รีวิว Sony HT-MT500 ลำโพง Sound Bar กะทัดรัด ฟีเจอร์แน่น!
Our score
8.7

Sony HT-MT500 Sound Bar

จุดเด่น

  1. ให้เสียงได้ดีเยี่ยมทั้งการดูหนังและฟังเพลง แยกมิติเสียงได้ดี รองรับเสียงระดับ Hi-res Audio
  2. ตัวเล็ก ติดตั้งง่าย เอาซัฟวูฟเฟอร์ไร้สายไปวางใต้โซฟาก็ได้
  3. เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ในตัว พร้อมรองรับ Chromecast Audio, Spotify Connect และการเปิดไฟล์จากเซิร์ฟเวอร์ในบ้าน
  4. Bluetooth รองรับทั้งการนำสัญญาณเสียงจากอุปกรณ์อื่นมาเปิด และส่งสัญญาณไปเปิดที่หูฟังหรือลำโพงอื่นๆ
  5. มีฟังก์ชั่น IR Repeater แก้ปัญหาลำโพงบังช่องรีโมททีวีได้อยู่หมัด

จุดสังเกต

  1. ราคาเมื่อเทียบกับความสามารถก็คุ้ม แต่ก็เป็นราคาที่ต้องคิดเยอะก่อนซื้อ
  2. ไม่รองรับ aptX เมื่อใช้กับสมาร์ทโฟนที่ไม่รองรับ LDAC และ AAC จะได้รูปแบบเสียงพื้นฐาน SBC ไปเลย
  3. ไม่รองรับ LPCM 5.1 ch, LPCM 7.1 ch, Dolby TrueHD, Dolby Digital Plus, DTS-HD
  4. ไม่แสดงภาษาไทยในหน้าเล่นเพลงจาก Sound Bar โดยตรง
  5. ต้องใช้เวลาพักหนึ่งกว่าลำโพงจะติด (ก็เป็นเรื่องปกติของลำโพง Home Theater นะ ถ้าชินลำโพงปกติมาจะแปลกใจนิดหนึ่ง)
  • ดีไซน์ตัวเครื่อง

    9.0

  • คุณภาพเสียง

    9.0

  • การเชื่อมต่อ

    8.0

  • ความสามารถพิเศษเช่น Bluetooth

    10.0

  • ความคุ้มค่า

    7.5

 

ตั้งแต่ทีวีแข่งกันทำจอบางออกมา จนไม่ค่อยมีพื้นที่เหลือให้ติดตั้งลำโพงดีๆ ในตัวทีวี ชุดลำโพง Home Theater ก็กลายเป็นอุปกรณ์จำเป็นสำหรับคนซีเรียสเรื่องคุณภาพเสียงนะครับ ซึ่ง Sound Bar ก็เป็นรูปแบบลำโพงยอดนิยมสำหรับทีวียุคนี้ เพราะติดตั้งง่ายและใช้พื้นที่น้อย วันนี้เว็บแบไต๋จึงขอรีวิวลำโพง Sony HT-MT500 ซาวด์บาร์ตระกูลใหม่ตัวท็อปของโซนี่ให้รู้กันไปว่าคุ้มค่ากับค่าตัวของมันไหม

การออกแบบ Sony HT-MT500

  • Subwoofer ไร้สาย วางตรงไหนของห้องก็ได้
  • มี Sofa Mode สำหรับปรับเสียงให้เหมาะกับการวาง Subwoofer ใต้โซฟา
  • ตะแกรงด้านหน้าลำโพงยึดด้วยแม่เหล็ก สามารถถอดตะแกรงออกได้ง่าย

ชุดลำโพงหลักของ Sony HT-MT500

Sony HT-MT500 เป็นลำโพงแบบ Compact Sound Bar ที่ตัวลำโพงหลักมีขนาดสั้นกว่าซาวด์บาร์ทั่วไปราวครึ่งหนึ่งเลย ทำให้กินพื้นที่หน้าทีวีน้อยลงไปอีก โดย Sony HT-MT500 จะประกอบด้วยลำโพง 2 ชุด ชุดแรกคือลำโพงหลักที่ใช้วางหน้าทีวี และอีกชุดหนึ่งคือลำโพง Subwoofer แบบไร้สายที่สามารถวางจุดใดในห้องก็ได้ แล้วลำโพงหลักจะส่งสัญญาณเสียงไร้สายไปหาเอง (ขอแค่มีปลั้กให้ Subwoofer เสียบก็พอ) ซึ่งสำหรับห้องที่มีพื้นที่จำกัด จะเอา Subwoofer ไปวางใต้โซฟาก็ได้ แค่เปลี่ยนโหมดเสียงเป็น Sofa Mode ก็จะได้เสียงที่เหมาะสมสำหรับการวางในลักษณะนี้แล้ว

ลักษณะการวาง Subwoofer ของ Sound Bar Sony HT-MT500 ใต้โซฟา

ดีไซน์ของ Sony HT-MT500 นั้นเรียบง่ายครับ ทั้งตัวลำโพงหลักและซับวูฟเฟอร์เป็นกล่องสี่เหลี่ยมแคบๆ ทั้งคู่ ด้านบนของชุดลำโพงหลักจะพื้นผิวแบบหนัง ก็เสริมความหรูหราของลำโพงขึ้นอีกหน่อย และตัวตะแกรงด้านหน้าลำโพงนั้นยึดด้วยแม่เหล็ก ดึงออกได้ง่ายสำหรับคนที่ต้องการดีไซน์ที่เห็นดอกลำโพงชัดๆ หรือต้องการคุณภาพเสียงดีขั้นสุดแบบไม่ต้องการให้ตะแกรงมากั้นเสียงให้ดรอป โดยรวมแล้ว Sony HT-MT500 ก็เป็นลำโพงเรียบหรูที่ไม่ได้สร้างความเด่นสะดุดตาจนแย่งความสนใจจากหน้าจอทีวีไป

โฉมหน้าของลำโพง HT-MT500 จริงๆ ที่อยู่หลังตะแกรง

การเชื่อมต่อของ Sony HT-MT500

  • เชื่อมต่อกับทีวีผ่าน HDMI ARC จะให้คุณภาพเสียงที่ดีที่สุด และควบคุมการทำงานผ่านทีวีได้
  • เชื่อมต่อ Bluetooth ได้ทั้งรับสัญญาณมาเล่นที่ลำโพง หรือส่งสัญญาณ Bluetooth จาก Sony HT-MT500 ไปยังลำโพงหรือหูฟังอื่นๆ
  • เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตเพื่อใช้ฟังก์ชั่นเกี่ยวกับเครือข่ายได้

Sony HT-MT500 นั้นไม่ได้มีแค่ความสามารถเสียบสายกับทีวีแล้วจบแค่เป็น Home Theater นะครับ แต่มันยังสามารถเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้หลากหลายมากจนเหมือนกล่องความบันเทิงประจำบ้านเลย

HT-MT500 ใช้เป็นตัวส่งสัญญาณ Bluetooth ไปหาหูฟังก็ได้

เริ่มต้นจากการเชื่อมต่อ Sony HT-MT500 เข้ากับระบบทีวีก่อน ซึ่งซาวด์บาร์ตัวนี้รองรับการเชื่อมต่อ 3 วิธีคือ

  1. เสียบผ่านช่อง 3.5 mm สำหรับอุปกรณ์รุ่นเก่า
  2. เสียบผ่านสาย Optical เพื่อให้เสียงที่ดีขึ้น
  3. (วิธีแนะนำ) สำหรับคนที่ใช้ทีวีรุ่นใหม่ๆ ที่มีช่อง HDMI ARC (Audio Return Channel) ให้เชื่อมต่อ Sony HT-MT500 เข้ากับช่องนี้ผ่านสาย HDMI ครับ จะได้สัญญาณเสียงดิจิทัลที่ดี แล้วยังสามารถสั่งงานซาวด์บาร์ผ่านทีวี เช่นการเพิ่มลดเสียงจากรีโมททีวีได้เลย แถมสามารถเปิดหน้าควบคุมซาวด์บาร์ในทีวี เพื่อสลับโหมดการใช้งานต่างๆ ได้ง่าย

ถ้า Sony HT-MT500 จะเชื่อมต่อได้แค่ทีวีก็จะเสียชื่อ Sound Bar ตัวท็อปไปนะครับ ตัวมันยังมีความสามารถเชื่อมต่ออีกหลากหลายคือ

เมื่อเชื่อมต่อ Sony Xperia เข้ากับลำโพง Sound Bar Sony HT-MT500 ก็จะให้รูปแบบเสียงเป็น LDAC ความละเอียดสูงได้

  • เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตผ่าน Wifi (รองรับ Wifi 5 GHz ด้วย) และสาย LAN เพื่อใช้งานความสามารถที่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตต่างๆ
  • เชื่อม Bluetooth กับอุปกรณ์อื่นๆ ทำให้ Sony HT-MT500 กลายเป็นลำโพง Bluetooth ประจำบ้าน ฟังเพลงจากมือถือเพลินๆ ได้เลย พร้อมรองรับ NFC สามารถเอามือถือ Android ที่มี NFC ด้วยกันมาแตะใช้ได้ โดยรองรับ Codec เสียงทั้ง AAC ที่สมาร์ทโฟนหลายรุ่นใช้ และ LDAC ที่อุปกรณ์ Sony ใช้ เพื่อให้ได้เสียงระดับ Hires ที่ดีที่สุด
  • ส่งสัญญาณ Bluetooth ไปหาหูฟังได้ด้วย สำหรับคนที่ต้องการดูทีวี ดูหนัง แบบไม่อยากให้เสียงไปรบกวนคนอื่น ก็สามารถใช้หูฟังไร้สายมาเชื่อมต่อกับ Sony HT-MT500 ได้ แต่การใช้งานบางรูปแบบ เช่นเอาไปเล่นเกมจะมีปัญหาเสียงแลคไม่ตรงกับจังหวะในเกม
  • เชื่อมต่อลำโพงไร้สายตัวอื่นๆ ของ Sony เพื่อสร้างลำโพง Surround ด้านหลัง หรือใช้สตรีมเพลงไปยังห้องอื่นๆ
  • เสียบแฟลชไดร์ฟเพื่อเล่นเพลงโดยตรง (พอร์ต USB ซ่อนอยู่ข้างขวาของลำโพงหลัก) รองรับไฟล์สกุล mp3, mp4 (AAC, HE-AAC, ALAC), wma, wav, flac, ac3, dsf, dff, aiff, ogg, ape

ตำแหน่งพอร์ต USB ที่ต้องเปิดจากข้างลำโพงซาวด์บาร์ HT-MT500

(คลิกอ่าน) Codec เสียงของ Bluetooth ตัวชี้วัดคุณภาพเสียงไร้สาย!

คำว่า Bluetooth นั้นจริงๆ เป็นแค่ชื่อมาตรฐานการส่งสัญญาณระหว่างอุปกรณ์เท่านั้นครับ ซึ่ง Bluetooth เวอร์ชั่นสูงขึ้น ก็หมายถึงส่งสัญญาณไร้สายได้เร็วขึ้น แต่สัญญาณเสียงที่ส่งไปจะมึคุณภาพแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับการเข้ารหัสเสียงหรือ Codec ที่ใช้ด้วย

เทียบง่ายๆ ก็เหมือน Bluetooth คือรถตู้ที่วิ่งอยู่บนถนน เมื่อใช้ Bluetooth เวอร์ชั่นสูงขึ้นก็เหมือนอัปเกรดให้รถตู้ซิ่งแรงขึ้น ส่วน Codec ก็เหมือนสินค้าที่อยู่ในรถตู้ Codec คุณภาพดีก็เหมือนสินค้าคุณภาพดีแหละครับ

ซึ่งในโลกของ Bluetooth เราใช้ Codec 4 ตัวหลักๆ คือ

  • SBC (subband codec) มาตรฐานการบีบอัดเสียงพื้นฐานของ Bluetooth ที่อย่างน้อยๆ อุปกรณ์ Bluetooth ทั้งโลกต้องจัดการเสียงแบบ SBC ได้ ซึ่งรูปแบบนี้ก็ให้เสียงคุณภาพพื้นฐาน คือไม่ได้แย่ แต่ก็ไม่ได้ดีสำหรับที่นักฟังเพลงจริงๆ ต้องการ ใช้ bit rate ประมาณ 328 kbps
  • AAC (Advanced Audio Coding) รูปแบบการบีบอัดเสียงใช้ในอุปกรณ์ของแอปเปิ้ล และสมาร์ทโฟนหลายๆ รุ่น ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า SBC
  • LDAC รูปแบบการบีบอัดเสียงที่ Sony พัฒนาขึ้นเพื่อส่งเสียงระดับ Hires ผ่าน Bluetooth โดยให้ bit rate สูงสุดถึง 990 kbps ซึ่งเป็น codec ด้านเสียงสำหรับ Bluetooth ที่คุณภาพสูงมากตอนนี้ แต่ยังใช้ได้กับอุปกรณ์ของ Sony เท่านั้น
  • aptX รูปแบบการบีบอัดเสียงยอดนิยมอีกแบบ ให้คุณภาพเสียงที่ดีกว่า SBC และมี Latency ต่ำ (คือเสียงไม่แลค เหมาะสำหรับการเล่นเกม) ตอนนี้มาตรฐาน aptX เป็นของ Qualcomm ทำให้อุปกรณ์ที่ใช้ชิป Qualcomm บางตัวจะรองรับ ส่วน Sony HT-MT500 ไม่รองรับมาตรฐานนี้

เมื่อ Sony HT-MT500 ต่ออินเทอร์เน็ต ก็ทำอะไรได้อีกเพียบ

ปุ่มควบคุมด้านบนตัว Sony HT-MT500 ที่ใช้ควบคุมระดับเสียง เลือกช่องสัญญาณ เชื่อมต่อ Bluetooth รวมถึงใช้บริการจากอินเทอร์เน็ต

Sony HT-MT500 นั้นเป็นลำโพงสมัยใหม่ครับ สามารถเชื่อมต่อเครือข่ายเพื่อเปิดความสามารถได้อีกหลายอย่างคือ

  • รองรับ Chromecast Audio สามารถยิงเพลงจากบริการที่รองรับในมือถือเช่น Deezer, TuneIn Radio, Tidal, Spotify ไปเข้าลำโพง Sony HT-MT500 ได้โดยตรง ซึ่งให้คุณภาพเสียงดีกว่าเพราะลำโพงเป็นตัวรับไฟล์เสียงมาเล่นเอง แบบไม่ต้องผ่านมาที่สมาร์ทโฟนก่อน และหลังจากยิงเพลงไปแล้ว จะใช้มือถือคุยโทรศัพท์ เล่นเกม หรือแม้กระทั่งปิดเครื่องไปเลย เพลงก็จะยังเปิดต่อไปไม่สะดุด ซึ่งต่างการยิงด้วย Bluetooth ที่เสียงเพลงจะตัดทันทีเมื่อมีอะไรมาขัดจังหวะ
  • รองรับ Spotify Connect เมื่อ Sony HT-MT500 เชื่อมต่อกับเครือข่ายแล้วจะเลือกซาวด์บาร์ตัวนี้จากในแอป Spotify ได้ทันที และเล่นเพลงได้ไม่มีสะดุดเหมือน Chromecast Audio (แต่ Spotify ยังไม่เปิดให้บริการในไทย เลยใช้ยากหน่อย)
  • เปิดไฟล์เพลงในเซิร์ฟเวอร์ DLNA ในบ้านก็ได้ (เช่นเราเตอร์บางตัวจะสามารถเสียบฮาร์ดดิสก์และสตรีมไฟล์ออกมาให้ตัวลำโพงเข้าไปเปิดได้เลย โดยไม่ต้องผ่านอุปกรณ์อื่นๆ อีก

คุณภาพเสียงของ Sony HT-MT500

  • เสียงเยี่ยม เหมาะทั้งใช้ดูหนัง ดูทีวี หรือจะเอาไปฟังเพลงก็ได้ทั้งนั้น
  • ใส่เทคโนโลยีปรับปรุงเสียงของ Sony มาเพียบ
  • ไม่รองรับบางมาตรฐานเช่น LPCM 5.1, Dolby TrueHD, DTS-HD

Sound Bar Sony HT-MT500 พร้อม Subwoofer ไร้สาย

เอาแหละ มาถึงเรื่องคุณภาพเสียง ประเด็นสำคัญที่หลายคนอยากรู้เมื่อจะซื้อลำโพงสักตัวมาใช้ ซึ่ง Sony HT-MT500 ไม่ทำให้ผิดหวังกับมูลค่าลำโพงราคา 2 หมื่นบาทครับ เสียงของซาวด์บาร์ตัวนี้โปร่ง กว้าง แต่หนักแน่นด้วยเบสจาก subwoofer ที่สามารถปรับระดับความแรงของเสียงเบสได้ด้วย แถมรายละเอียดของเสียงมาเต็ม จะใช้เป็นลำโพงสำหรับดูหนัง ดูทีวีก็เหมาะ เพราะให้มิติของเสียงได้ดี แยกทิศทางเสียงได้ชัดเจน จะใช้ฟังเพลงก็เพราะ ด้วยเสียงโปร่ง ใส และมีเบสลื่นหู

ถ้าเทียบกับลำโพง Harman / Kardon SoundStick II ที่ผู้เขียนใช้เป็นลำโพงทีวีก่อนหน้านี้ ก็ต้องบอกว่าความใส และความหนักแน่นของเบสไปในทิศทางเดียวกัน ฟังสบายเหมือนกัน แต่ที่ Sony HT-MT500 มาเหนือกว่าคือเรื่องมิติของเสียงครับ ที่แยกทิศเสียงออกจากกันง่ายกว่า เสียงมีมิติกว่า ส่วนลำโพงเดิมจะเหมือนเสียงมาเป็นก้อนๆ กองอยู่หน้าทีวี ไม่ได้แยกซ้าย/ขวาชัดเจนขนาดนี้

คลิปเปรียบเทียบลักษณะเสียงจากลำโพง 3 ตัว

ลองดูลักษณะของเสียงคร่าวๆ ได้จากวิดีโอ 3 ตัวนี้ครับ จะเห็นว่าเสียงลำโพงทีวีด้อยกว่าลำโพงจริงๆ มาก แต่ด้วยข้อจำกัดของอุปกรณ์บันทึก ผู้เขียนแนะนำว่าให้ไปลองฟังเสียงของ Sony HT-MT500 ที่ร้านดีกว่าครับ แจ่มกว่าในคลิปเยอะ

Sony HT-MT500 นั้นรองรับสัญญาณเสียงได้ 3 รูปแบบหลักคือ LPCM 2.1 สำหรับเสียงสเตอริโอทั่วไป, Dolby Digital สำหรับเสียง 5.1 ช่องสัญญาณที่ใช้กันทั่วไป และ DTS สำหรับเสียง 5.1 อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าถามว่าเสียง 5.1 ของซาวด์บาร์ตัวนี้สามารถแทนชุด Home Theater ลำโพง 6 ตัว (5.1 ช่องสัญญาณ) แท้ๆ ที่มี 2 ลำโพงด้านหลังได้เลยไหม ก็ต้องบอกว่ายังไม่ได้นะครับ คือ Sony HT-MT500 ให้มิติเสียงซ้าย-ขวาได้ดี แต่เสียงจากด้านหลังก็ยังสู้ลำโพงจริงๆ ไม่ได้นั้นแหละ ซึ่งอาจจะหาลำโพงไร้สายที่รองรับระบบของโซนี่มาใช้เป็นลำโพงด้านหลังได้ถ้าต้องการครับ

ส่วนรูปแบบเสียงที่ไม่สนับสนุนใน Sony HT-MT500 คือ LPCM 5.1 ch, LPCM 7.1 ch, Dolby TrueHD, Dolby Digital Plus และ DTS-HD ครับ ซึ่งก็เป็นรูปแบบเสียงที่ได้รับความนิยมน้อยลงมานั้นเอง

Sound Bar ตัวนี้อัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงของโซนี่

ซาวด์บาร์ตัวนี้อัดแน่นมาด้วยเทคโนโลยีด้านเสียงของโซนี่ ตั้งแต่ DSEE HX ที่ปรับปรุงคุณภาพเสียงจากไฟล์ที่บีบอัดให้ใกล้เคียงกับไฟล์คุณภาพสูง, S-Force Pro Front Surround ช่วยทำให้เสียงมีมิติขึ้น, ClearAudio+ ที่เลือกรูปแบบเสียงให้เหมาะสมกับการใช้งานอัตโนมัติ (หรือจะเลือกเองก็ได้ มีรูปแบบ กีฬา, ภาพยนตร์, มาตรฐาน, สตูดิโอเกมดิจิตอล และเพลงให้เลือกใช้) นอกจากนี้ยังมีโหมดกลางคืนเพื่อช่วยให้เสียงเบาลงสำหรับใช้ตอนกลางคืน แต่ยังได้ยินรายละเอียดเสียงชัด, โหมด Voice up ที่เร่งเสียงพูดให้ชัดเจนขึ้น

การควบคุม Sony HT-MT500

  • ควบคุมทุกอย่างผ่านรีโมทของตัวลำโพง แต่สามารถควบคุมฟังก์ชั่นหลักๆ ผ่านรีโมททีวีได้ ถ้าต่อผ่าน HDMI ARC
  • ถ้าใช้กับทีวี BRAVIA ของ Sony ก็ควบคุมได้มากขึ้นผ่านทีวี
  • มีความสามารถ IR Repeater ช่วยแก้ปัญหาลำโพงบังช่องรับสัญญาณรีโมททีวี

เราสามารถควบคุมการทำงานของ Sony HT-MT500 ได้ทั้งหมดจากรีโมทของมันครับ แต่ถ้าเชื่อมต่อตัวซาวด์บาร์กับทีวีผ่านช่อง HDMI ARC จะสามารถควบคุมระดับเสียงผ่านรีโมทของทีวีได้ เมื่อปิดทีวีตัวลำโพงก็จะปิดตาม และถ้าเป็นทีวีโซนี่ด้วยกันเองที่มีระบบ BRAVIA Sync จะสามารถเข้าไปตั้งค่าเกือบทั้งหมดของ Sony HT-MT500 ได้จากทีวีเลย เช่นระดับเสียงเบส รูปแบบของ ClearAudio+ ทำให้แทบไม่ต้องใช้รีโมทของซาวด์บาร์เลยก็ได้

อีกฟังก์ชั่นที่ดีงามที่มีใน Sony HT-MT500 ตัวนี้คือ IR Repeater ครับ คือหลายคนจะมีปัญหาว่า Sound Bar มันไปบังช่องรับสัญญาณรีโมทของโทรทัศน์ ทำให้ต้องกดรีโมทสูงๆ เพื่อหลบ Sound Bar แต่ลำโพงรุ่นนี้จะมีช่องส่งสัญญาณอินฟาเรดอยู่หลังเครื่องด้วย เมื่อเปิดฟังก์ชั่น IR Repeater ตัวลำโพงก็จะรับสัญญาณจากรีโมททีวีให้เรา แล้วเอาไปปล่อยต่อหลังเครื่อง ทำให้ยังควบคุมทีวีได้อย่างไม่มีปัญหา แถมยังใช้กับทีวียี่ห้ออะไรก็ได้ด้วย

พอร์ตเชื่อมต่อด้านหลังของ Sony HT-MT500 จะเห็นว่ามีโดมกลมๆ อยู่ข้างพอร์ต HDMI ด้วย เพื่อส่งต่อสัญญาณรีโมท

เทียบกับรุ่นน้อง Sony HT-MT300

ลำโพงในกลุ่ม Compact Sound Bar นั้นโซนี่ออกมา 2 รุ่นนะครับ คือ HT-MT500 รุ่นท็อปราคา 21,990 บาทที่เรารีวิวกัน และ HT-MT300 รุ่นน้องราคา 9,990 บาท ซึ่งด้วยระดับราคาที่แตกต่างกันมากขนาดนี้ ก็ทำให้ความสามารถต่างกันเยอะครับ คือ

Sony HT-MT300 จะมีขนาดที่บางกว่ารุ่น MT500

  • HT-MT300 ไม่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน HDMI ARC ต่อได้แต่สายอนาล็อกกับ Optical ทำให้ควบคุมลำโพงผ่านรีโมททีวีไม่ได้ แล้วก็ไม่มีหน้าเมนูให้ตั้งผ่านจอทีวี แถมไม่มีจอสถานะหน้าลำโพงด้วย
  • HT-MT300 คุณสมบัติยังไม่ถึงมาตรฐาน Hi-res Audio ส่วน MT500 ได้มาตรฐานนี้ (น่าจะเป็น Sound Bar รุ่นแรกในไทยที่รองรับ Hi-res Audio)
  • HT-MT300 ไม่รองรับระบบเสียง DTS รองรับแต่ LPCM และ Dolby Digital
  • HT-MT300 ไม่รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Wifi ทำให้ใช้ Chromecast Audio, Spotify Connect และเปิดเพลงผ่านเซิร์ฟเวอร์ DLNA ไม่ได้
  • HT-MT300 ไม่มีฟังก์ชั่นปรับปรุงเสียง DSEE HX, ไม่รองรับ LDAC, ต่อลำโพงไร้สายอื่นๆ ไม่ได้
  • HT-MT300 มีกำลังขับ 100W ส่วน HT-MT500 มีกำลังขับ 155 Watt

แต่ความสามารถที่จำเป็นอย่าง Subwoofer ไร้สาย, ฟังเพลงผ่าน Bluetooth (พร้อม NFC) หรือเปิดเพลงจาก USB ก็ยังทำได้อยู่ครับ

สรุป Sony HT-MT500 ซาวด์บาร์ตัวเล็ก แต่ความสามารถไม่เล็ก

เมื่อต่อกับเครื่อง PlayStation 4 ลำโพง Sony HT-MT500 ก็สามารถเล่นเสียง DTS ได้เลย

เมื่อเทียบถ้าความคุ้มค่าของ Sony HT-MT500 ที่ตั้งราคาไว้ 21,990 บาท กับคุณภาพเสียงและเทคโนโลยีต่างๆ ที่ใส่มา ก็ถือว่าคุ้มค่าอยู่นะครับ กัดฟันหน่อยแต่ได้ลำโพงอเนกประสงค์ประจำบ้าน ทั้งดูหนัง ฟังเพลง ทำได้ดีหมด แถมยังใช้พื้นที่ติดตั้งน้อย เอาซับวูฟเฟอร์ไปวางใต้โซฟาก็ได้

แต่ถ้างบน้อยหน่อย และบ้านมีพื้นที่อยู่บ้าง ก็อาจจะดูเป็น Sony HT-CT800 ลำโพงซาวด์บาร์ตัวยาวๆ ที่ความสามารถเยอะเหมือนกัน ราคาอยู่ประมาณ 15,000 บาท ขนหน้าแข้งอาจจะร่วงน้อยลงครับ

อุปกรณ์ภายในกล่อง Sony Sound Bar HT-MT500 ประกอบด้วยลำโพง 2 ชุด, อแดปเตอร์ไฟ, สาย HDMI 1 เส้น, รีโมท, แผ่นรองใต้ซับวูฟเฟอร์