Our score
7.0The Last of Us Part I
จุดเด่น
- กราฟิกที่สวยขึ้นมาก ใช้พลังของ PS5 ได้คุ้มค่า
- Gameplay ที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาเล็กน้อย และความฉลาดของ AI ที่พัฒนาขึ้น
จุดสังเกต
- ราคาแพง แถมยังมาไม่ครบ เพราะขาดโหมด Multiplayer
- ไม่ควรเรียกว่า Remaster หรือ Remake อะไรทั้งนั้น เพราะมันไม่ต่างไปจากเดิมเลย
หากเรามองย้อนกลับไปในช่วงยุคปี 2008-2013 ต้องบอกว่ากระแสเกม Survival รูปแบบแนว post-apocalyptic นั้นได้รับความนิยมค่อนข้างสูงมาก จุดเริ่มต้นของมันมาจากแนวคิดง่าย ๆ กับเกมที่ออกแบบให้ผู้เล่นได้ “เอาชีวิตรอด” ในโลกที่ล่มสลาย (post-apocalyptic world) ลองนึกภาพดูถ้าหากเหล่าสัตว์ร้ายในรูปแบบต่าง ๆ ได้เข้ายึดครองโลกทั้งใบ และเรากับมนุษย์กลุ่มเล็ก ๆ เป็นผู้รอดชีวิตที่เหลือ มันจะเกิดอะไรขึ้น
โดยจุดเริ่มต้นของมันเริ่มต้นมาจากเกมอย่าง Wasteland และ Fallout ที่ได้สร้างฐานของผู้เล่นแนวนี้เอาไว้บ้าง จนมาถึงในช่วงปี 2009 เมื่อเกมเมอร์ได้สัมผัสกับ Left 4 Dead ที่นอกจาก Resident Evil แล้ว ก็มีเกมนี้ล่ะทำให้เห็นว่าถ้าหากเกิด Zombie Outbreak จริง ๆ จะเป็นอย่างไร และแน่นอนกับซีรีส์เรื่อง The Walking Dead และท้ายสุดที่ไม่พูดถึงก็คงไม่ได้อย่าง Arma 2 DayZ ที่เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเกมแนวนี้กันเลยทีเดียว
เหล่าทีมงานค่ายใหญ่ ๆ ก็ต่างพากันตามกระแส และเข็นผลงานของตัวเองออกมา และหนึ่งในนั้นก็คือ Naughty Dog ผู้ที่ได้เข็นผลงานระดับขึ้นหิ้งอย่าง The Last of Us ออกมาในปี 2013 ด้วยแนวคิดง่าย ๆ ที่โยนผู้เล่นเข้าไปในโลก post-apocalyptic พร้อมกับการเล่าเรื่องขั้นเทพที่ทีมงานได้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มาแล้วกับ Uncharted ทั้งสามภาค และทำให้มันกลายเป็นสุดยอดงานเกมที่อยู่ในใจเกมเมอร์หลายคนทั่วโลก
The Last of Us วางจำหน่ายไปในปี 2013 ใน PlayStation 3 จนถึงตอนนี้ก็ผ่านมาแล้วกว่า 9 ปี (ก็นานอยู่นะ) พูดกันตามตรงเลยว่า ด้วยเกมที่เก่าถึง 9 ปี หากเอามาเทียบกับเกมใหม่ ๆ ยุคนี้ ก็ยังมีหลายเกมที่เทียบชั้นกับ The Last of Us ไม่ได้เลย ด้วยการที่ตัวเกมมันสร้างมาตรฐานไว้สูงมาก ๆ สูงจน Naughty Dog ก็คงจะมีชะงักไปกันบ้าง เพราะไม่รู้ว่าจะสร้างภาคต่อกันออกมาให้ดีกว่าเดิมยังไง
ผลงานล่าสุดที่เราเห็น ก็มีเพียงแต่ Uncharted 4 ที่อยู่ดี ๆ ก็กลับมาสานต่อเรื่องราวที่จบเป็นไตรภาคไปแล้ว กับภาคต่ออย่าง The Last of Us Part II ที่เสียงวิจารณ์แตกกันไปในทางดีและไม่ดี ทำเอาแฟน ๆ ถึงกับสงสัยเลยว่า แล้วงานต่อไปของ Naughty Dog จะเป็นอะไร IP ใหม่ ? หรือกลับมาจบไตรภาค The Last of Us ให้ครบ 3 ภาคสักที
แต่ดูเหมือนสาวกก็ยังคงต้องรอกันอีกสักพักเลย เพราะผลงานล่าสุดของพวกเขานั้นก็คือ The Last of us Part I นั่นเองครับผม
เป็น Remake ไม่ใช่ Remastered
ก่อนอื่นเลยต้องบอกก่อนว่า ผมชอบ The Last of us ภาคแรกมาก ๆ เลย และผมยกให้มันเป็นสุดยอดเกมในใจมาตลอด แต่ในส่วนของ Part II นั้น ผมจะขอไม่พูดถึง เพราะผมเองสารภาพเลยว่า ทุกวันนี้ผมก็ยังเล่น Part II ไม่จบ เพราะว่าไม่ชอบอะไรหลาย ๆ อย่างในเกมนั้นมาก ๆ สาเหตุหลัก ๆ ก็คือเรื่องความไม่สมเหตุสมผลของตัวละคร และการยัดเยียดที่มันมากเกินไป จนทำให้รู้สึกไม่สนุก ไม่มีอารมณ์ร่วมกับมันสักเท่าไร และสุดท้ายก็คือมันเป็น 30FPS
เมื่อ The Last of us Part I ประกาศว่าจะมีการนำเอามา Remake ใหม่ ด้วย Engine ของภาค 2 พร้อมกับปรับกราฟิกใหม่ และวางจำหน่ายใน PC ด้วย ในตอนแรกผมเองก็รู้สึกแบบ “เฮ้ย มาว่ะ” แต่พอกลับมาคิดดูดี ๆ ผมก็กลับคิดว่า “เดี๋ยวนะ เกมมันเก่าขนาดนั้นแล้วหรอ”
“The Last of Us Part 1 เป็นการ Remake ไม่ใช่ Remaster” โอเค หลังจากที่ผมเล่นมาจนจบเป็นรอบที่ 5 แล้ว (2 ครั้งใน PS3 และ 2 ครั้งใน PS4 ล่าสุดคือรอบเดียวใน PS5) ผมขอบอกเลยว่า นี่มันเป็นการ Remaster จากการ Remaster อีกที งงไหมครับ?
เข้าใจกันง่าย ๆ The Last of us Part I มันเป็นเกม PS5 ที่ Remaster มาจาก The Last of Us Remastered ใน PS4 ที่มันถูก Remaster มาจากเกมต้นฉบับใน PS3 นั้นเอง บอกตามตรงว่าผมก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า Naughty Dog คิดอะไรอยู่ ถึงหยิบเอาเกมมา Remaster ซ้ำซ้อนแบบนี้ และยังขายในราคาเต็ม 69.99 USD แถมยังตัดโหมด Multiplayer ออกไปอีกด้วย
ทั้งเกม ผมขอย้ำเลยว่า ทั้งเกม มันไม่ได้ต่างอะไรไปจากเดิมเลย เนื้อเรื่อง การเล่าเรื่อง มุมกล้อง หรือแม้แต่ Gameplay เองก็ยกมาจากภาคต้นฉบับทั้งหมด จะมีก็พวก UI และ QoL บางจุดในเกมที่หยิบเอาของ Part II มาใช้ รวมไปถึง Animation บางอย่าง และความฉลาดของ AI ที่ถูกปรับปรุงขึ้นมาบ้าง แต่โดยรวมแล้ว มันก็คือ ผมขอยก Quotes ของผมด้านบนมาใช้ “มันเป็นการ Remaster ที่ Remaster มาจากการ Remaster อีกที“
เกมจะเล่าเรื่องแบบเดิมเป๊ะทุกอย่าง ไม่ต่างไปจากเดิม เพิ่มเติมคือหน้าตาของตัวละครที่ถูกปรับปรุงตบแต่งใบหน้าให้สมจริงขึ้น แต่โดยรวมก็ยังเหมือนเดิม เสียงพากย์แบบเดิม มุมกล้องแบบเดิม เล่าเรื่องแบบเดิม หรือแม้แต่ฉากจบของเกม ที่ยังก็เหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่มีโอกาสเล่าเรื่องเพิ่มเติมในส่วนของตัวละครตัวนั้น (พ่อของ Abby) ได้แล้วแท้ ๆ เผื่อจะได้ทำให้เนื้อเรื่องใน Part II มันมีเหตุผลขึ้นมาบ้าง
อาหารจานเดิม เพิ่มเติมคือร้านใหม่
ถ้าหากจะบอกว่ามันไม่มีอะไรพัฒนาเลย ก็อาจจะใจร้ายกันไปสักหน่อย จริง ๆ แล้วต้องยอมรับนะครับว่าการที่ The Last of us ภาคแรกมาอยู่ใน Engine ของภาค 2 เนี่ย มันทำให้เราเหมือนได้กินข้าวร้านเดิม เพิ่มเติมคือร้านมีการปรับปรุงใหม่ทั้งหมด ผลที่ออกมาคือมันก็ยังอร่อยเหมือนเดิม เป็นรสชาติที่เราชอบ และคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีมาก ๆ และท้ายสุดแล้วมันก็ยังเป็นอาหารจานเดิม จานที่เราเคยกินมาแล้ว และกินมาตลอดหลายปี เป็นรสชาติที่เราจำได้ดี
The Last of us Part I คืออาหารจานเดิม มาจากเชฟคนเดิม และเพิ่มเติมคือมันมาอยู่ในร้านใหม่ ร้านที่ได้รับการปรับปรุงแล้ว แน่นอนว่ามันทำให้ผมรู้สึกอร่อยเหมือนเดิมเลย คือตลอด 14 ชั่วโมงของเนื้อเรื่องหลัก ผมสนุก ตื่นเต้น และติดตาม ถึงแม้ว่าจะรู้อยู่แล้วว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป แต่ก็ต้องบอกเลยว่าเกมมันสนุกจริง ๆ ต่อให้อีก 10 ปี 20 ปี ผมกลับมาเล่น ก็ยังคงรู้สึกแบบนี้เหมือนเดิม
มีอยู่หลายจุดที่ผมมองแล้วรู้สึกว่า เออ มันพัฒนาขึ้นจริง ๆ เรื่องแรกเลยก็คือกราฟิก ที่มันสวยมาก ๆ สวยจนแบบว่า เออผมเข้าใจเลย ว่าถ้าหาก Part II มันมาอยู่ใน PS5 บ้าง มันจะสวยไปได้ขนาดไหน แสง สี เงา รายละเอียดพื้นผิว จัดเต็ม ทำเอา PS5 ของผมได้ใช้งานจริง ๆ จัง ๆ สักที หลังจาก Horizon Forbidden West ที่เกมนั้นก็หนักเอาเรื่องอยู่เหมือนกัน
มาพร้อมกับ Animation ทั้งเกมที่ได้รับการปรับปรุงใหม่ขณะเล่น ส่งผลให้การบังคับ มันรู้สึกมีน้ำหนักมากขึ้น การใช้อาวุธระยะประชิดมันสัมผัสได้ถึงความแรง อาวุธปืนที่ปรับปรุงใหม่ เมื่อผู้เล่นโดนยิง หรือยังใส่ศัตรู จะมีแรงกระแทกที่สัมผัสได้อย่างชัดเจน ตรงนี้ผมชอบมากเลย เพราะถ้าเราลองเล่นเวอร์ชัน PS5 และกลับไปเล่นเวอร์ชัน PS4 ก็จะเห็นได้ชัดเลยว่าใน PS4 นั้น กระสุนปืนมันไร้น้ำหนักมาก ๆ
อีกเรื่องนึงที่ก็ไม่พูดก็คงไม่ได้ ก็คือซับไทยครับ เรารู้กันว่าเกมของ Sony ยุคหลัง ๆ นี้จะมีซับไทยกันหมดแล้ว และใน The Last of us Part I ก็ทำออกมาได้ดีมากเลย ไม่มีอะไรติดขัด พูดง่าย ๆ คือแปลออกมาได้ดี localized หรือ แปลเป็นภาษาท้องถิ่น ให้เกมเมอร์ชาวไทยเข้าใจ และเรียบเรียงวางคำออกมาได้ค่อนข้างดี มีการใช้คําศัพท์ที่ถูกต้อง อ่านแล้วไม่งง ภาษาที่พวกเราชาวเกมเมอร์เข้าใจได้ อันนี้ขอชื่นชม
สรุป
ถ้าหากผมจะแนะนำให้เพื่อนที่ผมรู้จัก ที่ยังไม่เคยได้เล่นเกมนี้เลย แน่นอนว่าผมจะบอกให้เพื่อนคนนั้นไปสอยเอา The Last of us Part I มาเล่นให้ได้ และห้ามพลาดเด็ดขาด มันก็เหมือนกับตอนที่ผมบอกให้เพื่อนไปสอย The Last of Us Remastered มาเล่นให้ได้ในยุค PS4 คือมันเป็นความรู้สึกเดียวกันเลยครับ
แต่สำหรับผม รอบนี้ผมพูดตามตรงเลยว่า The Last of us Part I มันไม่ควรจะมีอยู่ ไม่ควรจะเกิดขึ้น และปล่อยให้มันเป็นตำนานอยู่แบบนั้นล่ะดีแล้ว การที่ Naughty Dog หยิบเอาเกมมา Remaster ซ้ำซ้อนแบบนี้ และขายในราคาเต็ม ผมมองว่ามันเป็นอะไรที่โคตรจะ cash grab และเป็นการหากินกับเหล่าแฟนบอยกันง่าย ๆ เกินไป ตั้งแต่ผมเล่นเกมมา ยังไม่เคยเจอเกมไหนที่จะเอามา Remaster กันซ้ำซ้อนแบบนี้เลย
ภาพเปรียบเทียบทั้งสองเวอร์ชัน PS5 ซ้ายมือ และ PS4 ขวา
อีกทั้งสิ่งที่ไม่น่าให้อภัยที่สุด ก็คือการที่มันไม่มีโหมด Multiplayer มาให้ด้วย สำหรับผมและเชื่อว่าอีกหลาย ๆ คนมองว่ามันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยนะ โหมด Multiplayer ของเกมนี้อย่าง Factions เนี่ยมันทำออกมาดี และสนุกมาก ๆ ทุกวันนี้ใน PS4 ก็ยังมีคนเล่นกันอยู่เรื่อย ๆ แต่ใน PS5 กลับถูกตัดไป และไม่มีแผนจะใส่เข้ามาตั้งแต่ทีแรกด้วย (แล้วตรูจ่ายราคาเต็มไปเพื่ออะไร !!)
หากเรามองในแง่ของเกม ๆ นึงแล้ว The Last of us Part I มันเป็นเกมที่ยังคงยอดเยี่ยม ต่อให้ผ่านไปอีกสัก 10 ปี มันก็ยังคงยอดเยี่ยม และมันจะอยู่ในใจผมตลอดชีวิตแน่นอน 10 เต็ม 10 ไม่หัก และมันจะอยู่ตลอดไป
แต่ถ้าหากเรามองในแง่ของเกมที่ Remaster หรือแบบที่ทาง Naughty Dog พูดไว้ว่า “The Last of Us Part 1 เป็นการ Remake ไม่ใช่ Remaster” ผมก็ต้องขอพูดตรงนี้เลยว่า นี่มันเป็นสุดยอดมหากาพย์ cash grab ในวงการเกมที่ต้องจารึกเอาไว้ประวัติศาสตร์ และมันเป็นการ Remake เกมที่ “ไร้ค่า” มากที่สุดสำหรับผมเลยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส