้อนไวมาก น่าจะเป็นเพราะรุ่น Thunderbolt 3 สองพอร์ต มีพัดลมเพียงตัวเดียว
  • บางครั้งเจออาการเครื่องเอ๋อ จอต่อค้างไว้ แล้วเปิดเครื่องใหม่จอติดแค่จอนอก และบางที Touch ID ก็ไม่ทำงานซะอย่างงั้น
  • Touch Bar ใช้ประโยชน์ได้แค่กับโปรแกรมของ Apple ส่วนใหญ่

โดยรวม (Overview)

MacBook Pro 13″ 2020 ยังเป็นคอมพิวเตอร์พกพาที่ทรงพลังพอจะทำทุกอย่างได้แบบ On-The-Go คุณภาพการประกอบที่ดี (แต่แลกมากับน้ำหนักที่หนักอึ้ง) ส่วนพระเอกของรุ่นนี้จริง ๆ คือ Magic Keyboard นี่แหละ ใครต้องไปทำงานพิมพ์ข้างนอกบ้านบ่อย ๆ น่าจะถูกใจกับสัมผัสการพิมพ์มากกว่า Butterfly Switch ตัวเก่า แบตเตอรี่ที่อยู่ได้ทั้งวัน, ลำโพง และไมค์ที่มีคุณภาพที่ดีมาก โดยรวมคุ้มค่าราคาอยู่พอสมควร แต่เสียอย่างเดียวคือราคาในระดับเดียวกันของฝั่ง Windows เขาได้ Intel Gen 10 กันหมดแล้ว ที่มีประสิทธิภาพดีขึ้นในเรื่องการประหยัดพลังงาน (แต่ใครไม่ได้แคร์เรื่องนี้ MBP 13″ 2020 ก็แรงพอจะทำทุกอย่างทั่ว ๆ ไปแล้ว)

รีวิวที่ดีต้องมีราคา (Pricing)

MacBook Pro 13″ 2020 รุ่นเริ่มต้น Thunderbolt 3 สองพอร์ต เริ่มที่ราคา 42,900 บาท และรุ่น Thunderbolt 3 สี่พอร์ตเริ่มต้นที่ราคา 59,900 บาท ใครต้องการโน้ตบุ๊กเครื่องเล็กแต่ต้องการอะไรที่ทรงพลังสุด ๆ ด้วย อาจจะเลือกไปมองที่ตัว Thunderbolt 3 สี่พอร์ตแทนก็ได้นะ (ใครเป็นนักศึกษาจะได้ลดราคาลงไปอีกประมาณ 3,000 บาท) ส่วนใครคิดว่า MacBook Air ยังไม่แรงมากพอ แม้จะใช้ชิป Intel Gen 10 แต่ประสิทธิภาพโดยรวมก็ยังด้อยกว่าตัว MBP 13 2020 ตัวเริ่มต้น เพราะเรื่องการระบายความร้อน ก็เพิ่มงบอีกสักหน่อยได้อะไรที่โปรขึ้นในรุ่นเริ่มต้น

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส