“Intel Core i9-12900K เป็น CPU (ในกลุ่มลูกค้าทั่วไป) ที่แรงที่สุด ณ เวลานี้” นี่เป็นการสรุปหัวข้อรีวิวตั้งแต่บรรทัดแรก ย่อหน้าแรก ของบทความนี้ เพื่อให้ใครก็ตามที่กำลังสงสัย หรือใครก็ตามที่กำลังมองหา CPU ใหม่ เพื่อใช้ประกอบคอมใหม่ ช่วยในการตัดสินใจ ว่างานนี้จะไปเล่นค่ายไหนดี
ต้องบอกตามตรงนะครับว่าในยุค Intel Gen 9,10,11 มานั้น ทำผลงานได้ค่อนข้าง “น่าผิดหวังเป็นอย่างมาก” การเดินทางของ Intel พูดได้เต็มปากว่ามาถึงทางตัน และก้าวข้ามเทคโนโลยีเดิม ๆ ไปไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเองนั้นเป็นผู้นำในวงการ CPU มาตลอดหลายปี นับตั้งแต่การมาของ CPU Core I ที่ทำให้คู่แข่งอย่าง AMD ต้องปวดหัว และทำเอาเสียทรงไปเลยช่วงหนึ่ง
การมาของ AMD Ryzen นั้นทำให้ Intel ต้องรู้สึกชะงัก ด้วยเทคโนโลยีที่อัดแน่นมาพร้อมกับความคุ้มราคา และล่าสุดกับ Ryzen 5000 ที่โค่นล้มบัลลังก์เจ้าแห่ง CPU อย่าง Intel ไปได้ง่ายดาย ผู้คนต่างหันไปใช้ AMD กันมากขึ้น และ Intel ก็ค่อย ๆ เสียฐานลูกค้าของตัวเองไปเรื่อย ๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
แต่ยังจำประโยคแรกของบทความนี้ได้ไหมครับ ว่า “Intel Core i9-12900K เป็น CPU (ในกลุ่มลูกค้าทั่วไป) ที่แรงที่สุด ณ เวลานี้” นั่นก็เพราะว่าการกลับมาครั้งนี้ของ 12th Gen Intel Core นั้น ทำเอาตลาด CPU จะต้องสั่นสะเทือนอีกครั้ง
รีวิวครั้งนี้มาจากผู้ใช้งานจริง ประสบการณ์จริง และความคิดเห็นจริง ๆ ไม่มีการอ้อมค้อม ไม่มีการอวย เป็นข้อเท็จจริงที่หาจากไหนไม่ได้อีกแล้ว
ทำความรู้จักกับ CPU แห่งอนาคต
12th Gen Intel Core หรือในชื่อรุ่น Alder Lake เป็น CPU แบบแบบไฮบริดแบบคอร์ใหญ่ผสมกับคอร์เล็ก เพื่อแบ่งหน้าที่การทำงานกัน โดยจะแบ่งเป็น Performance Core (P-core) คอร์ขนาดใหญ่ Golden Cove ที่ถูกพัฒนามาถึง Willow Cove ที่ใช้ใน 11th Gen Tiger Lake และ Efficient Core (E-core) คอร์ขนาดเล็ก Gracemont แบบ 7nm ที่ใช้อยู่ใน Intel Atom แต่มี IPC เทียบเท่ากับ Skylake
หรือเข้าใจง่าย ๆ มันก็คือการเอา CPU ทีี่มีคอร์ต่างกันทั้งสองแบบมามัดรวมไว้ด้วยกัน และแบ่งการทำงานกันอย่างชัดเจนนั่นเอง โดย P-core จะมีหน้าที่ในการประมวลผลหลัก ๆ เช่นเล่นเกม ส่วน E-core ก็จะคอยรองรับการทำงานสำหรับ Software พื้นหลัง อย่างเช่นการฟังเพลงใน Youtube, Spotify หรือแม้แต่ Streaming เองก็เช่นกัน
หมายความว่า ด้วยความสามารถของ Intel Gen 12 นี้ เราจะสามารถทำงานแบบ Multitasking ได้ดีกว่าเดิมเป็นอย่างมาก (เพราะแยก CPU ประมวลผลกันไปเลย ไม่ใช่แค่การแยกคอร์ธรรมดาทั่วไป) และการทำงานแบบนี้จะได้ผลดียิ่งขึ้น เมื่อมันมาใช้กับ OS ตัวใหม่ล่าสุดจาก Microsoft อย่าง Windows 11 ครับ
เราต้องเข้าใจก่อนว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมา CPU แบบ x86 มันจะมีคอร์แบบเดียวกัน ขนาดเท่ากันทั้งหมดใน CPU 1 ตัว และการจัดการว่าจะให้คอร์เหล่านี้ไปประมวลผลกับอะไร ทั้งหมดมันขึ้นอยู่ที่ OS โดยตรงเลยครับ และแน่นอนว่า OS เองมันก็ไม่รู้ ไม่มีข้อมูลอะไรเลยว่าคอร์ไหนกำลังทำอะไรอยู่ และมันมีหน้าที่อะไรบ้าง
การมาของ Intel Thread Director จึงเข้ามามีส่วนในเรื่องนี้ และด้วยการร่วมมือกับ Microsoft ช่วยกันพัฒนาให้ Windows 11 สามารถมองออก และรับรู้ได้ทันที ช่วยให้ CPU Gen 12 นี้ทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ หรือเข้าใจง่ายๆ ก็คือ หากคุณอยากจะใช้ Gen 12 ให้เต็มที่ ก็ต้องเปลี่ยนมาใช้ Windows 11 ซะ
แล้วถ้าเอาไปใช้กับ Windows 10 ล่ะ
คำถามนี้เกิดขึ้นในหัวผมเหมือนกัน นับตั้งแต่ที่เข้าร่วมประชุม เข้า Workshop ต่าง ๆ นานา กับ Intel และในช่วง Q&A เมื่อมีโอกาสผมจึงถามไปว่า “แล้วถ้าเอาไปใช้กับ Windows 10 ล่ะ ผลที่ออกมาจะเป็นอย่างไรบ้าง”
คำตอบที่ได้รับคือ “ผมไม่รู้เหมือนกัน” กับ “มันก็อาจจะลดลงไปบ้างเล็กน้อย” สุดท้ายแล้วผมก็ต้องเอามันมาทดสอบด้วยตัวเองเมื่อได้รับ CPU มา และผมขอจบประเด็นนี้ตรงนี้เลยครับว่า มันไม่ต่างอะไรกันเลย บวกลบ 1-2 FPS เท่านั้นครับ
แต่ !! มันจะแตกต่างกันเป็นอย่างมาก เมื่อเราใช้งานแบบ Multitasking ที่ผมเข้าใจว่าทุกวันนี้เวลาเล่นเกม ก็คงไม่ค่อยมีใครจะเปิดโปรแกรมอะไรกันไว้เยอะเท่าไร แต่ผมเชื่อว่ามีหลายคน (แบบผม) ที่ขี้เกียจปิด Photoshop, Spotify, Microsoft Edge, Discord และอย่างอื่นอีกมากมายเอาไว้ระหว่างเล่นเกม ซึ่งไอ่ตรงนี้แหล่ะที่ Intel Gen 12 บวกกับ Windows 11 มันจะช่วยเราเป็นอย่างมาก และผมก็ประทับใจในจุดนี้จริง ๆ
Alder Lake นั้นจะมีสูงสุดที่ 16 Core 24 Threads (8 P-Core , 8 E-Core) โดยจะแบ่งเป็น 2 Thread ต่อ 1 Core และ 1 Thread ต่อ 1 E-Core นอกจากนี้ถือว่าเป็นครั้งแรกที่ CPU ได้รองรับแรมแบบ DDR5 หมายความว่าในที่สุดเราก็จะได้ใช้ DDR5 กันสักที พร้อมกับ PCIe X16 5.0 (ได้เวลาเปลี่ยน Riser Card อีกแล้ว) และ WiFi 6E ครับ
สุดท้ายคือตัว CPU นั้นต้องใช้คู่กับบอร์ด Socket LGA 1700 เท่านั้น แต่รอบนี้ถือว่าให้อภัย เพราะว่ามันเล่นเปลี่ยนหลักการทำงานของ CPU ไปใหม่หมด และรูปร่างหน้าตาของ CPU เองก็เปลี่ยนไปมากเช่นกันนะเออ
ผลการทดสอบ
- CPU: Intel Core i9-12900k
- RAM: Kingston Fury 32GB 16*2 DDR5 5800Mhz (XMP 1.0)
- GPU: Nvidia RTX 3070Ti
- Storage: M.2 WD Black 1TB
- PSU: Corsair RM1000X
- MB: ROG ASUS MAXIMUS Extream Z690
- CPU Cooler: Asus Ryujin II 240 (Liquid Cooler)
- OS: Windows 11 Pro 21H2 Build 22000.318
การทดสอบครั้งนี้ถือว่าเป็นการร่วมมือจากทั้ง 4 เจ้าใหญ่ Intel หัวใจหลักที่เป็น CPU และ Asus ที่ได้สนับสนุนเมนบอร์ด ROG E-ATX ตัวใหญ่สุดหรู คู่กับ ชุดน้ำปิด Ryujin II ที่เด็ดกว่า RGB ก็คือหน้าจอ LED นี่แหล่ะ พร้อมกับ RAM DDR5 จาก Kingston ที่ผมบอกเลยว่าโคตรเด็ด และสุดท้ายเลยคือ RTX 3070Ti จาก Nvidia ที่เอามาใช้ซะคุ้มจุใจกันไปเลยทีเดียว
การทดสอบครั้งนี้ทำในห้องแอร์อุณหภูมิ 20c-25c พร้อมกับ ผ่านเคสแบบ Mid-Tower และ Thermal Compound ตัวแพง+แรง อย่าง Arctic MX-4 ครับ
Software Benchmark
Game Benchmark
ย้ำอีกครั้งว่าผมได้ทดสอบเล่นเกมทั้งหมดนี้ผ่าน Windows 11 และผมก็พยายามเลือกเกมใหม่ ๆ หน่อยเพื่อให้เข้ากับยุคนี้ โดย Highlight เลยอยู่ที่ MS Flight Sim ที่ดันไปถึง 115 FPS ได้ กับ SCUM ที่ตั้งแต่ทดสอบมา ยังไม่มี CPU ตัวไหนทำได้ถึง 100fps avg ได้ในแบบ Max Setting เลยครับ
สุดท้ายกับ MMORPG ผมได้ทดสอบอยู่ 2 เกมก็คือ New World ที่ทำไปได้ 91fps avg และแน่นอนไม่มีเกมนี้ก็คงไม่ได้ กับ Final Fantasy XIV ที่ได้ทดสอบผ่านตัว Endwalker Benchmark ได้ที่ 140fps avg ฟาดคะแนนไปได้ 20349 แต้ม นับว่าเป็นคะแนนที่โคตรสูงมาก ๆ เลยทีเดียวครับ
ความร้อน และการกินไฟ
การทดสอบทำโดยผ่านโปรแกรมอย่าง OCCT Stress test 30 นาที โดยความร้อนสูงสุดอยู่ที่ 100c เลยทีเดียว มีค่า average อยู่ที่ 53.3c และต่ำสุดที่ 31c ครับ โดยหลังจากทำการทดสอบเสร็จผมก็ปล่อย Idle ไว้ 5 นาที ความร้อนตกมาเหลือที่ 43c ส่วนเวลาเล่นเกมจริง ๆ จากที่ผมทดสอบมาไปไม่เกินถึง 60c เลย
ส่วนในเรื่องของพลังงาน ใช้สูงสุดที่ 225W ครับ และมีค่า average อยู่ที่ 178W พูดตามตรงว่ามันก็กินไฟเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน ยิ่งในยุคนี้ที่หลาย ๆ คนเลือกใช้ Power Supply ขนาด 750W กันเป็นหลัก อาจจะเป็นปัญหาได้ ถ้าหากการ์ดจอกับ CPU ทำงานแบบ Full Load พร้อมกัน (ถ้ามันเกิดขึ้นจริง ๆ) ไฟอาจจะไม่พอได้นะครับ
โดยรวมแล้ว 12th Gen Intel Core หรือที่เรียกกันว่า CPU Intel Gen 12 นั้นทำผมประทับใจมากจริง ๆ หลังจากล้มลุกกันมาตั้งแต่ยุค Gen 10 ที่เหมือนยังหาหนทางของตัวเองไม่เจอ กลับมาคราวนี้ Intel ได้จัดเต็มกับประสิทธิภาพ Single Core ที่โคตรแรงเหนือกว่าคู่แข่งทุกด้าน เพิ่มเติมกับเปลี่ยนแนวคิดของ CPU ไป โดยเจ้า P-Core E-Core ที่จะทำให้อนาคตของ Intel นั้นสดใสมากกว่าเดิม
และแน่นอนว่าการมาของ DDR5 และ PCIE 5.0 ที่จะทำให้วงการ Desktop PC DIY มีอะไรให้น่าตื่นเต้นรออยู่มากมายในอนาคตอีกแน่นอนครับผม
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส