ช่วงปลายปีแบบนี้ OnePlus 7T Series ก็ออกมาสานต่อความสำเร็จของรุ่นพี่ โดยออกมาถึง 3 รุ่นคือ OnePlus 7T รุ่นน้องเล็ก ราคาสุดคุ้ม แล้วก็ OnePlus 7T Pro รุ่นท็อป และ OnePlus 7T Pro McLaren Edition รุ่น Limited ที่เป็นตัวท็อปของท็อป จะน่าสนใจขนาดไหน beartai รีวิวให้แบบจัดเต็ม!
กล่องภายนอก
แต่ๆ สิ่งที่ผมตกใจมากกว่าตัวเครื่อง OnePlus 7T ทั้ง 3 รุ่นคือกล่องครับ OnePlus 7T ที่เราได้มารีวิวนี้จะกล่องใหญ่ไปไหนเนี่ย มีของให้ทุกอย่างอยู่ในนี้เลย เคสที่เอามาโชว์ก็สวยงาม มีทั้งเคส Kevlar, เคสซิลิโคนสีแดง รวมถึงกระจกกันรอยที่หาซื้อเพิ่มกันได้ ซึ่งนี่คือกล่องสำหรับนักรีวิวนะครับ ของขายจริงจะได้กล่องมือถือกล่องเล็กๆ ตัวนี้ ซึ่งภายในกล่องก็มีเคสใสให้ หัว WarpCharge 30T และสายชาร์จ USB-C ซึ่งของภายในกล่อง OnePlus 7T และ 7T Pro จะเหมือนกันครับ
ส่วนกล่องของ OnePlus 7T McLaren Edition ภายนอกจะห่อด้วยกระดาษที่ดูดีครับ เวลาแกะออกมาจะเหมือนแกะแพ็กเกจญี่ปุ่นที่มีการพับไปพับมา ก็รู้สึกหรูหราดีเหมือนกัน ภายในกล่องก็มีหัว WarpCharge 30T พร้อมสายชาร์จมาเหมือนกัน ซึ่งในกล่องจะมีเคสที่ใช้วัสดุคาร์บอนไฟเบอร์ และผ้า plush Alcantara จากอิตาลี แบบเดียวที่ตกแต่งในรถสปอร์ต ออกแบบมาได้สวยงามทีเดียว
สเปค
แล้วทั้ง OnePlus 7T 3 รุ่นนี้มีอะไรที่เหมือนกันบ้าง อย่างแรกคือ CPU เป็นรุ่นสูงสุดเหมือนกันหมดคือ Qualcomm Snapdragon 855+ ถึงคุณซื้อรุ่นเล็กอย่าง OnePlus 7T คุณก็ได้ซีพียูตัวท็อปไปใช้ เพียงแต่ RAM กับพื้นที่ของแต่ละเครื่องจะต่างกันหน่อย
คือ OnePlus 7T จะได้แรม 8 GB พร้อมพื้นที่ 128 GB ส่วน OnePlus 7T Pro ก็ได้แรม 8 GB เหมือนกัน แต่พื้นที่เพิ่มเป็น 256 GB และรุ่นสุูงสุด OnePlus 7T Pro McLaren อัปแรมไป 12 GB ส่วนพื้นที่จัดเก็บเป็น 256 GB เท่ารุ่นโปรครับ
และนอกจากนี้ยังมีเรื่องสแกนนิ้วครับ มีใต้จอ สแกนได้รวดเร็วเหมือนกันทั้ง 3 รุ่น และลำโพงก็เหมือนกัน ทุกรุ่นได้ลำโพงสเตอริโอที่เสียงดี เสียงดังเหมือนกัน มี Switch เลื่อนโหมดเสียงดัง, สั่น, ปิดเสียงที่เป็นเอกลักษณ์ของ OnePlus เหมือนกัน ซึ่งเจ้าตัวเลื่อนนี้ดีงามจนอยากให้ Android ทุกค่ายทำตาม
นอกจากนี้ก็ไม่มีช่องหูฟังเหมือนกัน ใส่การ์ด MicroSD ไม่ได้เหมือนกัน
ทุกรุ่นมาพร้อม Warp Charge 30T หรือจ่ายไฟ 30 Watt ซึ่งทำให้ชาร์จเร็วกว่ารุ่นเดิม 23% แต่แบตเตอรี่ของ 7T จะมี 3800 mAh น้อยกว่า 7T Pro ที่ให้แบตเตอรี่มา 4085 mAh แต่ก็ใช้งานได้เกินวันทั้งคู่
และ OnePlus 7T ทุกรุ่นยังเป็น Oxygen OS 10 ที่ครอบทับ Android 10 แล้ว ซึ่งถือว่าเป็นมือถือรุ่นแรกในไทยที่ขายพร้อม Android 10
และที่สำคัญที่สุดคือหน้าจอของทุกรุ่นเป็นจอ Fluid Display แบบ 90 Hz ทั้งหมด สามารถแสดงการเคลื่อนไหวได้นุ่มมาก แบบที่คุณได้มาลองจอของ OnePlus แล้วจะรู้สึกกระแตะขึ้นตา ก็ตามสโลแกน “Smooth like Never Before” ใช้จอของสมาร์ตโฟนอื่นๆ แล้วมันไม่นุ่มแล้ว และทุกรุ่นก็เป็นจอ AMOLED เหมือนกัน แสดงสีสันได้สวยงาม เปิด Netflix ก็รองรับความละเอียด 1080p HDR10+ ทุกรุ่น
โดยที่แบ่งความละเอียดกับขนาดของจอเป็นดังนี้
- OnePlus 7T จะเป็นจอ Full HD+ 1080p ขนาด 6.55 นิ้ว
- OnePlus 7 Pro ทั้ง 2 รุ่นจะเป็นจอ qHD+ 1440p ขนาด 6.67 นิ้ว
ดีไซน์ภายนอก
แต่สิ่งที่ OnePlus 7T Series ทั้ง 3 รุ่นนี้ต่างกันเยอะคือดีไซน์ครับ มาเริ่มที่ OnePlus 7T เฉยๆ ตัวน้องกันก่อน การออกแบบเด่นของรุ่นนี้อยู่ที่ชุดกล้องวงกลมด้านหลัง คือมันก็มี 3 เลนส์ตามปกตินี่แหละครับ แต่พอจับเอาแฟลช เอากล้องมาเรียงกันในวงกลมแบบนี้มันก็สวยดีเหมือนกัน แต่จะตินิดหนึ่งตรงที่วงกลมของกล้องนี้เราว่ามันสูงชันไปนิดครับ โดยไม่เฉพาะคนที่ไม่ได้ใส่เคส ก็เอาเป็นว่า เราใส่เคสกันเถอะ
ส่วนฝาหลังของ OnePlus 7T ตัวนี้เป็นสี Frosted Silver ก็เป็นสีเทาเข้มในชื่อ Gun Metal นั่นเอง และมีอีกสีหนึ่งคือสีน้ำเงิน Glacier Blue ซึ่งฝาหลังตัวนี้ดีไซน์ให้โค้งรับกับฝ่ามือดีครับ แต่กระจกด้านหน้าจอนี้ไม่ได้โค้งแบบฝาหลังนะครับ ก็น่าจะถูกใจใครหลายๆ คน ซึ่ง OnePlus 7T นั้นใช้จอดีไซน์หยดน้ำเล็ก ๆ เพื่อวางกล้องหน้า แตกต่างจาก OnePlus 7T Pro ที่ไม่มีติ่งที่หน้าจอ เพราะซ่อนกล้องหน้าไว้ในตัวเครื่องครับ
ส่วน OnePlus 7T Pro ดีไซน์ตัวเครื่องแทบไม่ต่างจาก OnePlus 7 Pro ที่เปิดตัวไปเมื่อต้นปีเลย ซึ่งจุดสังเกตที่ชัดที่สุดอยู่ตรงเซ็นเซอร์ Laser Focus ข้างเลนส์ตัวนี้ครับ ซึ่งรุ่น 7 Pro จะไม่มี ส่วนสีฝาหลังสีนี้จะเรียกว่า Haze Blue ซึ่งเป็นเฉดที่ต่างจาก Nebula Blue ของ OnePlus 7 Pro อยู่นิดหนึ่งครับ ตรงที่จะอมเขียวหน่อย ๆ นั่นเอง
สุดท้ายคือ OnePlus 7T Pro McLaren Edition ที่ก็อิงดีไซน์มาจาก OnePlus 7T Pro ครับ แต่ใช้สีเน้นของเครื่องเป็นสีส้ม Papaya Orange ตามสีเอกลักษณ์ของแบรนด์รถ MaLaren และฝาหลังเครื่องก็มีลวดลายที่ได้แรงบันดาลใจมาจากพวงมาลัยและคอนโซลรถ McLaren Speedtail 2020 ครับ ก็สวยแปลกตาเลยทีเดียว
นอกจากนี้ UI ของรุ่น McLaren Edition ยังใช้สีส้มเป็นสีเน้น มี Wallpaper และนาฬิกาดีไซน์เฉพาะตัว ให้เหมาะสำหรับความเป็นรุ่น McLaren ครับ ซึ่งรุ่นอื่นไม่มีให้เลือกแบบนี้นะ
บางทีคนเราจะรู้ว่าเริ่มแก่ ก็ตอนต้องรีวิว 3 เครื่องพร้อมกันนี่แหละ! มาถึงเรื่องที่หลายคนอยากรู้กันบ้างคือเรื่องกล้อง อันนี้ผมเล่าได้ง่ายหน่อย เพราะมันแทบจะเหมือนกันหมดเลย!
กล้อง
กล้องหลัง
OnePlus 7T Series ทั้ง 3 รุ่นมีกล้องหลัง 3 ตัวเหมือนกัน กล้องหลังตัวหลักมีความละเอียด 48 ล้านพิกเซล แต่ถ่ายภาพจริงที่ 12 ล้านพิกเซล f/1.6 เท่ากันหมดทั้ง 3 รุ่น เช่นเดียวกับกล้องมุมกว้าง 16MP f/2.2 ให้มุมภาพ 0.6x เหมือนกันทั้ง 3 รุ่นเช่นกัน
แต่เลนส์ซูมตัวที่ 3 นี้จะแตกต่างกันแล้ว คือ OnePlus 7T มาพร้อมเลนส์ซูม 2 เท่า ความละเอียด 12 MP f/2.2 ส่วน OnePlus 7T Pro ทั้ง 2 รุ่นจะมาพร้อมเลนส์ซูม 3 เท่า 8MP f/2.4 ซึ่งเมื่อซูมดิจิตอลไปที่ 5 เท่า ก็จะเห็นว่าภาพจาก OnePlus 7T Pro สามารถเก็บรายละเอียดได้ดีกว่า
ซึ่งภาพถ่ายด้วยกล้องหลักนั้น ทั้ง OnePlus 7T และ OnePlus 7T Pro ให้คุณภาพภาพที่ดีมาก การถ่ายภาพเวลากลางวันก็เก็บรายละเอียดแสงสีได้ยอดเยี่ยม ระบบ Auto HDR สามารถชดเชยส่วนมืดกับส่วนสว่างได้อย่างดี การใช้โหมด Portrait ก็ตัดขอบบุคคลได้เนียนตาดี ซึ่งค่าปกติของการถ่าย Portrait จะใช้กล้องซูม 2 เท่าเพื่อให้ใบหน้าคนเด่นชัด แต่เราก็สามารถใช้ระยะ 1 เท่าเพื่อถ่ายได้เช่นกัน และการถ่ายภาพกลางคืน ก็สามารถเปิดหน้ากล้องนานในโหมด Nightscape เพื่อรับแสงได้ทั้งเลนส์หลักและเลนส์มุมกว้าง โดยเฉพาะเลนส์มุมกว้างที่ปกติรับแสงได้น้อยกว่าเลนส์หลักอยู่แล้ว ก็ทำให้ถ่ายภาพกลางคืนได้ชัดเจน
นอกจากนี้ใน OnePlus 7T Series ยังเพิ่มโหมด Super Macro โหมด Macro ที่ปรับไปใช้เลนส์มุมกว้างถ่ายวัตถุระยะใกล้สุดแค่ 2.5 cm ใครที่ชอบถ่ายดอกไม้ หรือถ่ายสิ่งของเล็กๆ ก็น่าจะชอบโหมดนี้
ส่วนการถ่ายวิดีโอด้วยกล้องหลังนั้นทำได้ดี สามารถถ่ายวิดีโอ 4K 60 fps ได้นุ่มนวลด้วยเลนส์หลัก นอกจากนี้ยังมีโหมด Super Steady ที่จะถ่ายวิดีโอด้วยเลนส์มุมกว้างมาก มาครอปเพื่อให้ป้องกันภาพสั่นไหวได้ดีที่สุด ที่แม้วิ่งถ่าย ก็ยังให้ภาพเคลื่อนไหวที่ดูรู้เรื่องอยู่
แต่ข้อจำกัดของวิดีโอจาก OnePlus 7T Series คือถ้าถ่ายด้วยความละเอียด 4K จะไม่สามารถซูมภาพสลับเลนส์ไปมาได้เลย ต้องเลือกเลนส์มุมกว้างหรือมุมปกติที่จะถ่ายตั้งแต่แรก ส่วนถ้าต้องการสลับเลนส์ทั้ง 3 ตัวระหว่างถ่ายต้องเลือกความละเอียด 1080p 30 fps เท่านั้นครับ
กล้องหน้า
มาดูเรื่องกล้องหน้ากันบ้าง OnePlus 7T กับ 7T Pro นั้นมีกล้องหน้าหน้าตาไม่เหมือนกัน ของ 7T เป็นติ่ง ส่วนของ 7T Pro เป็นกล้อง Pop-up แต่รายละเอียดที่เหลือเหมือนกันครับ คือเป็นกล้อง 16MP f/2.0 เหมือนกันทั้ง 3 รุ่น ซึ่งก็ให้ภาพ Selfies ที่ออกมาดูดีเลยแหละ โหมดปกติจะให้ผิวนวลกำลังดี รายละเอียดคมชัดที่ผู้ใช้ทั่วไปน่าจะชอบกันได้ไม่ยาก
ผลทดสอบประสิทธิภาพ
ส่วนเรื่องสเปกเครื่อง อย่างที่บอกไป OnePlus 7T Series ทุกรุ่นนั้นใช้ Snapdragon 855+ ตัวท็อปของท็อป ซึ่งทุกรุ่นก็ทำคะแนน Geekbench 5 แบบ Multi-core ออกมาใกล้เคียงกันที่ 2800 คะแนน ส่วน Antutu 8 ได้คะแนนราวๆ 470,000 คะแนน
ซึ่งความเร็วและหน่วยความจำขนาดนี้ มันเกินพอสำหรับงานทั่วไปแล้วแหละครับ ซึ่งเราก็เอาไปเล่นเกมภาพโหดๆ อย่าง Shadowgun Legend ในโหมดภาพแบบ Ultra High ก็ให้ภาพได้ลื่นไหลดีนะ แต่ถ้าจะลื่นกว่านี้ก็ต้องเลือกคุณภาพเป็น Auto ก็พอ เพียงแต่ว่าใน OnePlus 7T จะรู้สึกว่าเครื่องอุ่นๆ บ้างเมื่อเล่นเกมไปสักพัก ส่วน 7T Pro จะไม่รู้สึกเครื่องร้อนเท่า
ราคา
OnePlus 7T รุ่นธรรมดาเปิดตัวราคามาแค่ 17,990 บาทเท่านั้น ซึ่งเมื่อเทียบกับฮาร์ดแวร์ระดับท็อป ก็ถือว่าเป็นราคาที่ถูกมาก ผมเชียร์รุ่นนี้สำหรับคนทั่วไปนะครับ เพราะความเร็วเครื่อง คุณภาพจอระดับ 90 Hz พร้อมลำโพงสเตอริโอ ความจุ 128 GB นี่เอาอยู่หมด
ส่วน OnePlus 7T Pro ที่ได้จอ qHD+ 90 Hz ขอบโค้ง ดีไซน์ซ่อนกล้อง และเพิ่มความจุเป็น 256 GB ก็เปิดตัวราคา 26,990 บาท
สุดท้ายคือ OnePlus 7T Pro McLaren Limited Edition อันนี้เปิดราคามา 29,990 บาท ซึ่งนอกจากดีไซน์เฉพาะของ McLaren แล้ว เครื่องรุ่นนี้ยังมีแรมมากถึง 12 GB เอาเป็นว่าใครอยากได้ตัวท็อปจริงๆ ที่ดีไซน์แตกต่างจากรุ่นอื่น ก็ต้องตัวนี้แหละครับ น่าสนใจทีเดียว