Our score
8.8HUAWEI MatePad 11 (2023)
จุดเด่น
- เป็นแท็บเล็ตที่เกิดมาเพื่อการศึกษาอย่างแท้จริง ด้วยแอปฯ HUAWEI Notes ที่ใช้งานง่ายมาก
- หน้าจอคมชัดมากถึง QHD บนขนาดจอ 11 นิ้ว แบบแนวนอน เหมาะทั้งการทำงานและความบันเทิง
- ลำโพงเสียงดีมากสำหรับแท็บเล็ต ใช้ดูหนัง ฟังเพลงได้สบาย ๆ
- สเปกภายในที่แม้จะเก่า แต่ถือว่าแรงพอสำหรับการทำงานและเล่นเกมเบา ๆ
- อุปกรณ์เสริมที่ครบถ้วนทั้งเคสคีย์บอร์ด และปากกา M-Pencil ทำให้พร้อมกับการทำงานมาก ๆ
จุดสังเกต
- ตัวเครื่องยังขาดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และช่องใส่ Micro SD Card
- ตัวเครื่องอาจจะทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ ถ้าขาดอุปกรณ์เสริม (อย่างน้อยควรมีปากกา HUAWEI M-Pencil รุ่นที่ 2 ด้วย)
- แอปฯ HUAWEI Notes ยังขาดกระดาษอีกบางรูปแบบที่หลาย ๆ คนชอบใช้ (อาจมีอัปเดตได้ในอนาคต)
- ตัวเครื่องที่ขาด Google Mobile Services ไปทำให้แอปฯที่ใช้ทำงานบางแอปฯ อาจยังไม่รองรับ
- เคส HUAWEI Smart Keyboard ที่แบตเตอรี่หมดค่อนข้างง่าย และใช้ไฟจากในตัวเครื่องตลอดเวลาที่เชื่อมต่อ
-
หน้าจอ
9.0
-
แบตเตอรี่
9.5
-
ประสิทธิภาพ
8.0
-
เสียง
8.5
-
ดีไซน์
8.5
-
ความคุ้มค่า
9.0
ทุกวันนี้ ‘แท็บเล็ต’ แทบจะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตนักเรียน นักศึกษากันแล้ว เวลาจะต้องเข้าคลาสเรียนต่าง ๆ แท็บเล็ตคืออาวุธคู่ใจของเราเสมอมา ผู้เขียนเองก็เป็นนักศึกษาในช่วงเวลาที่แท็บเล็ตเพื่อการศึกษากำลังเบ่งบานอยู่ก็ว่าได้เลย และ HUAWEI (หัวเว่ย) เองก็ได้เห็นถึงจุดสำคัญในจุดนี้ จึงได้เปิดตัว HUAWEI MatePad11 (2023) แท็บเล็ตใหม่ที่อัดฟีเจอร์ด้านการศึกษาที่แทบจะใช้งานแทน PC ได้แล้ว แล้วรุ่นนี้น่าใช้จริงไหม เอามาทำงานดีหรือเปล่า บทความนี้มีคำตอบ !
รีวิวครั้งนี้จะต่างออกไปสักหน่อย เพราะเราได้เอา HUAWEI MatePad 11 (2023) เครื่องนี้ไปใช้จดเนื้อหาที่เรียน เอ้ย จดข้อมูลต่าง ๆ ตรงจากทริปบุกถิ่น HUAWEI ถึงประเทศจีนเลยยังไงล่ะ ! และด้วยความที่ผู้เขียนเองก็เคยอยู่ในช่วงที่เคยใช้แท็บเล็ตจดเนื้อหาเรียนตั้งแต่สมัยมหาวิทยาลัย ยิงยาวมาจนเรียนจบ ก็ยังเอามาจดทำงานอีก ! เลยอยากขอเล่าประสบการณ์ในฐานะคนใช้จริง ๆ มาให้ทุกคนได้อ่านกัน
ในกล่องมีอะไรบ้าง
- ตัวเครื่อง HUAWEI MatePad 11 (2023)
- อะแดปเตอร์ชาร์จ HUAWEI SuperCharge (22.5W)
- สายชาร์จ USB-A to USB-C
- คู่มือและบัตรรับประกัน
ดีไซน์
