Our score
9.3OnePlus 6T McLaren Edition
จุดเด่น
- ดีไซน์เครื่องดีงาม ออกแบบร่วมกับ MaLaren ได้ลงตัวสุดๆ
- ประสิทธิภาพเครื่องระดับท็อป ใช้งานลื่นทุกอย่าง เกมก็ลื่น
- สแกนนิ้วมือบนหน้าจอทำงานเร็วที่สุดแล้วตั้งแต่เคยเทสต์มา
- กล้องอยู่ในระดับดีงาม ให้ภาพสวยสมจริง ไม่โอเวอร์
- แพ็กเกจอลังการงานสร้าง คุ้มเกินราคา
จุดสังเกต
- ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 mm และไม่แถมหูฟัง
- ไม่รองรับ VoLTE และ VoWifi ในระหว่างที่รีวิว (อาจจะปรับปรุงในอนาคต)
- ไม่รองรับ Wifi Bridge
- โหมดถ่ายภาพกลางคืนใช้เวลาประมวลผลนานไปหน่อย
- เมื่อใส่เคส ตัวเครื่องจะหนาและหนักแบบรู้สึกได้
-
รูปลักษณ์ภายนอก
10.0
-
คุณภาพหน้าจอ
9.0
-
ประสิทธิภาพเครื่อง
9.0
-
ประสิทธิภาพกล้อง
9.0
-
ความคุ้มค่า
9.5
ที่ผ่านมา OnePlus ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่มีภาพลักษณ์ชัดเจนว่าเป็น “นักฆ่าเรือธง” มาตั้งแต่รุ่นแรกๆ ด้วยความที่อัดสเปกสูงสุดในแต่ละยุคในราคาที่ไม่แพง ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่ดีพอสมควร แต่ช่วงหลังเมื่อสมาร์ตโฟนจีนค่ายอื่นๆ สามารถทำราคาลงมาแข่งได้มากขึ้น จุดเด่นข้อนี้ของ OnePlus ก็ดูจะลดลงไปครับ แต่ OnePlus ก็ยังเป็นสมาร์ตโฟนที่นักรีวิวหรือผู้ใช้สมาร์ตโฟนตัวกลั่นแนะนำอยู่ดีในปัจจุบัน เพราะความเนี๊ยบในการพัฒนาสมาร์ตโฟนของค่ายนี้ จนเราเรียกได้ว่าเป็นสมาร์ตโฟนที่ออกแบบได้สมดุลย์สำหรับการใช้งานทั่วไปเลยทีเดียว และนี่คือ OnePlus 6T McLaren Edition ตัวท็อปของท็อปของ OnePlus ในช่วงต้นปีนี้ครับ
ความแตกต่างระหว่าง OnePlus 6T McLaren Edition และ OnePlus 6T
- หน่วยความจำในเครื่องที่รุ่น McLaren จัดเต็มมาที่ 258 GB ส่วนรุ่นปกติจะมีให้เลือก 128 กับ 256 GB
- RAM ที่มีให้ 10 GB ส่วนรุ่นธรรมดามีให้เลือก 6 กับ 8 GB
- OnePlus 6T McLaren Edition มาพร้อมหัว Warp Charge 30 Watt เทียบกับรุ่นปกติที่ได้หัว Fast Charge 20 Watt
- งานดีไซน์ตัวเครื่องและกล่องที่ OnePlus 6T McLaren Edition อลังการกว่าเยอะมาก
- ราคา OnePlus 6T McLaren Edition อยู่ที่ 25,999 บาท ส่วนรุ่นธรรมดาขายเริ่มต้นที่ 18,999 บาท สำหรับรุ่นแรม 6 GB หน่วยความจำ 128 GB
ความอลังการของกล่อง OnePlus 6T McLaren Edition
แพ็กเกจของ OnePlus 6T McLaren Edition นั้นถือเป็นสุดยอดแพ็กเกจของมือถือตั้งแต่เราเคยแกะกันมาเลยนะครับ รายละเอียดในกล่องนั้นอลังการมากคือนอกจากจะมีตัวเครื่อง OnePlus 6T รุ่นพิเศษแล้วในกล่องยังประกอบด้วย
- เคสเคฟล่าร์ของ OnePlus 6T
- หนังสือประวัติของ McLaren ที่สามารถใช้แอป McLaren AR ในเครื่องส่องเพื่อดูวิดีโอประกอบได้ (ตัวแอปอยู่ในหมวด Toolbox ของเครื่อง)
- ป้าย McLaren Speed Mark ที่ใช้ชิ้นส่วนจากรถยนต์จริงๆ ของ McLaren มาใส่กรอบสวยงาม ตั้งโชว์ได้อย่างเท่
- หัว Warp Charge 30 Watt พร้อมสายชาร์จสีส้ม ต่างจากรุ่นธรรมที่เป็นสายสีแดง
- หัวแปลง USB-C to 3.5 mm แต่ไม่มีหูฟังแถมมาด้วย
ถ้าใครรักแบรนด์ McLaren ต้องรักแพ็กเกจนี้มากๆ ครับ ใส่ใจในรายละเอียดสุดๆ ไปเลย
OnePlus 6T ออกแบบร่วมกับ McLaren สวยงามน้ำตาไหล
- ดีไซน์ฝาหลังได้สวยมาก ถือเป็นสมาร์ตโฟนที่จับมือกับแบรนด์รถแข่งแล้วออกแบบสวยงามที่สุดรุ่นหนึ่งเลย
- สแกนนิ้วบนหน้าจอทำงานรวดเร็วดีมาก
- แถมเคสเคฟล่าร์อย่างดีมาให้ แต่ใส่แล้วรู้สึกว่าเครื่องหนาไปหน่อย
แน่นอนว่ามีโลโก้ของ McLaren มาประดับขนาดนี้แล้ว ดีไซน์ของตัว OnePlus 6T McLaren Edition ก็ต้องร่วมออกแบบโดยแบรนด์รถแข่งชั้นนำของอังกฤษ แม้ว่าดีไซน์พื้นฐานของตัวเครื่อง ทั้งขนาดจอและความหนา-ลึกต่างๆ จะไม่แตกต่างจาก OnePlus 6T รุ่นปกติ แต่ดีไซน์ของฝาหลังนั้นต้องบอกว่าสวยกว่ารุ่นปกติมากครับ ด้วยฝาหลังสีดำพร้อมขอบเครื่องเรืองแสงเป็นสีส้มมะละกอ สีประจำตัวของ McLaren ซึ่งเมื่อดูรายละเอียดของฝาหลังดีๆ จะเห็นลายเคฟล่าร์ถักทอซ่อนอยู่ในฝาหลัง พร้อมกับโลโก้ของ McLaren ที่เห็นเด่นชัดตีคู่มากับโลโก้ของ OnePlus เอง ซึ่งฝาหลังนี้เรายกให้เป็นฝาหลังที่สวยที่สุดตัวหนึ่งในมือถือปัจจุบันเลย
แต่ตัวเครื่องนั้นค่อนข้างลื่นนะครับ ฝาหลังเป็นกระจกลื่น ขอบข้างก็ลื่นเวลาที่เอาไปหนีบกับที่นำทางในรถก็มีการลื่นบ้าง ก็สามารถแก้ไขได้ด้วยการใส่เคสที่แถมมาให้ในกล่องครับ ซึ่งเคสของ OnePlus 6T McLaren Edition ก็ไม่ใช่เคสยางใสหรือเคสซิลิโคนไก่กา แต่เป็นเคสดีไซน์เคฟล่าร์อย่างเทพ ซึ่งเราก็เคยเห็นเคสหน้าตาประมาณนี้ขายแยกกันเป็นพัน แต่ OnePlus 6T แถมมาให้เลยในกล่อง หลังจากใส่เคสนั้นสัมผัสก็เทพมาก รู้สึกว่าเป็นวัสดุอย่างดี เครื่องก็ไม่ลื่นแล้ว เสียดายที่ไม่เห็นขอบเครื่องสีส้มมะละกอแล้ว และเมื่อใส่เคสก็ทำให้รู้สึกว่าเครื่องหนาไปหน่อยครับ
ส่วนด้านหน้าเครื่องนั้นเป็นหน้าจอ Optic AMOLED ขนาด 6.41 นิ้วความละเอียด Full HD+ 2340 x 1080 pixel ก็ให้สีสันได้สว่างสดใส สีดำลงลึกตามสไตล์ของจอ AMOLED แถมใช้กระจกหน้าจอเป็น Gorilla Glass 6 ซึ่งมีความทนทานมากที่สุดแล้ว แต่ก็ยังติดตั้งฟิล์มกันรอยมาให้อยู่ดี เพื่อความสบายใจของคนใช้
จุดเด่นของหน้าจอ OnePlus 6T คือติ่งด้านบนที่ติดตั้งกล้องหน้าความละเอียด 16 ล้านพิกเซลพร้อมลำโพงแนบหูครับ ซึ่งก็ทำให้กินพื้นที่หน้าจอไม่เยอะเมื่อเทียบกับบากแบบก่อนๆ และไฮไลท์เลยคือเซนเซอร์สแกนนิ้วบนหน้าจอ (In-Display Fingerprint) ที่ทำงานได้เร็วที่สุดตั้งแต่เราเคยเทสเซนเซอร์สแกนนิ้วบนหน้าจอมาแล้ว ซึ่งทำงานได้เร็วใกล้เคียงกับเซนเซอร์สแกนนิ้วแบบแยกแล้วครับ
พอร์ตและการควบคุมรอบเครื่อง OnePlus 6T
- จุดเด่นที่ดีงามเสมอคือมีสวิทซ์ปรับโหมดปกติ, สั่น, เงียบอยู่ข้างเครื่อง
- ชาร์จรวดเร็วทันใจด้วย Warp Charge 30
- ไม่มีพอร์ตหูฟัง 3.5 mm และไม่มีหูฟังแถมมาให้
จุดเด่นของ OnePlus ที่มีมาหลายรุ่นและอยากให้ Android รุ่นอื่นๆ ทำตามมากคือสวิทซ์เลื่อนเข้าโหมดสั่นและโหมดเงียบสนิทที่อยู่ข้างเครื่องนั้นเองครับ (แบบเดียวกับที่ iPhone มีทุกรุ่นนั้นแหละ แต่ของ OnePlus จะเลื่อนได้ 3 ระดับคือมีโหมด Silent ที่เงียบและไม่สั่นมาให้ด้วย) ซึ่งสวิทซ์นี้มีประโยชน์มากกว่าปุ่มเรื่องผู้ช่วยอัจฉริยะที่หลายแบรนด์ขยันใส่กันมาแน่นอน ไม่ต้องคอยเปิดจอก็ปิดเสียงในเครื่องได้ ดีจะตาย
ส่วนพอร์ตรอบๆ เครื่องบอกเลยว่ามีไม่ครบ 555 เพราะมีแค่ช่อง USB-C สำหรับชาร์จเท่านั้น ไม่มีช่องเสียบหูฟัง มีหัวแปลง USB-C เป็น 3.5 mm ให้ในกล่อง แต่ไม่มีหูฟังมาให้นะครับ ต้องซื้อแยกเอา ส่วนถาดใส่ซิมก็ใส่ได้แค่ 2 ซิม ไม่สามารถเพิ่ม MicroSD ได้ แต่เครื่องก็ให้ความจุมาให้ตั้ง 256 GB แล้วก็น่าจะใช้ได้เหลือๆ และที่รู้สึกขัดใจมากหน่อยคือ OnePlus 6T เป็นสมาร์ตโฟนตัวท็อปแล้ว แต่ดันมีลำโพงที่ท้ายเครื่องแค่ตัวเดียว แม้คุณภาพเสียงจะโอเค ให้เสียงได้ดังดี แต่มันไม่ใช่ลำโพงสเตอริโออ่ะ ส่วนการเชื่อมต่อหูฟังไร้สายก็ทำได้ดี รองรับโค้ดเสียง Bluetooth ตัวท็อปๆ อย่าง aptX HD หรือ LDAC เรียบร้อยครับ ถ้าใช้กับหูฟังที่รองรับก็เสียงดีแน่นอน
การชาร์จไฟและแบตเตอรี่ของ OnePlus 6T
ส่วนเรื่องการชาร์จนั้นก็ไว้ใจได้ด้วยเทคโนโลยีชาร์จระดับสูงสุดคือ OnePlus คือ Warp Charge 30 Watt ที่สามารถจ่ายไฟได้สูงสุด 5V 6A นั้นเองซึ่งเราวัดกระแสไฟที่จ่ายได้จริงด้วยเครื่องวัดไฟ USB-C ครับ ซึ่งก็น่าแปลกใจนิดหน่อยว่าช่วงแรกที่ชาร์จ ประมาณ 2-3 นาทีแรกจะสามารถจ่ายไฟได้ 5V 5.5A ซึ่งใกล้เคียงกับสเปกของ Warp Charge แต่หลังจากนั้นจะชาร์จแค่ 5V 3A หรือ 15 Watt ครับ ก็น่าแปลกใจเหมือนกัน
แต่อย่างไรก็ตาม การชาร์จจาก 0-100% ของ OnePlus 6T McLaren Edition ถือว่าเร็วน่าประทับใจครับ
- 10 นาทีแรกชาร์จได้ 15%
- 20 นาที ชาร์จได้ 32%
- 1 ชั่วโมง ชาร์จได้ 90%
- 1 ชั่วโมง 20 นาที ชาร์จเต็ม
ซึ่งประสิทธิภาพของแบตเตอรี่ความจุ 3700 mAh นั้นคือสามารถใช้งานได้ตลอดวันโดยไม่ต้องชาร์จตามแบบของ Android ยุคใหม่ทั่วไป แต่จบวันแล้วแบตเตอรี่เหลือไม่มากนะครับ ซึ่งก็ไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานในวันที่ 2 แน่ สรุปก็แบตอึดระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้อึดมากๆ เมื่อเทียบกับ Android หลายตัวในท้องตลาดปัจจุบัน
ประสิทธิภาพของ OnePlus 6T ไม่ต้องพูดเยอะ มันแรง
เรื่องประสิทธิภาพของ OnePlus 6T McLaren Edition นั้นไม่ต้องพูดถึงมากนะครับ ด้วย Snapdragon 845 ชิปตัวท็อปพร้อม RAM 10 GB และหน่วยความจำ 256 GB เล่นเกมทุกเกมได้ลื่นหมด ใช้งาน LINE, facebook ก็ลื่นไม่มีสะดุด แถมด้วยแรมที่มีมหาศาลทำให้ไม่ต้องโหลดหน้าเว็บ หรือเปิดแอปซ้ำกันบ่อยๆ เรียกว่าเป็นการใช้งานเครื่องที่ฟินมากที่สุดเครื่องหนึ่งเลยดีเดียว ทุกอย่างมันเร็ว มันลื่นไปหมด
ซึ่งคะแนนจาก Benchmark ต่างๆ ก็ออกมาตามนี้ครับ อาจจะไม่ได้เร็วที่สุดแต่ก็เร็วในระดับท็อปของโลกมือถือตอนนี้แล้วแหละ
คุณภาพกล้องก็ไม่เป็นรองใคร
- กล้องหลังให้คุณภาพภาพถ่ายดีงามมาก ภาพสวยสมจริง สีสันอิ่มแน่น
- กล้องหน้าก็ไม่น้อยให้ ให้คุณภาพภาพดีมาก สวยสมจริง ไม่หลอกตา
- ถ่ายภาพกลางคืนในโหมด Nightscape ได้สวยงาม แต่ใช้เวลาประมวลผลนานไปหน่อย
ชื่อชั้นของแบรนด์ OnePlus กับเรื่องกล้องนั้นอาจจะไม่เด่นนัก แต่ OnePlus 6T ถือว่าทำกล้องมาดีมาก ใช้งานง่ายๆ แต่ให้สีสันที่อิ่มแน่น ดูดี จนเป็นสมาร์ตโฟนอีกรุ่นที่เราชอบคุณภาพภาพเลย
สเปกของกล้องหลัง OnePlus 6T นั้นแปลกหน่อยนะครับ คือกล้องหลังประกอบด้วยกล้อง 2 ตัวที่สเปกใกล้เคียงกัน
- กล้องหลังตัวหลักความละเอียด 16 ล้านพิกเซล f/1.7 เป็นเซนเซอร์ Sony IMX519 พร้อม OIS และ EIS
- กล้องหลังตัวรองความละเอียด 20 ล้านพิกเซล f/1.7 เป็นเซนเซอร์ Sony IMX 376K
ซึ่งโดยปกติแล้วกล้องหลัง 2 ตัวของสมาร์ตโฟนทั่วไปจะมีสเปกที่แตกต่างกันเพื่อให้ซูมได้แบบไม่เสียรายละเอียด หรือใช้กล้องรองความละเอียดน้อยเพื่อลดต้นทุน แต่ OnePlus 6T กลับใช้กล้องที่สเปกใกล้เคียงกัน อันนี้ไม่แน่ใจเหมือนกันว่ามีเหตุผลในการออกแบบกล้องว่ายังไง อาจจะต้องการความเนียนในการถ่าย Portrait หน้าชัดหลังเบลอก็ได้ แต่คุณภาพภาพได้นั้นดีมากครับ
นอกจากนี้ OnePlus 6T ยังมีโหมดที่จำเป็นถ่ายภาพมาครบอย่างโหมดถ่ายกลางคืนที่สามารถถือเครื่องเพื่อเปิดหน้ากล้องนานแล้วเก็บภาพอย่างสวยงามได้ด้วย แต่เสียอย่างเดียวที่ใช้เวลาประมวลผลนานไปหน่อย ส่วนโหมดโปรก็สามารถปรับ ISO ได้สูงสุด 3200 (แต่ถ้า Auto จะปรับได้สูงสุด 6400) ส่วนความเร็วชัตเตอร์ปรับได้ระหว่าง 1/8000 – 30 วินาที แถมยังสามารถถ่าย RAW ได้ด้วย โหมด Slow Motion สามารถถ่ายได้สูงสุด 240 fps สำหรับความละเอียด Full HD และ 480 fps สำหรับ HD โหมด Portrait ก็สามารถถ่ายภาพหลังเบลอได้ แถมปรับ Bokeh ได้ด้วยว่าจะเอาเป็นรูปกลมปกติ, หัวใจ หรือดาว
ตัวอย่างภาพจากกล้องของ OnePlus 6T
ส่วนกล้องวิดีโอนั้นก็สามารถถ่ายด้วยความละเอียดสูงสุด 4K ซึ่งผลที่ได้ก็ออกมาดีเลย กล้องสามารถจัดการกับความสั่นไหวระหว่างถ่ายวิดีโอได้ดีระดับหนึ่งเลย
และกล้องหน้าก็น่าประทับใจครับ คือถ้าปิดเอฟเฟกหน้าสวยทั้งหมด จะได้ใบหน้าที่สมจริงและยังดูดี ให้โทนสีผิวที่ดีเยี่ยมอยู่ ส่วนถ้าเปิดเอฟเฟกหน้าสวยขึ้นมาก็จะได้หน้าที่เนียนๆ ขึ้นมาหน่อย แต่เราชอบแบบปิดเอฟเฟกมากกว่านะ
สรุปประสบการณ์การใช้ OnePlus 6T McLaren Edition ในชีวิตประจำวัน
- ที่น่าชื่นชมคือคือ OxygenOS ของ OnePlus นั้นดีไซน์แบบใส่ใจในรายละเอียดมาก โดยเฉพาะเรื่องการใช้ Font ในระบบที่มีตัวหนา-ตัวบาง อย่างมีดีไซน์ไปตลอด การใช้ธีมสีที่เข้ากับธีมของ McLaren ซึ่งโดยรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือกัน
- แต่ OxygenOS กลับไม่ใช่ OS ที่มีความสามารถครบถ้วนอย่างที่เราหวังไว้ตั้งแต่แรก เช่นไม่สามารถบันทึกเสียงสนทนาได้, ไม่รองรับ VoLTE, VoWifi (ในตอนที่เรารีวิว), ไม่รองรับ Wifi Bridge ที่ใช้กระจายสัญญาณ Wifi ต่อจากที่รับได้ ซึ่งก็น่าเสียดายตรงนี้
- ส่วนการใช้นำทางด้วย GPS ก็ทำได้ดีในระดับมาตรฐานครับ แต่ถ้าขับรถเข้าอุโมงค์สักพัก หรือวิ่งใต้ทางด่วนที่ปิดมากๆ ก็มีการหยุดนำทางเพราะสัญญาณ GPS ขาดหายไปบ้าง
- Wifi รองรับระบบ 2×2 MIMO ทำให้สามารถเชื่อมต่อได้ด้วยความเร็วเกือบ Gbps บนระบบ Wifi ที่รองรับ
- ทดสอบการเล่นภาพยนตร์ใน Netflix รองรับความละเอียดภาพที่ 720p เหมือนแอนดรอยส่วนใหญ่
สรุป OnePlus 6T (ทั้งรุ่นธรรมดาและ McLaren Edition) เป็นสมาร์ตโฟนที่โอเคมากๆ คือในราคาไม่ถึง 2 หมื่นสำหรับรุ่นธรรมดา และไม่ถึง 26,000 บาทสำหรับรุ่น McLaren (ถ้ายังหาได้นะ ข่าวว่าขาดตลาดไปแล้ว) แต่ได้เครื่องแรง กล้องดี ระบบสมดุลย์