Our score
8.5Vivo V15
จุดเด่น
- กล้องหน้า 32 ล้านพิกเซลเฉียบเหมือนรุ่น Pro
- สเปกคุ้มและเกินราคา!
- หน้าจอ Ultra Fullview Display ไร้ติ่งไร้กล้องเจาะรูคือดีงามเต็มตาสุด ๆ
- รูปทรงของเคสที่แถมมาให้ออกแบบได้เข้ากับเครื่องแบบสุด ๆ
- ความจำให้มา 128GB เลยทีเดียว!
จุดสังเกต
- ยังเป็นพอร์ตชาร์จ Micro USB อยู่! (แต่ถือว่ายังดีที่มีฟาสชาร์จมาให้)
- ปุ่มบนเคสแข็งไปสักนิด
-
รูปลักษณ์ภายนอก
7.5
-
คุณภาพจอ
7.5
-
ประสิทธิภาพเครื่อง
9.0
-
ประสิทธิภาพกล้อง
10.0
-
ความคุ้มค่า
8.5
หลังจากที่ทางแบไต๋เพิ่งจะรีวิวตัวรุ่นพี่ไปอย่าง Vivo V15 Pro คราวนี้ก็มาถึงรุ่นที่มีราคาน่าจับต้องเพียง 10,990 บาทที่มีชื่อรุ่นธรรมดาสามัญกว่าอย่าง “VIVO V15” แต่ขอโทษทีนะครับ เห็นแบบนี้ตัวเครื่องยังจัดหนักจัดเต็มไปแม้รุ่นพี่เลยทีเดียว! แต่จะมีอะไรบ้างที่ยังคงอยู่หรือถูกตัดทอนไป เชิญหาคำตอบในรีวิวนี้ได้เลยจ้า
สเปกโดยละเอียดของ Vivo V15
- ขนาดหน้าจอ: 6.53 นิ้ว ไร้ติ่งในชื่อ “Ultra Fullview Display”
- ประเภทหน้าจอ: IPS-LCD
- อัตราส่วนแสดงผลของหน้าจอ: 90.95%
- ความละเอียดหน้าจอ: FullHD+ (2340 x 1080)
- ความปลอดภัยด้วยการยืนยันตัวตน: ระบบตรวจสอบลายนิ้วมือด้านหลังเครื่อง
- หน่วยความจำภายใน: 128GB (ใส่ microSD เพิ่มได้สูงสุด 256GB)
- แรม: 6GB
- ระบบปฎิบัติการ: Android v9.0 (Pie) พร้อม UI ปรับแต่งเพิ่มเติมเป็น Funtouch OS
- ชิปประมวลผล: MediaTek Helio P70
- แบตเตอรี่: 4,000 mAh พร้อมเทคโนโลยี Dual Engine Fast charge
- ถาดใส่ซิม: รองรับ 2 ซิมการ์ดขนาด Nano-SIM (3G – 4G)
- กล้องหน้า: เทคโนโลยีซ่อนกล้อง ความละเอียด 32 ล้านพิกเซล f/2.0
- กล้องหลัง (Triple Camera): กล้องหลัก 24 ล้านพิกเซล f/1.8 + กล้อง Depth Sensor ช่วยทำภาพชัดลึก-ตื้น 5 ล้านพิกเซล f/2.4 + กล้องมุมกว้าง (Ultrawide) 8 ล้านพิกเซล f/2.2 ระยะรับภาพที่ 13 มิลลิเมตร
- พอร์ต: แจค 3.5 มิลลิเมตร, Micro USB 2.0
ดีไซน์สวยไล่เฉดสีเยี่ยม
Vivo V15 มีดีไซน์ภายนอกที่สวยงามไม่แพ้เจ้าไหนในตลาดเหมือนกัน เริ่มกันที่ด้านของตัวเครื่องที่ฝาหลังออกแบบมาให้มีความโค้งมนเช่นเดียวกันกับสันตัวเครื่องที่ดีไซน์ออกมาในรูปแบบของ Diamond-Cut แถมบริเวณมอเตอร์ที่ใช้ในการเลื่อนกล้องหน้าที่ซ้ำยังเป็นพื้นเรียงลำดับกล้องหลังเองก็ดูเข้ากับตัวเครื่องดี ในขณะที่ฟากของสีตัวเครื่องนั้น ผู้เขียนก็ได้รุ่นที่เป็นสีแดง Glamour Red (กลามัวร์ เรด) ซึ่งก็มีการไล่เฉดของสีแดงอย่างสวยงาม พร้อมด้วยเท็กเจอร์หรือพื้นผิวที่มีประกายระยิบระยับยามเมื่อสะท้อนแสง
สเปกนี้คุ้มราคาแล้ว!
ปกติแล้วเวลาที่สมาร์ตโฟนทั้งหลายมีรุ่นหรือว่าเรนจ์ราคาให้เลือกได้ โดยส่วนมากก็มักจะถูกตัดสเปกออกไปจนเห็นความต่างกันของแต่ละรุ่นได้ชัดเจน แต่ผู้เขียนขอบอกเลยว่าไม่ใช่กับ Vivo! เพราะในหลายสเปกของ V15 นั้น ยังคงเดิมไว้ไม่ต่างจากรุ่น Pro จะมีก็แค่ด้านของชิปประมวลผลที่เปลี่ยนเป็น “MediaTek Helio P70” มีแกนประมวลผลถึง 8 คอร์หรือชื่อทางการว่า Octa-core (4×2.1 GHz Cortex-A73 & 4×2.0 GHz Cortex-A53) พร้อมมีชิปประมวลผลกราฟิกด้านในอีกทอดเป็น Mali-G72 MP3
ที่สาธยายยาวเกี่ยวกับสเปกของชิปประมวลผลรุ่นนี้มาทั้งหมดนั้น เอาจริง ๆ สามารถรวบตึงและเข้าใจง่าย ๆ ได้ในไม่กี่คำนะ เอาเป็นว่าชิปรุ่นนี้ มีความแรงจัดอยู่ในระดับกลาง ๆ ของสมาร์ตโฟนและเป็นชิปโดยสามัญที่พบเจอได้บนรุ่นราคามิดเรนจ์ ซึ่งเมื่อรวมเข้ากับ Ram 6GB ผู้เขียนว่ามันก็มากพอจะเอาไปเล่นเกมแห่งยุคนี้ทั้งหลายได้แล้วนะ (ROV, PUBG ฯลฯ) และไหนจะเรื่องของความจำภายในถึง 128GB ที่ก็เหลือกินเหลือใช้ในการลงแอปต่าง ๆ แถมมากกว่าหลายเจ้าในท้องตลาดเมื่อมีราคาใกล้กันเคียงกัน
“Game Cube” โหมดเพื่อคนเล่นเกม
ไม่เพียงแต่สเปกที่พอดีและดีพอ แต่ทาง Vivo ก็ยังมีฟีเจอร์ที่จะช่วยให้การเล่นเกมของคุณราบรื่น โดยในระหว่างที่เล่นอยู่ หากเราใช้สองนิ้วสไลด์จอฝั่งซ้ายก็จะเป็นการดึงหน้าต่าง Game Cube ซึ่งเราจะสามารถเลือกทำได้ตั้งแต่ รับสายโทรศัพท์พร้อมเล่นเกมไปพร้อม ๆ กัน, บลอกการแจ้งเตือนของแอปทั้งหลายในระหว่างที่เล่นเกมอยู่, บางเกม (ส่วนใหญ่จะเป็นเกมแห่งยุคนั่นแหล่ะ ROV, PUBG ฯลฯ) ตัวฟีเจอร์จะนับถอยหลังให้เมื่อใกล้ถึงเวลาที่ตัวละครเราสามารถกลับมาเล่นได้อีกรอบ, สามารถปล่อยให้ตัวละครในเกมของเราเคลื่อนที่หรือกระทำการอัตโนมัติได้ในขณะที่จอดับ, ตัวฟีเจอร์จะปรับลดกราฟิกของเกมให้สามารถเล่นได้ลื่นไหลขึ้น (แม้การตั้งค่ากราฟิกเดิมจะไม่ทำให้เกมกระตุกแต่ทางฟีเจอร์จะปรับให้เพื่อกันเหนียว)
หน้าจอเต็มตาไร้ติ่งไร้รูในชื่อ “Ultra Fullview Display”
ในที่สุดสมาร์ตโฟนยุคนี้ก็กลับมีมีหน้าจอที่เต็มตาอีกครั้งเสียที! ซึ่ง Vivo เองก็เป็นเจ้าแรก ๆ ที่วกกลับไปสู่ความสะอาดสะอ้านตาที่พวกเขายังมีชื่อความเนี๊ยบนี้ออกมาว่า “Ultra Fullview Display” (ขออนุญาตแปลแบบเว่อร์วังออกมาว่า อภิมหาหน้าจอเต็มตา) ที่มีขนาดหน้าจอถึง 6.53 นิ้ว แบบ FHD+ (2340 x 1080) พร้อมยังมีอัตราส่วนแสดงผลของหน้าจอที่ Vivo เคลมว่าทำได้มากถึง 90.95% อีกด้วย
แต่ในส่วนของหน้าจอนั้น Vivo V15 จะแตกต่างออกไปจากรุ่นโปรตรงประเภทของหน้าจอเป็น IPS-LCD ที่จะให้สีของภาพมีความธรรมชาติตามต้นฉบับ ต่างจากรุ่นพี่ที่เป็น Super Amoled ที่จะเด่นชัดด้านการเร่งความอื่มตัวของสีขึ้น
แต่เอาเข้าจริง ๆ หลังจากที่ผู้เขียนได้ทดลองเอาไปใช้ก็พบว่าประเภทหน้าจอดังกล่าวไม่ได้ระแคะระคายสายตาแต่อย่างใด แถมฉายาที่ถูกตั้งออกมาอย่างยืดยาวนั้น “ก็ไม่ใช่คำอวดอ้างสรรพคุณ” เพราะทุกรูปแบบการใช้หน้าจอมันสบายตาเอามาก ๆ พอกันทีกับการมีแถบดำมาถมติ่งหรือกล้องเจาะรูที่ดูยังไงก็หลอกตา! เล่นเกมไปเลยชัด ๆ ส่องโซเชี่ยลไปเลยลื่น ๆ ดูวิดีโอไปเลยเนียนกริ๊บนัยเนตร!
กล้องหน้าป๊อปอัปพลังถ่ายรูปสูง 32 ล้านพิกเซล!
ปฎิเสธไม่ได้เลยล่ะครับว่าในทุก ๆ รุ่นของ Vivo พวกเขามักจะผลักดันให้เรื่องของกล้องหน้าเด่นชัดกว่าเจ้าอื่น ๆ ในท้องตลาด ซึ่งไม่ว่าจะเจ้ารุ่น Pro และปกติอย่าง Vivo V15 นั้น ทั้งคู่ก็ยืนพื้นความทรงพล้งด้านกล้องหน้าด้วยความละเอียดเท่ากันถึง 32 ล้านพิกเซลซึ่งเยอะที่สุดในตลาดตอนนี้แล้วล่ะ!
แน่นอนว่าภาพที่ได้จากกล้องหน้านั้น จะมีความละเอียดและความคมชัด เก็บรายละเอียดทุกอย่างในภาพได้อย่างครบถ้วน และเมื่อผสมเข้ากับโหมด AI Beauty ที่เวอร์ชั่นนี้ Vivo ได้อัปเดตให้ผู้ใช้สามารถปรับลดได้ละเอียดกว่าเดิม สีผิวเนียนอมชมพู หน้าเรียว ขนาดของตา กราม หน้าผาก หรืออะไรก็ตามที่เป็นอวัยวะบนหน้า “สมาร์ตโฟนแห่งการเซลฟี่เครื่องนี้เนรมิตให้ได้หมด” (แต่ก็ควรปรับแบบพอดี ๆ เดี๋ยวจะโป๊ะแตกเอานะจ๊ะ)
และสำหรับใครที่กังวลกับการทำงานของกล้องหน้า Pop-up แบบผุบๆ โผล่ๆ นี้อยู่ล่ะก็ ทาง Vivo เขาเคลมมาว่ากล้องหน้าของพวกเขา จะสามารถเลื่อนขึ้นลงนับเป็นหนึ่งครั้ง ได้ถึง “300,000 ครั้ง” ลองคำนวณเล่นๆ กดวันละ 100 ครั้งคูณด้วย 365 วัน ก็ยังเสียไปแค่ 36,500 ครั้งเอง อีกทั้งในเรื่องระยะเวลาของการเลื่อนกล้องขึ้นมาที่ใช้เวลาโดยประมาณไม่ถึง 1 วินาที (ประมาณ 0.40 – 0.46 วินาที) ซึ่งมันก็เป็นเวลาที่พอเหมาะพอเจาะกันดีเหมือนการสลับฝั่งกล้องสมาร์ตโฟนเครื่องอื่น ๆ นั่นแหล่ะ
กล้องหลัง 3 ตัวพลัง AI