ถ้าใครยังจำกันได้ HUAWEI MatePad 11 เคยออกรุ่นปี 2021 มาแล้ว ดีไซน์ของรุ่นก่อนหน้ากับรุ่นนี้พูดตรง ๆ ก็มีความคล้ายคลึงกันอยู่พอสมควรนะ แต่ส่วนตัวของผู้เขียนมองว่ารุ่นนี้ทำมาได้ดูดีกว่า ด้วยดีไซน์ที่เน้นในด้านการใช้งานแนวนอน กล้องหน้าวางอยู่ด้านข้าง (เท่ากับด้านบน กลาง ถ้าวางในแนวนอน) พวกนี้ถือเป็นดีไซน์แบบเดิม ๆ ที่เคยเห็นในรุ่นปี 2021 แล้ว
แต่ในปีนี้ได้มีการเปลี่ยนดีไซน์ของฝาหลังใหม่ กับดีไซน์ฝาหลังที่ใช้ชื่อว่า ‘Starlight Sand Layer’ หรือชั้นทรายแสงดาว ที่ทำฝาหลังสีดำเดิม นำมาขัดด้าน และเกิดเป็นประกายระยิบระยับเวลาสะท้อนเข้ากับแสงไฟ ให้ความรู้สึกเหมือนเห็นดวงดาวอยู่เลยก็ว่าได้ สีที่วางจำหน่ายตอนนี้มีเพียงแค่สีดำกราไฟต์ (Graphite Black) เท่านั้นนะ
ส่วนโมดูลกล้องก็ออกแบบมาเป็นทรงวงแหวน ที่เหมือนกับดาวในอวกาศไปด้วย เรียกได้ว่าเป็นดีไซน์ที่ดูมินิมอลและเหมาะกับการถือไปใช้ทำงานอยู่เหมือนกันนะ แถมผิวสัมผัสเวลาจับจริงก็รู้สึกหรูหรา และงานประกอบก็ทำมาได้ค่อนข้างแน่นเลยทีเดียว
ลองสำรวจรอบตัวเครื่องกันบ้าง ตัวเครื่องคราวนี้ได้ออกแบบมาเพื่อเน้นใช้งานแนวนอนแบบจริงจัง ถ้าเราวางเครื่องแบบแนวนอนให้กล้องหน้าอยู่ด้านบนแล้ว ปุ่มเปิด-ปิดเครื่องจะอยู่ด้านซ้ายของตัวเครื่อง, ปุ่มเพิ่ม-ลดเสียงด้านบนซ้ายของเครื่อง พร้อมกับไมโครโฟน 2 ตัวด้านบน และพอร์ตชาร์จแบตฯ USB-C 2.0 ซึ่งด้านบนของตัวเครื่อง ก็จะมีแม่เหล็กสำหรับติดปากกา HUAWEI M-Pencil (รุ่นที่ 2) สำหรับค้นหา และเชื่อมต่อ (ผ่านบลูทูธ) รวมถึงชาร์จตัวปากกาได้ แค่ติดผ่านแม่เหล็กไว้เฉย ๆ เท่านั้น !
โดยลำโพงตัวเครื่องจะอยู่ด้านซ้าย และขวาของเครื่อง ถือว่าเหมาะกับการนำไปใช้ดูหนัง ฟังเพลงเหมือนกันนะ ! สุดท้ายก็คือพินด้านล่าง 3 พินด้านล่าง สำหรับเชื่อมต่อกับ HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ที่เป็นทรงเฉพาะสำหรับ HUAWEI MatePad 11 (2023) นี้โดยเฉพาะด้วยนะ !
พร้อมทำงานมากขึ้นด้วย HUAWEI Smart Magnetic Keyboard
ไหน ๆ พูดถึง HUAWEI Smart Magnetic Keyboard สำหรับแท็บเล็ตรุ่นนี้แล้ว ขอเจาะลึกกันอีกเล็กน้อยดีกว่า ตัวคีย์บอร์ดนี้ เป็นเซตที่ผสมกันระหว่างเคสแบบมีฝาปิดที่ตรวจกับการเปิดหรือปิดฝาเคสได้, คีย์บอร์ดไร้สายสำหรับตัวแท็บเล็ต และ Kickstand หรือขาตั้งแท็บเล็ต แถมยังมีช่องแยก สำหรับใส่ปากกา HUAWEI M-Pencil (รุ่นที่ 2) ด้วย ถือว่าครบ จบในตัวจริง ๆ นะ ตรงนี้ถือว่าค่อนข้างเหมาะกับคนที่ชอบการทำงานนอกสถานที่โดยพกแท็บเล็ตเดียวตัวเดียว เพราะเราจะสามารถนำไปกางใช้งานได้ถึง 3 แบบเลยทีเดียว นั่นคือ
- กางแบบโน้ตบุ๊กที่มีคีย์บอร์ดต่ออยู่ ให้ตัวเครื่องเอียงเล็กน้อย รับกับตาของเรา และให้คีย์บอร์ดอยู่ใกล้ รวมเป็นชิ้นเดียวแบบโน้ตบุ๊ก ด้านหลังเครื่องจะมีแผ่นแม่เหล็กอีกชั้นหนึ่งให้ดันไปด้านหลังเพื่อเป็นตัวรับน้ำหนักเครื่องให้ แถมกางได้ง่าย ๆ เพียงงัดตัวเครื่องขึ้นจากอีกด้าน แล้วเอาพิน 3 พินเชื่อมต่อกับพินบนคีย์บอร์ดที่มีแม่เหล็กอยู่ ก็ตั้งเป็นเหมือนโน้ตบุ๊กได้เลย
- แยกชิ้นระหว่างแท็บเล็ตและคีย์บอร์ด เพื่อให้เราวางแท็บเล็ตในตำแหน่งที่สูงขึ้น หรือห่างออกไป และวางคีย์บอร์ดให้ใกล้มือของเรา เหมือนเวลาเราใช้คอมพิวเตอร์ที่จอจะแยกกับคีย์บอร์ด ก็เอามาใช้งานได้เลย โดยที่ไม่ต้องห่วงเรื่องคีย์บอร์ด เพราะตัวคีย์บอร์ดเชื่อมต่อด้วยบลูทูท แยกด้วยการกางแบบโน้ตบุ๊กก่อนหน้า และดึงเครื่องขึ้นเพื่อให้แม่เหล็กติดคีย์บอร์ด และเคสหลุดออกจากกัน
- พับคีย์บอร์ดไว้ด้านหลัง หรือแยกชิ้นคีย์บอร์ดออกไป และใช้เฉพาะตัวแท็บเล็ตเพื่อจดงาน หรือวาดรูปด้วย M-Pencil โดยตรงกับพื้นโต๊ะ หรือตั้งแบบโหมดก่อนหน้าและจดด้วยปากกา โดยไม่ต้องต่อคีย์บอร์ดก็ได้ แต่โหมดนี้จะมีข้อสังเหตหน่อย คือถ้าเราต่อคีย์บอร์ดผ่านบลูทูทอยู่ แล้วเราพับคีย์บอร์ดไว้ด้านหลัง มือเราที่กดโดนแป้นคีย์บอร์ด ปุ่มก็ยังลั่นอยู่นะ แนะนำให้ถอดคีย์บอร์ดออกเลยจะดีกว่า
ซึ่งเราสามารถใช้งานแต่ละโหมดได้อย่างสะดวกเลย เพราะว่าทั้งปากกา M-Pencil และคีย์บอร์ดสามารถเชื่อมต่อพร้อมกันได้ หรือจะหาเมาส์ Bluetooth มาเชื่อมต่อด้วยก็ได้นะ ! นอกจากนั้น ตัวคีย์บอร์ดก็ไม่ต้องชาร์จแยกให้ลำบากใด ๆ เพราะทั้งหมดเชื่อมต่อผ่านพิน 3 พินที่จะส่งไฟตรงจากเครื่อง เพื่อชาร์จคีย์บอร์ดได้เลย แถมยังพิมพ์ภาษาไทยได้แบบปกติด้วย (เปลี่ยนภาษาด้วยการกด Ctrl+Space Bar นะ ถ้ากดแล้วไม่เปลี่ยน ให้ไปทางนี้เลย) แถมคีย์บอร์ดนี้ยังใช้คีย์ลัดแบบ Windows ปกติ เช่น Ctrl + C หรือ Ctrl + V และก็ยังมีปุ่มพิเศษ เพื่อการตั้งค่าเพิ่มเติม ดูเพิ่มเติมผ่านการกดปุ่มสี่เหลี่ยมด้านล่างซ้าย และปุ่ม / ด้านล่างขวาตามภาพเลย !
ส่วนด้านบนของตัวเคสนั้น ก็ได้มีช่องสำหรับติดปากกา M-Pencil ไม่ให้หลุดออกไปได้ง่ายด้วยนะ และเท่าที่สังเกตมา รอบ ๆ ช่องนั้นก็มีแม่เหล็กเพื่อให้แปะปากกาลงไปกับตัวเครื่องได้ตรงขึ้นด้วย และน่าจะมีประโยชน์ด้านการล็อกตัวปากกาให้ติดกับเครื่องและเคสได้แน่นขึ้นด้วยนั่นเอง
ดังนั้น ทั้งหมดทั้งมวลนี้คือเซตที่เสริมกันอย่างลงตัวมาก ๆ จริง ๆ ทั้งตัวเครื่อง HUAWEI MatePad 11 (2023), HUAWEI Smart Magnetic Keyboard และปากกา HUAWEI M-Pencil รุ่นที่ 2 นี้ ดังนั้นในการรีวิวครั้งนี้ ผู้เขียนขอเล่าจากประสบการณ์ที่ได้ใช้ทั้ง 3 สหายนี้พร้อมกันหมดไปด้วยเลย !
ซึ่งใครอ่านมาถึงตรงนี้แล้วอาจจะสงสัยว่า ถ้าซื้อแท็บเล็ตไปแล้วจะมีอุปกรณ์เสริมพวกนี้ด้วยเหรอ ต้องซื้อแยกหรือเปล่า ท้ายบทความเรามีโปรโมชันมาบอกกันครับ
‘HUAWEI Notes’ แอปที่ช่วยให้การจดง่ายกว่าเดิม
เรียกว่าเป็นแอปที่มีประโยชน์ที่สุดสำหรับสายจดเลยก็ว่าได้ กับแอป HUAWEI Notes ซึ่งเป็นแอปจดโน้ตที่ HUAWEI เขาพัฒนาขึ้นมาเอง เพื่อมารองรับกับการจดด้วยปากกา HUAWEI M-Pencil รุ่นที่ 2 โดยเฉพาะเลย แอป นี้มีฟีเจอร์ที่เหมาะกับสายจดโน้ตอนเรียน หรือจดโน้ตตอนทำงานมาก ๆ โดยที่เราไม่ต้องจดบนกระดาษเลยแม้แต่คำเดียว
ฟีเจอร์หลัก ๆ ของแอป HUAWEI Notes จะเน้นเรื่องของการจดโน้ตบนกระดาษพร้อมกับปากกาโดยเฉพาะ หน้าหลักหลังจากเข้ามาแล้วจะเจอกับหน้าหลักให้เราเลือกโน้ตแต่ละเล่ม หรือจะสร้างโน้ตใหม่ก็ได้ หรือจะนำเข้าไฟล์ PDF ที่อาจจะเป็นไฟล์สไลด์การสอนของอาจารย์มาเขียนเติมต่อ หรือนำเข้ารูปภาพมาเขียนทับก็ยังได้ ! ซึ่งเราก็จะแบ่งหมวดหมู่ของโน้ตที่เราเขียนไว้ ไปอยู่ในโฟลเดอร์แยกได้ และที่ดีมากคือ เรากดเข้าโน้ตที่เราแบ่งหมวดหมู่ไว้ได้เลย โดยที่ไม่ต้องกดเข้าในโฟลเดอร์ด้วยซ้ำ
อีกอย่างที่น่าสนใจคือ แอป HUAWEI Notes สามารถใช้เพื่อค้นหาโน้ตที่เราเขียนเอาไว้ได้ด้วย แต่ตอนนี้ยังได้แค่ภาษาอังกฤษเท่านั้น และแม้ลายมือของผู้เขียนจะยังออกไปทางเละเล็กน้อย (ฮา) ก็ตาม ก็ยังใช้หาคำที่จดไว้ในโน้ตได้แบบปกติเลยนะ !
พอเราเข้ามาในสมุดโน้ตแล้ว ก็จะพบกับหน้าตาของแอปที่ออกจะดูคุ้นเคยซักหน่อย (ในทางที่ดีนะ) กล่าวคือมีเครื่องมือสำหรับการจดที่ครบถ้วนมาก ๆ ถ้าเรียงจากด้านซ้าย ไปขวา จะประกอบไปด้วย ปากกา, ไฮไลต์, ยางลบ, เครื่องมือเลือกวัตถุ (Selection Tool), ใส่ตัวหนังสือ (Text), ใส่รูปภาพ, วาดรูปร่าง, ซูมเฉพาะจุด, เลเซอร์, เครื่องมือปิดการใช้มือวาด, ปุ่มเปลี่ยนพื้นหลังของกระดาษ และปุ่มสุดท้ายที่ชอบมาก ๆ คือปุ่มบันทึกเสียง ให้เรามาฟังย้อนหลังจากที่เราจดเอาไว้ได้ รวมอยู่ในที่เดียวไม่ต้องไปเปิดแอป แยกใด ๆ ซึ่งแต่ละปุ่มด้านบน สามารถกดซ้ำอีกรอบเพื่อตั้งค่าขนาด หรือสีของหัวปากกา ไฮไลท์, ยางลบ ฯลฯ เพิ่มเติมได้ด้วยนะ
ทีนี้ ถ้าเราพูดถึงประสบการณ์การใช้งาน ถือว่าทำได้ค่อนข้างดี สำหรับใครที่ต้องการจะนำ HUAWEI MatePad 11 (2023) เครื่องนี้มาใช้เพื่อจดเนื้อหาที่เรียนหรือทำงาน จัดว่าค่อนข้างเหมาะเลย ไม่รู้สึกถึงอาการหน่วงใด ๆ ระหว่างจด ฟีเจอร์ของปากกาก็ใช้ได้ครบถ้วน (เช่น กดปากกาบนจอค้างเพื่อลบ) หรือจะนำเข้ารูปมาใส่ หรือจะจดทับบนสไลด์ที่อาจารย์ใช้สอนก็ทำได้เลย เพียงแค่ดาวน์โหลดไฟล์มาเปิดเท่านั้น
ถ้าจะให้มีจุดสังเกตเล็กน้อย น่าจะเป็นเรื่องของรูปแบบกระดาษ ที่ยังคงขาดเส้นกระดาษแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัส (Squared Paper) สำหรับสายพลอตกราฟ หรือกระดาษแบบจุด (Dotted Paper) ที่เหมาะกับสายวาดเส้นโดยเฉพาะ จำพวกนักเคมีที่ต้องวาดพันธะของคาร์บอนออกมาเป็นเส้น หรือเขียนพันธะและลากเส้นเชื่อมจุดเข้าหากัน กระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัส และกระดาษแบบจุดจะเหมาะกับงานเฉพาะด้านแบบนี้มากกว่า และโดยส่วนตัวของผู้เขียนตอนยังเรียนอยู่นั้น ก็ได้ใช้กระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสในการจดด้วย เนื่องจากสามารถแบ่งบรรทัดได้เอง ด้วยการตีตารางที่ถี่มากกว่าปกติ ไม่ได้จำกัดขนาดตามเส้นแนวนอนเท่านั้น
ฟีเจอร์ด้านการทำงานอื่น ๆ
สำหรับใครที่อยากได้แท็บเล็ต HUAWEI MatePad 11 (2023) เครื่องนี้เพื่อมาทำงานเอกสารด้านอื่น ๆ ก็ทำได้ง่าย ๆ เหมือนกันนะ ผ่านแอป WPS Office ซึ่งได้ติดตั้งเข้ามาไว้ในเครื่องแล้วเรียบร้อย หรือถ้ายังไม่มี ก็สามารถดาวน์โหลดผ่าน HUAWEI AppGallery ได้เหมือนกัน โดยตัวแอป นั้นจะทำงานเหมือนกับ Microsoft Office ทั้ง 3 ตัว คือทั้ง Word, Excel, Powerpoint เพื่อใช้พิมพ์งาน แก้ไขเอกสาร หรือจะแชร์ให้คนอื่นต่อได้เลยด้วย
อีกเรื่องที่ทำให้การทำงานง่ายกว่าเดิมก็คือ ซอฟต์แวร์ HarmonyOS 3.1 ของทาง HUAWEI ที่อยู่ในเครื่อง พร้อมกับฟีเจอร์การทำงานที่มาด้วยกัน เช่นฟีเจอร์ SuperHub ที่จะลากมาได้ทั้งรูป ไฟล์ ข้อความ เข้าไปอยู่ใน Hub เดียวกัน เหมือนอยู่ในคลิปบอร์ด แล้วส่งต่อไปหาใครก็ได้ หรือคัดลอกข้ามแอปไปได้เลย !
กับอีกอย่างที่น่าสนใจ ก็คือระบบการ Multi-Window หรือการทำงานพร้อมกันหลาย ๆ แอปที่สามารถลากเอาแอปที่เปิดอยู่ค้างไว้ และใส่เข้าไปด้านซ้าย เพื่อแบ่งแอปเป็น 2 หน้าต่าง ซ้าย-ขวา ที่สามารถแบ่งครึ่งได้ หรือจะใส่เข้าไปด้านขวา เพื่อให้หน้าต่างเด้งออกมาเป็นแท็บลอย โดยส่วนตัวแล้วมองว่าวิธีนี้คือสะดวกกับการทำงานมากจริง ๆ
ส่วนหน้าตาของทั้ง 2 โหมดก็ตามภาพด้านล่างเลย
หน้าจอ
หน้าจอของ HUAWEI MatePad 11 (2023) เป็นหน้าจอ IPS LCD ขนาด 11 นิ้ว ความละเอียด 2560 x 1600 (Quad HD) รีเฟรชเรต 120 Hz พร้อมความตรงของสีระดับ DCI-P3 และผ่านมาตรฐานจากสถาบัน TÜV Rheinland ว่าหน้าจอรุ่นนี้จะมีแสงสีฟ้าที่น้อย และไม่มีการสั่นไหวของภาพ (Flicker Free) ด้วย
โดยรวมแล้วถือว่านำมาใช้งานได้ดีเหมือนกัน ด้วยขนาดหน้าจอที่ใหญ่ รีเฟรชเรตเยอะ และสีที่ค่อนข้างโอเค แม้สีของจอจะออกไปทางอมฟ้าเล็กน้อยก็ตาม แต่ถือว่ามองได้สบายตาดี ส่วนการทัชหน้าจอก็ติดมือดีด้วย ส่วนการใช้ปากกา M-Pencil เพื่อวาดบนจอนั้นก็ลื่นไหลดี และไม่ค่อยเห็นช่องว่างระหว่างจอด้วยนะ !
ส่วนการแสดงผล YouTube (ผ่าน Gspace) สามารถแสดงผลได้เต็มความละเอียด 4K แบบ HDR (แต่ไม่มีการเร่งแสงเฉพาะส่วนเพื่อให้ภาพเป็น HDR นะ) ส่วนการแสดงผล Netflix ก็แสดงผลได้ที่ความละเอียด Full HD แบบไม่มี HDR แต่ก็ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยด้านลิขสิทธิ์ Widevine ระดับ L1 ด้วยนะ ! เพราะงั้นถ้าเราจะเสพคอนเทนต์ใด ๆ ก็ทำได้สบายหายห่วงเลย
หรือใครที่เป็นสายซีรีส์จีน อนิเมะ และละครไทยนี่ต้องชอบแน่ ๆ เพราะทุกคนที่ซื้อ HUAWEI MatePad 11 (2023) รุ่นนี้ไป จะได้รับสิทธิ์ ล็อกอินดู WeTV VIP ฟรี 3 เดือน ! บอกเลยว่าดูหนัง ซีรีส์ ละคร อนิเมะ ฯลฯ ใน WeTV กันได้แบบจุใจแน่นอนเลย !
ลำโพง
แน่นอนว่าในแท็บเล็ต 1 เครื่อง ไม่จำเป็นจะต้องมีการทำงานเพียงอย่างเดียว ลำโพงของแท็บเล็ตเองก็สำคัญกับด้านความบันเทิงไม่แพ้กันนะ ตัว HUAWEI MatePad 11 (2023) เลยมีลำโพงถึง 4 ตัวด้านข้างซ้าย – ขวา ของตัวเครื่อง (ถ้าวางในแนวนอน) โดยมีการเจาะดอกลำโพงไว้ที่ด้านบน และล่าง ของแต่ละข้าง ซึ่งเสียงที่ทำได้อยู่ในระดับที่โอเคเลย มีย่านเบส และกลางที่ค่อนข้างดี และดังพอที่จะฟังแบบไม่เสียบหูฟังได้แบบสบาย ๆ ซึ่งใครที่อยากเสียบหูฟัง แท็บเล็ตรุ่นนี้ก็มีซอฟต์แวร์เอฟเฟกต์เสียง Histen 8.0 ให้ตั้งค่า EQ ในหูฟังได้ด้วยนะ (แม้จะไม่มีช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตรก็ตาม)
สเปกโดยรวมภายในเครื่อง
ทีนี้เรามาเจาะลึกถึงสเปกภายในเครื่องของ HUAWEI MatePad 11 (2023) กันบ้างดีกว่า โดยแท็บเล็ตนี้มี
- หน้าจอ 11 นิ้ว IPS LCD ความละเอียดหน้าจอ (2560 x 1600) QHD 120Hz
- ชิปเซต Qualcomm Snapdragon 865
- แรมขนาด 6 GB
- ความจุ (รอม) ขนาด 128GB (ไม่รองรับการใส่ซิม และ Micro SD Card ใด ๆ เพิ่มเติม)
- รองรับ Wi-Fi 6 และ Bluetooth 5.1
- กล้องหลัง 1 ตัว ความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (f/1.8) (Autofocus)
- กล้องหน้าความละเอียด 8 ล้านพิกเซล (f/2.0) (Fixed Focus)
- HarmonyOS 3.1 (จากการตรวจสอบเพิ่มเติมพบว่าใช้ Android 12 – ไม่รองรับ Google Mobile Service)
- ความจุแบตเตอรี่ 7,250 mAh พร้อมกับระบบชาร์จไว 22.5W (HUAWEI SuperCharge)
- น้ำหนักตัวเครื่อง 480 กรัม
แม้ว่านี่จะเป็นแท็บเล็ตระดับกลาง (Mid-Range) แต่ก็มาพร้อมกับชิปเซตอดีตเรือธงอย่าง Snapdragon 865 เลยทีเดียว ซึ่งถือว่าเพียงพออย่างมาก สำหรับการทำงานทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นการจดงานบน HUAWEI Notes, พิมพ์งาน เล่นโซเชียล หรือดูคอนเทนต์ต่าง ๆ ก็ตาม
ซึ่งคะแนนการทดสอบบน Geekbench 6 (ดาวน์โหลดนอก AppGallery) นั้นสามารถทำคะแนนได้ 762 คะแนนใน Single Core และ 2,703 คะแนนใน Multi Core ถือว่าทำได้ไม่แย่เลยนะสำหรับแท็บเล็ตระดับกลางนี้
ส่วนการทดสอบกราฟิกบน 3DMark ชุด Wildlife Stress Test (ดาวน์โหลดนอก AppGallery) ที่ทดสอบต่อเนื่อง 20 รอบ ก็ทำคะแนนได้สูงสุด 3,766 และได้คะแนนนิ่ง ๆ อยู่ประมาณนี้ โดยไม่ต่ำกว่า 3,727 คะแนนเลย ซึ่งโดยรวมแล้ว เป็นคะแนนที่สูงกว่าสมาร์ตโฟนในเรตราคาประมาณนี้ซะอีก !
ถ้าเอามาทดสอบเล่นเกม Genshin Impact (ดาวน์โหลดนอก AppGallery) โดยตั้งค่ากราฟิกไว้สูงสุด และตั้งเฟรมเรตที่ 60 fps ก็จัดว่าเล่นได้นะ แต่จะเกิดอาการแลคขึ้นได้ในบางช่วง อาจจะต้องลดการตั้งค่าอีกเล็กน้อย จะเล่นได้สนุกขึ้นนะ
กล้องถ่ายภาพ
ส่วนกล้องของ HUAWEI MatePad 11 (2023) มีความละเอียด 13 ล้านพิกเซล (f/1.8) ซึ่งเอาจริง ๆ อาจจะไม่ได้เป็นกล้องสำหรับการถ่ายภาพจริงจังมากนัก แต่กล้องหลังรุ่นนี้ถือว่าเหมาะกับการถ่ายภาพเล่น ๆ ทั่วไป หรือจะเอาไปใช้ถ่ายภาพสไลด์ หรือเนื้อหาที่เรียนมาใส่ใน HUAWEI Notes เพิ่มเติมแบบนี้ก็โอเคเหมือนกันนะ ตัวภาพถ่ายแม้จะไม่ได้มีสีที่สดมากนัก แต่ถือว่าใช้ได้อยู่เหมือนกันนะ อาจจะต้องแต่งเพิ่มอีกเล็กน้อย แต่ถือว่าทำได้ดีเลยทีเดียว ลองดูตัวอย่างภาพที่ผู้เขียนได้ไปถ่ายจากทริปทัวร์ HUAWEI ที่ประเทศจีนกันดู !
ส่วนกล้องหน้าก็ให้มาเป็นกล้องขนาด 8 ล้านพิกเซล (f/2.0) ที่มีไว้ใช้เพื่อปลดล็อกหน้าจอด้วยการสแกนหน้าได้ด้วย ตัวอย่างภาพก็ตามภาพด้านล่างเลย !
แบตเตอรี่
สุดท้ายคือเรื่องของแบตเตอรี่ ซึ่ง HUAWEI MatePad 11 (2023) ก็จัดแบตเตอรี่มาเต็ม ๆ ถึง 7,250 mAh พร้อมกับระบบชาร์จไว 22.5W (HUAWEI SuperCharge) ซึ่งจากการนำไปใช้งานที่จีนมา ถือว่าได้ให้แบตเตอรี่มาค่อนข้างเยอะ สามารถใช้งานเขียนต่าง ๆ ได้จนจบวัน โดยไม่ต้องห่วงเรื่องของแบตเตอรี่เลยแม้แต่น้อย แต่แบตเตอรี่จะเริ่มลดเยอะขึ้นเมื่อเล่นเกม แต่ถ้านำมาทำงานปกติล่ะก็ จบวันได้แบบสบาย ๆ แน่นอน
ที่จะเป็นจุดสังเกต เห็นจะเป็นเคสคีย์บอร์ดที่มาด้วยกันมากกว่า เพราะว่าตัวเคสถือว่าค่อนข้างแอบกินแบตเตอรี่พอสมควรเมื่อเชื่อมต่อผ่านพิน 3 พินทิ้งเอาไว้ หรือเชื่อมต่อปากกา HUAWEI M-Pencil รุ่นที่ 2 ผ่านแม่เหล็ก เพื่อชาร์จแบตเตอรี่ปากกา จะทำให้แบตเตอรี่ลดเร็วขึ้นได้ แต่ยังอยู่ในยระดับที่รับได้ และใช้งานได้จบวันอยู่ดีนะ น่าเสียดายเล็กน้อยที่ระบบการชาร์จแบตเตอรี่ให้มาแค่ 22.5 วัตต์เท่านั้น ด้วยแบตเตอรี่ที่ค่อนข้างมาก และด้วยมาตรฐานของปี 2023 นี้ อาจจะเป็นระบบการชาร์จที่ค่อนข้างช้าไปเล็กน้อย ทำให้ชาร์จแบตเตอรี่นานกว่าปกติ ถ้าให้มาอย่างน้อย 40 วัตต์ ก็จะอยู่ในระดับที่น่าพอใจกว่านี้แน่นอน
สรุป โปรโมชัน และราคา
โดยสรุปแล้ว HUAWEI MatePad 11 (2023) เป็นแท็บเล็ตที่เกิดมาเพื่อการทำงานอย่างแท้จริงเลยก็ว่าได้ ด้วยการดีไซน์เพื่อให้ใช้ในแนวนอน, แอปฯ HUAWEI Notes ที่ถือว่าทรงพลังมากสำหรับสายจดโน้ต หรือจะเป็นอุปกรณ์เสริมที่ทำมาเพื่อกันจริง ๆ อย่างเคสคีย์บอร์ด HUAWEI Smart Magnetic Keyboard ที่ออกแบบมาใหม่ และปากกา HUAWEI M-Pencil รุ่นที่ 2 ที่ใช้งานร่วมกันได้อย่างกลมกล่อม และลงตัวมาก ๆ ผู้เขียนเองที่ได้ลองจดโน้ต หรือจดเนื้อหาต่าง ๆ บนแท็บเล็ตนี้แล้ว ถือว่าทำได้ดีจริง ๆ โดยเฉพาะในเรตราคาที่เหมาะสมกับนักศึกษาด้วยแล้ว เหลือเพียงแค่เรื่องของ Google Mobile Services เท่านั้น ที่จะทำให้แท็บเล็ตรุ่นนี้เพอร์เฟคสำหรับสายนักเรียนนักศึกษา หาตัวจับยากอีกรุ่นหนึ่งแน่นอน
แต่ถ้าถามว่าแท็บเล็ตรุ่นนี้จะนำมาแทนพีซีได้เลยไหม โดยสรุปแล้วอาจจะได้ สำหรับคนที่เน้นใช้งานด้านการจดเรียน และทำงานผ่านเว็บไซต์ แต่อาจจะแทนยังไม่ได้แบบ 100% เลยออกมาเป็นชื่อบทความที่มีคำว่า (แทบจะ) พ่วงอยู่นี้เอง
และอยากจะฝากข้อสังเกตเล็กน้อยเรื่องที่ตัวเครื่องยังขาดช่องเสียบหูฟัง 3.5 มิลลิเมตร และช่องเสียบ Micro SD Card ที่โดยส่วนตัวผู้เขียนมองว่าเป็นส่วนที่ค่อนข้างสำคัญสำหรับการเป็นแท็บเล็ตที่ใช้ทั้งในการทำงาน และสำหรับความบันเทิงควบคู่กัน แต่โดยภาพรวมถือว่าแท็บเล็ตรุ่นใหม่นี้ทำมาได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว !
ที่จริงแล้วทาง HUAWEI ได้เปิดตัวแท็บเล็ตซีรีส์นี้ในต่างประเทศ 2 รุ่นด้วยกัน คือรุ่นจอปกติ และรุ่นจอด้านแบบกระดาษ และรุ่นที่เรารีวิวกันอยู่วันนี้คือรุ่นจอปกตินะ ! ผู้เขียนคาดว่ารุ่นที่เป็นจอกระดาษน่าจะไม่มีเข้ามาขายในประเทศไทย และมีขายแค่ความจุเดียวเท่านั้น
HUAWEI MatePad 11 (2023) วางจำหน่ายเพียงความจุเดียวคือ 6/128 GB ที่ราคา 15,990 บาท ! ถือเป็นราคาที่น่าสนใจมาก ๆ คุ้มสุด ๆ สำหรับสายนักเรียน นักศึกษาที่กำลังมองหาอุปกรณ์สำหรับการเรียน หรือใครก็ตามที่สนใจจะพกอุปกรณ์ที่เล็กลง เพื่อใช้งานนอกสถานที่ได้สะดวกสบาย และบอกเลยว่าจะคุ้มกว่าเดิมอีก เมื่อพรีออเดอร์ตั้งแต่วันที่ 28 เมษายน 2566 นี้ ไปจนถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2566 จะได้รับของแถมที่เยอะจนเรียกได้ว่าครบชุดแน่นอน ประกอบไปด้วย
- HUAWEI Smart Keyboard มูลค่า 4,990 บาท
- ปากกา HUAWEI M-Pencil 2nd generation มูลค่า 4,490 บาท
- HUAWEI Cloud 1 เดือน (200GB) มูลค่า 99 บาท และ WeTV VIP 3 เดือน มูลค่า 429 บาท
- เฉพาะเมื่อสั่งจองผ่าน HUAWEI Experience Store ที่ร่วมรายการ จะได้ของแถมเพิ่มเป็น HUAWEI Bluetooth Mouse มูลค่า 1,490 บาท ไปด้วย
ถือว่าได้มาแบบครบชุดมาก ๆ ได้ทั้งตัวเครื่อง เคสคีย์บอร์ด และปากกา ที่ครบจนสามารถใช้เพื่อการศึกษาได้แบบยาว ๆ แน่นอน ใครที่สนใจใน ‘แท็บเล็ตเพื่อการศึกษา’ รุ่นใหม่นี้ สามารถตามไปสั่งจองกันได้ที่ลิงก์นี้ หรือไปจองที่ HUAWEI Experience Store ที่ร่วมรายการกันได้เลย !
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส