Our score
7.7Samsung Galaxy A9
จุดเด่น
- ประสิทธิภาพเครื่องดี ใช้งานทั่วไปรวมถึงเล่นเกมก็ทำได้ลื่นไหล
- ระบบ 4 กล้องเป็นพื้นฐานที่ดี ทำให้ถ่ายรูปสนุกขึ้นอีกเยอะ โดยเฉพาะเลนส์มุมกว้าง
- GPS ทำงานได้ดี แม่นยำ
- เสียงจากช่องหูฟังออกมาได้ดี โดยเฉพาะเมื่อผ่าน Dolby Atmos
- ดีไซน์ตัวเครื่องดี สีสันสวยสดใส
จุดสังเกต
- สีของภาพถ่ายไม่สดใสนัก โดยเฉพาะในที่แสงน้อย
- การสลับเปลี่ยนระยะเลนส์ต้องรออึดใจหนึ่ง
- เซนเซอร์อ่านลายนิ้วมือทำงานไม่เร็ว
- ไม่มี Samsung Pay
- มีลำโพงเดียว ไม่ใช่ลำโพงสเตอริโอ
-
รูปลักษณ์ภายนอก
8.5
-
คุณภาพหน้าจอ
8.0
-
ประสิทธิภาพเครื่อง
7.0
-
ประสิทธิภาพกล้อง
7.0
-
ความคุ้มค่า
8.0
ต้องยอมรับว่าหลังจากสมาร์ทโฟนจีนรุกตลาดอย่างหนักในช่วงปีที่ผ่านมา ก็ส่งผลกระทบกับเจ้าตลาดอย่างซัมซุงไม่น้อยที่ต้องเร่งปรับแนวคิดของผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ในตลาดสมาร์ทโฟนไป (มากกว่านี้) ซึ่ง Samsung Galaxy A9 (2018) ก็เป็นสมาร์ทโฟนที่ให้กลิ่นอายที่แตกต่างจากสมาร์ทโฟนซัมซุงรุ่นก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ทั้งกล้องหลายตัวทำงานหลายหน้าที่ และสีสันของเครื่องที่เป็นแนวไล่เฉดสี ซึ่งวันนี้แบไต๋จะรีวิวเจาะลึกให้อ่านกันว่าสมาร์ทโฟนระดับรองท็อปของซัมซุงในตอนนี้มันเจ๋งยังไงบ้าง
ดีไซน์และหน้าจอของ Galaxy A9
สิ่งที่แปลกตาที่สุดของ Samsung Galaxy A9 คือดีไซน์ของกล้องด้านหลังเครื่องครับ ซึ่งวางเรียงกัน 4 กล้อง ซึ่งถ้ารวมแฟลชด้วยก็จะเห็นเป็น 5 ตุ่มอยู่ด้านหลังเครื่อง ซึ่งการเรียงกล้องแบบนี้ใครจะว่าสวยหรือไม่สวย อันนี้ก็แล้วแต่ความเห็นส่วนตัวกันแล้วกันนะครับ เรื่องนี้แบไต๋จะไม่ยุ่ง!
Samsung Galaxy A9 นั้นมีให้เลือก 3 สีครับ ซึ่งสีที่เราได้มาคือสีน้ำเงิน Lemonade ซึ่งจะไล่จากสีฟ้าไปถึงสีน้ำเงิน ซึ่งก็เป็นสีสันที่สวยสะดุดตาดีครับ สะท้อนแสงได้สดใส เมื่อรวมกับฝาหลังที่เป็นกระจกแล้วยิ่งดูดีเข้าไปใหญ่ แล้วอีก 2 สีที่ซัมซุงมีให้เลือกคือสีชมพู Bubble Gum ที่ไล่จากสีชมพูอ่อนไปหาชมพูเข้ม ซึ่งคุณผู้หญิงน่าจะชอบกัน และสีดำ Caviar ที่ก็แค่เป็นสีดำอ่ะครับ ไม่ได้ไล่เฉดอะไร
นอกจากนี้ฝาหลังยังเป็นที่อยู่ของเซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือซึ่งก็ทำงานได้ดีในระดับหนึ่งครับ แต่ยังไม่เร็วเท่าสมาร์ทโฟนจากจีนหลายๆ รุ่น แต่ก็สามารถใช้การสแกนหน้าเพื่อปลดล็อกเครื่องอย่างรวดเร็วได้ ซึ่งสามารถใช้พร้อมกันได้ทั้งสแกนหน้าและนิ้วพร้อมกัน แต่เราหาวิธีสแกนหน้าแล้วไม่ปลดล็อกเครื่องทันทีไม่เจอนะครับ ที่เทสคือเมื่อเจอหน้าเวลาอยู่ใน Lock Screen จะปลดล็อกให้เลย ซึ่งหลายคนก็ไม่ชอบรูปแบบนี้เท่าไหร่
ส่วนด้านหน้านั้นเป็นที่อยู่ของจอภาพขนาด 6.3 นิ้วแบบ Super AMOLED ความละเอียด FullHD+ ซึ่งแน่นอนว่าสมาร์ทโฟนจากซัมซุงนั้นยังไม่มีติ่งหรือรอยบากให้กวนใจในตอนนี้ครับ (แต่อนาคตรุ่นมีรูบนจอมาแล้ว) ก็เป็นด้านหน้าเครื่องที่ดูสมดุลดีระหว่างขอบจอด้านล่างและด้านบน แต่ถ้าใครชินกับมือถือจอบากมาก็จะรู้สึกว่าขอบบนและขอบล่างนั้นหนาไปหน่อย ส่วนคุณภาพของหน้าจอนั้นดีงามอยู่แล้วในสไตล์ซัมซุง ซึ่งก็ให้สีสันได้สดใสเป็นธรรมชาติ ไม่สดจนเกินไป แถมยังมีโหมด AMOLED Cinema เพื่อช่วยให้การดูหนังได้อรรสรสมากขึ้นด้วยปรับจอให้มีสีโทนอุ่นหน่อยๆ
ที่ขอบด้านข้างเครื่องก็เป็นที่อยู่ของสารพัดสิ่งครับ ขอบซ้ายนั้นมีปุ่ม Bixby ที่หลายคนไม่ชอบอยู่ 555, ขอบขวาเป็นปุ่มเร่ง-ลดเสียงกับปุ่มล็อกจอ, ขอบบนเป็นถาดใส่ซิม และขอบล่างเป็นที่อยู่ของพอร์ตเชื่อมต่อแบบ USB-C ช่องหูฟัง 3.5 mm ที่ให้เสียงดีใช้ได้เลยหลังจากเปิดใช้ Dolby Atmos ในเครื่อง และด้านล่างของเครื่องยังเป็นที่อยู่ของลำโพงครับ ซึ่ง Galaxy A9 นั้นมีลำโพงแค่ตัวเดียวนะครับ ไม่ได้เป็นลำโพงสเตอริโอ และเสียงที่ได้ก็อยู่ในเกณฑ์มาตรฐานของลำโพงจากสมาร์ทโฟน คือเสียงดังแต่เบสไม่มีครับ
ประสิทธิภาพของ Samsung Galaxy A9 (2018)
สเปคของ Samsung Galaxy A9 นั้นเป็นแบบนี้ครับ
- CPU: Snapdragon 660 พร้อม AI Engine 2 + 6 cores (2.0 GHz Kryo 360 Gold – Cortex-A75 derivative + 1.7 GHz Kryo 360 Silver – Cortex-A55 derivative)
- RAM: 6 GB
- หน่วยความจำ: 128 GB
ซึ่งผลการทดสอบ Samsung Galaxy A9 นั้นได้คะแนนดังนี้
- Geekbench 4 ได้คะแนน Multi-core ไปราว 5600 คะแนน
- 3Dmark ชุดทดสอบ Sling Shot Extreme ก็ได้คะแนนในส่วน OpenGL ไป 1300 คะแนน
- Antutu 7.1 ได้คะแนนไปราว 140,000 คะแนน
ซึ่งประสิทธิภาพระดับนี้ก็ดีพอที่จะเล่นเกมยอดนิยมในปัจจุบันอย่าง Contra: Return ได้ลื่นๆ แบบไม่มีกระตุกครับ หรือ PUBG ก็สามารถปรับคุณภาพภาพเป็น High และเล่นได้ลื่นๆ เช่นกัน ก็สมฐานะความเป็น Snapdragon ที่ชื่นชั้นการันตีว่าเล่นเกมลื่น ซึ่งเมื่อเล่นไปสักพักจะรู้สึกว่าเครื่องอุ่นๆ นอกจากนี้การที่เราเล่นเกมผ่าน Game Launcher ของซัมซุงก็ทำให้สามารถประสบการณ์การเล่นเกมได้ด้วย ทั้งการปิด Notification ระหว่างเล่นเกม หรือการปรับประสิทธิภาพเครื่องไปให้ถึงขีดสุดเพื่อให้เล่นเกมได้ลื่นก็ทำได้
ส่วนการใช้งานทั่วไปเล่น facebook เล่น LINE ก็ทำได้ลื่นไหลอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าในบางจังหวะก็แอบรู้สึกว่ามีความหน่วงอยู่บ้าง ซึ่งก็หวังว่าซัมซุงจะปรับตัว Samsung Experience 9.0 ที่เป็นซอฟต์แวร์ครอบ Android 8 ให้สามารถจัดการประสิทธิภาพเครื่องให้ได้ลื่นไหลกว่าเดิมอีกหน่อยนะครับ
เรื่องกล้อง การปรับปรุงครั้งสำคัญของ Galaxy A9
Samsung Galaxy A9 นั้นเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นแรกของซัมซุง (และน่าจะเป็นรุ่นแรกของโลกด้วยมั้ง) ที่มีกล้องหลัง 4 ตัว ประกอบไปด้วย (ไล่จากกล้องบนลงล่างนะ)
- เลนส์มุมกว้าง 120 องศา ความละเอียด 8 ล้านพิกเซล f/2.4
- เลนส์ซูม 2 เท่า ความละเอียด 10 ล้านพิกเซล f/2.4
- เลนส์หลักความละเอียด 24 ล้านพิกเซล f/1.7
- เลนส์วัดระยะ เอาไว้ทำหน้าชัดหลังเบลอความละเอียด 5 ล้านพิกเซล f/2.2
ก็เป็นเทรนด์ไปแล้วสำหรับสมาร์ทโฟนที่มาพร้อมเลนส์ซูมและเลนส์มุมกว้าง เพื่อถ่ายภาพให้ได้หลากหลายระยะ ผู้ใช้สามารถกดสลับเปลี่ยนระยะได้ง่ายๆ จากหน้าถ่ายรูป ซึ่งจากสเปคของตัวกล้อง ถ้าถ่ายภาพกลางคืนก็พยายามใช้เลนส์หลักให้ได้มากที่สุดดีกว่าครับ เพราะจะเก็บแสงได้มากที่สุดเมื่อเทียบกับเลนส์มุมกว้างและเลนส์ซูม 2 เท่า แต่การสลับเลนส์นี้เราขอตินิดหนึ่งว่าการสลับเลนส์ทำได้ช้าไปหน่อย คือหลังจากกดแล้วต้องรออึดใจหนึ่งเพื่อดูเอฟเฟกภาพซูมเข้า-ออก ถ้า Firmware รุ่นต่อๆ จะพัฒนาให้การเปลี่ยนเลนส์ทำได้เร็วขึ้นกว่านี้จะดีมากเลย
ส่วนคุณภาพรูปถ่ายจาก Galaxy A9 นั้นจะเป็นอย่างไร สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เราไปดูภาพตัวอย่างจาก Galaxy A9 กันครับ
เรื่องที่เราประทับใจเกี่ยวกับกล้องของ Samsung Galaxy A9 คือเลนส์มุมกว้างครับ ที่ทำให้การถ่ายรูปสนุกขึ้นอีกเยอะ จากกล้องทั่วไปที่มักมีปัญหาเวลาต้องถ่ายภาพในพื้นที่แคบๆ หรือไม่สามารถเก็บภาพวิวทิวทัศน์ทั้งหมดได้ แต่เมื่อ Galaxy A9 นั้นมีกล้องมุมกว้างก็แก้ไขจุดอ่อนในเรื่องนี้ไปได้ ซึ่งเทรนด์กล้องมือถือมาพร้อมเลนส์มุมกว้างก็น่าจะลากยาวไปถึงสมาร์ทโฟนเรือธงในปีหน้าด้วย เพราะมันเป็นความสามารถที่ได้ลองแล้วจะลืมมันไม่ลงจริงๆ
แต่การใช้เลนส์มุมกว้างก็มีข้อจำกัดอยู่ตรงที่สามารถรับแสงได้น้อยกว่าเลนส์หลักนะครับ เพราะมีรูรับแสงที่แคบกว่า ซึ่งจาก 3 ภาพด้านบนจะเห็นว่าในซีนกลางคืนเหมือนกัน ภาพจากเลนส์หลักนั้นจะให้ภาพสว่างสดใสและมีรายละเอียดมากที่สุด ส่วนการใช้เลนส์มุมกว้างนั้นจะให้ภาพที่มืดลงไปเยอะ ส่วนกล้องเลนส์ซูมก็ไม่ได้ให้รายละเอียดที่ดีนักในพื้นที่แสงน้อยขนาดนี้ครับ
แต่เรื่องหนึ่งที่สังเกตได้จากกล้องของ Samsung Galaxy A9 คือสีสันและ Contrast ของภาพนั้นจะไม่สดใสนักครับ ให้ภาพออกไปในแนวทึมๆ โดยเฉพาะภาพถ่ายในที่ร่มครับ ซึ่งต้องเอาไปแต่งต่อเพื่อดึงความสดใสของภาพออกมา ซึ่งก็เป็นความแตกต่างของกล้องในสมาร์ทโฟนระดับกลางอย่าง A9 เมื่อเทียบกับกล้องของรุ่นท็อปอย่าง S9 หรือ Note 9 นะครับ ที่ให้ภาพแบบ “สวยเลย” ได้มากกว่า
อีกเรื่องหนึ่งที่เราก็แอบสงสัยเวลาใช้งานกล้องคือทำไมซัมซุงต้องแยกโหมด Automatic กับ Scene Optimizer หรือการใช้ AI เพื่อตรวจสอบซีนภาพแล้วปรับให้เหมาะสมออกจากกัน เพราะในสถานการณ์ทั่วไป 2 โหมดนี้ให้ภาพที่คล้ายกันมากครับ แยกกันไม่ออก มีบางสถานการณ์เท่านั้นแหละที่ Scene Optimizer ก็จะให้ภาพที่สดใสกว่า เพราะฉะนั้นเราจึงพยายามใช้โหมด Scene Optimizer ตลอดเวลาที่ถ่ายภาพครับ
ดูภาพถ่ายหน้าชัดหลังเบลอกันบ้าง
ส่วนในเรื่องการถ่ายวิดีโอนั้นก็ทำได้ดีในระดับหนึ่งครับ มีการป้องกันภาพสั่นไหว ทำให้ได้วิดีโอที่ดูคมชัดแม้ว่าจะถือถ่าย แต่ข้อจำกัดของการถ่ายวิดีโอคือไม่สามารถสลับไปใช้เลนส์มุมกว้างได้ การถ่ายในโหมดปกติจะสามารถสลับได้ระหว่างภาพจากเลนส์ปกติและเลนส์ซูม 2 เท่าเท่านั้น ส่วนการใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายจะต้องเลือกเป็นเลนส์มุมกว้างจากโหมดภาพนิ่งก่อน แล้วค่อยกดถ่ายวิดีโอ แล้วเมื่อเริ่มถ่ายแล้วก็ไม่สามารถสลับไปใช้เลนส์อื่นๆ ได้ ซึ่งเมื่อเทียบกับ Huawei Mate 20 ที่เป็นระบบซูม 3 ระยะเหมือนกัน แต่สามารถสลับเลนส์ไปมาได้ระหว่างถ่ายวิดีโอ ก็น่าเสียดายกับ A9 ตรงนี้ครับ
ภาพจากเลนส์ซูม 2 เท่า
ภาพจากกล้องหน้า
สรุปว่า 4 กล้องของ Samsung Galaxy A9 นั้นทำงานได้ดีครับ โดยเฉพาะเลนส์มุมกว้างที่เปิดโอกาสให้ได้ภาพเก๋ๆ อีกเยอะมาก แต่คุณภาพภาพจากกล้องก็ยังไปไม่สุดทางนะครับ น่าจะต้องดูกล้องของ Galaxy S10 ที่น่าจะใช้ระบบ 4 เลนส์เหมือนกัน แต่น่าจะให้ความสดใสของภาพได้ดีกว่านี้
สรุปประสบการณ์การใช้ Samsung Galaxy A9
- Galaxy A9 นั้นมาพร้อมระบบ Fast Charge 15W มาตรฐานของซัมซุงซึ่งชาร์จ 10 นาทีได้ 12% และชาร์จแบตเตอรี่ความจุ 3800 mAh เต็มใน 1.36 ชั่วโมง
- GPS ของ A9 ทำงานได้ดี ใช้นำทางตำแหน่งไม่หลุด ซึ่งเราเทสนำทางไปเที่ยวต่างจังหวัดจติดกันหลายวัน ก็ไม่มีปัญหาใดๆ
- เสียงจากช่องหูฟัง 3.5 มม. นั้นออกมาได้ดี และเสียงจะก้องกังวาลน่าฟังขึ้นไปอีกเมื่อเปิดใช้ Dolby Atmos ในตัวเครื่อง
- แต่แอบสงสัยว่าทำไมถึงไม่มี Samsung Pay ให้ใช้ในมือถือรุ่นนี้นะ
- รองรับ MicroSD สูงสุด 512 GB ซึ่งมาพร้อมถาดซิมแบบ 3 ช่อง สามารถใส่ 2 ซิมได้พร้อม MicroSD เลย
- ราคาเปิดตัว 19,990 บาท