กล้องหลังของรุ่นนี้ก็มีมาให้ทั้งสิ้น 3 ตัวเช่นเดียวกันกับรุ่นโปรครับ หากแต่จะแตกต่างกันเพียงกล้องหลังหลักที่จะมีความละเอียดอยู่ที่ 12 ล้านพิกเซล แต่กระนั้นก้มีการทำงานแบบ Dual Pixel ซึ่งส่งผลให้มีเซ็นเซอร์รับภาพอยู่ที่ 24 ล้านพิกเซล ทำให้มีข้อดีเป็นความไวในจับโฟกัสภาพ ที่ยังทำงานควบคู่กับกล้องตัวถัดไปที่เป็น Depth Sensor ความละเอียด 5 ล้านพิกเซลได้อยู่เช่นเดิม ทำให้ภาพที่ออกมาจะมีระยะหน้าชัดเบลอหลังที่เป็นธรรมชาติ (และยังจะสามารถไปปรับแต่งจุดชัดและความเบลอมากเบลอน้อยได้ในภายหลัง) และปิดท้ายด้วยกล้องมุมกว้างอย่าง Ultra Wide Angle ที่มีความละเอียด 8 ล้านพิกเซล ระยะรับภาพที่ 13 มิลลิเมตร สามารถแก้สถานการณ์ถ่ายในพื้นที่แคบให้ออกมากว้างเก็บครบทุกคนหรือสิ่งที่อยากจะให้เห็นในเฟรมภาพ
ส่วนทางด้าน AI ก็แน่นอนว่าไม่ได้ประกบเข้ามาในชื่อเพียงแค่เสริมบารมีความเท่ หากแต่ในแง่ของการทำงาน ปัญญาประดิษฐ์นี้ก็จะเข้ามาช่วยเหลือให้การถ่ายภาพของเราให้มีมาตรฐานตามการถ่ายภาพที่แม่นยำ ไม่ว่าจะทั้งการประเมินภาพรวมทั้งหมดในเฟรมและแปลงออกมาเป็นประเภทของภาพที่เหมาะสม, ช่วยจัดวางองค์ประกอบภาพให้สวยงามมากขึ้น ฯลฯ
ได้อย่าง (ชาร์จไว Dual Engine Fast Charging) ก็ต้องเสียอย่าง (พอร์ต Type-C)
นี่ดูจะเป็นข้อดีและข้อสังเกตในตัว แต่เอาเป็นว่าเราข้อแง้มถึงข้อสังเกตก่อนและกัน Vivo V15 นั้นมีสิ่งที่น่าเสียดายยิ่งอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการที่ตัวเครื่องใช้ยังพอร์ตเชื่อมต่อเป็น USB 2.0 อยู่ ซึ่งมันจะเกิดความยุ่งยากในการเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์ปัจจุบันหลายชิ้นพอสมควร แต่กระนั้น Vivo คงจะดีว่าพอร์ตดังกล่าวอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกเสียใจ พวกเขาเลยแก้จุดอ่อนตรงนี้ด้วยการใส่เทคโนโลยีชาร์จไวเข้ามาให้ (Dual Engine Fast Charging) ซึ่งเมื่อนำมาบวกลบกันก็กลบข้อสังเกตได้นะ และไหนจะเรื่องของแบตเตอรี่
บทสรุป Vivo V15
โดยรวม Vivo V15 คือสมาร์ตโฟนราคาหมื่นต้น ๆ ที่น่าสนใจอีกหนึ่งรุ่นในท้องตลาดเมื่อคำนวณกับสิ่งที่ได้ ทั้ง หน้าจอไร้ติ่งไร้กล้องเจาะรูที่สบายตายามได้มอง, สเปกที่คุ้มค่าตามราคาเล่นเกมของยุคนี้ต่าง ๆ ได้อย่างสบายหายห่วง, กล้องหน้าพลังถ่ายภาพสูงถึง 32 ล้ายพิกเซลและโหมด AI Beauty และปิดท้ายด้วยแบตเตอรี่ที่ให้มามากถึง 4,000 mAh มากพอให้ใช้งานด้านต่าง ๆ ระหว่างวันโดยไม่ต้องกลัวแบตหมด!