Our score
9.1Fitbit Ionic
จุดเด่น
- แบตเตอรี่ทนมาก อยู่ได้นานเกิน 4 วันโดยไม่ต้องชาร์จ
- นาฬิกาน้ำหนักเบา ใส่สบาย ดีไซน์ให้ดูเหมือนนาฬิกาบางได้ (จริงๆ มันหนานะ แต่ดูบาง)
- กันน้ำได้ลึก 50 เมตร ทำให้ใส่ว่ายน้ำได้ ใส่วิ่งก็มี GPS ในตัวติดตามระยะทางและความเร็วได้
- แสดง Notification จากสมาร์ทโฟนได้ ไลน์เด้งก็เตือนที่นาฬิกา
- ลงเพลงในนาฬิกาแล้วให้นาฬิกาเชื่อมหูฟัง Bluetooth ไว้ฟังเพลงได้
จุดสังเกต
- ไม่รองรับภาษาไทย! ทำให้อ่านโนติภาษาไทยไม่ออก
- หน้าติดตั้งแอปและหน้าปัดนาฬิกาโหลดช้า ติดตั้งช้า
- จำนวนแอปให้ติดตั้งยังมีน้อย เช่นแอปจาก Spotify ยังไม่มีให้ใช้
- จัดการเพลงผ่านคอมพิวเตอร์เท่านั้น ทำผ่านมือถือไม่ได้ โอนเพลงช้า
- ต้องใช้สายนาฬิกาของตัวเอง ไม่สามารถใช้สายมาตรฐานในท้องตลาดได้
-
คุณภาพวัสดุ
9.0
-
คุณภาพหน้าจอ
9.5
-
ความเหมาะสมสำหรับผู้ออกกำลังกาย
8.5
-
ความเหมาะสมสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
9.5
-
ความคุ้มค่า
9.0
แม้ว่าเราจะเคยเห็นผลิตภัณฑ์ Fitbit หลายตัวที่ทำงานเป็นนาฬิกาได้ก่อนหน้านี้แล้ว แต่ Fitbit ก็ถือว่า Ionic เป็น Smart Watch รุ่นแรกของบริษัทครับ จะถือว่าเป็นตัวแทนทางจิตวิญญาณของ Pebble ที่ Fitbit ซื้อไปในช่วงปลายปี 2016 ก็ได้ (แล้วก็ปิด Pebble เลิกผลิตนาฬิกาทุกอย่างไปเลย จะแอบแค้นก็ตรงนี้) เพราะมีความสามารถลงแอปเพิ่มและเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้ แล้วการใข้งานจริงเป็นยังไง เราใช้ Fitbit Ionic ในชีวิตประจำวันมานับเดือน ก็ขอสรุปให้ฟังครับ
ดีไซน์และรูปแบบการใช้งาน
- ดีไซน์ดูดี รู้สึกเป็นของที่มีราคา ดูบาง แม้ว่าจริงๆ แล้วจะหนา
- หน้าจอทนทาน ใช้มานานก็ยังไม่มีริ้วรอย แสดงภาพได้ชัดเจนแม้แดดจัด
- เปลี่ยนสายได้ง่าย แต่ต้องใช้สายของตัวเองเท่านั้น ไม่สามารถใช้สายนาฬิกาทั่วไปได้
ขึ้นชื่อว่าเป็นนาฬิกา สิ่งแรกที่คนสนใจก็หนีไม่พ้นการออกแบบครับ Fitbit Ionic ก็ออกแบบในสไตล์ของอุปกรณ์ Fitbit คือเป็นสี่เหลี่ยมพื้นผ้ามุมเหลี่ยมเลย (ไม่ต้องมาถามหามุมมนๆ จากรุ่นนี้) ดูแข็งแรง หนักแน่น ทำจากวัสดุชั้นดี อลูมิเนียมซีรี่ส์ 6000 หนักแค่ 47 กรัม ที่สำคัญคือใส่แล้วดูนาฬิกาบาง ทั้งที่จริงๆ แล้วนาฬิกามันก็หนาอยู่ เพราะด้านหลังเครื่องทำเป็นทรงสี่เหลี่ยมคางหมู เวลาอยู่บนข้อมือแล้วหลอกตาว่านาฬิกาไม่หนามาก ไม่เหมือนอย่าง Apple Watch ที่เป็นสี่เหลี่ยมทั้งก้อนทำให้ตัวนาฬิกาดูหนาบนข้อมือครับ
Fitbit Ionic นั้นมีด้วยกัน 3 สีคือ รุ่นที่เรามารีวิวคือ ตัวเรือนสีเงิน-สายสีเทาอมน้ำเงิน (White/Blue-Grey) ตัวเรือนสีเทาเข้ม-สายสีถ่านเข้มๆ (Smoke Gray/Charcoal และตัวเรือนสีทอง-สายสีฟ้าอ่อน (Burnt Orange/Slate Blue)
กระจกหน้าจอเป็น Gorilla Glass 3 ให้ความแข็งแรงและกันรอยได้ดีมาก ใส่ติดข้อมือทุกวันมาเป็นเดือน หน้าจอยังไม่เป็นรอยเลย และที่ประทับใจคือตัวจอที่ Fitbit เคลมว่าให้ความสว่างสูงถึง 1,000 nit ก็ทำให้ใช้งานกลางแดดได้สบายมากครับ แดดจะแรงแค่ไหนเราก็ยังเห็นข้อมูลจากจอได้ชัดเจน สีสันสดใส
ในกล่องของ Fitbit Ionic นั้นมีสายนาฬิกาแบบยางมาให้เลือก 2 ขนาดนะครับ ก็เลือกให้เหมาะสำหรับขนาดข้อมือของตัวเอง เปลี่ยนสายได้ง่ายๆ โดยกดปุ่มที่ด้านหลังของสาย ก็ดึงสายออกมาได้แล้ว ซึ่งตัวสายนี้ทำจากยางชั้นดีครับ แม้เหงื่อจะออกเต็มแขนแต่ไม่รู้สึกคัน ตัวล็อกสายก็มี 2 ชั้น ทั้งแบบเกี่ยวกับรูและเป็นหมุดยึดลงไปกับรู ก็ทำให้มั่นใจว่านาฬิกาจะไม่หลุดออกจากมือง่ายๆ แต่สายที่ใช้กับ Fitbit Ionic จะต้องเป็นสายเฉพาะของมันนะครับ ไม่สามารถหาซื้อสายทั่วไปมาเปลี่ยนได้ ซึ่งในเว็บของ Fitbit เองก็มีสายอีกหลายแบบทั้งสายหนังและสายดีไซน์สปอร์ตให้ซื้อเปลี่ยนครับ
Fitbit Ionic นั้นมีปุ่มควบคุม 3 ปุ่มรอบเครื่องทำงานร่วมกับจอสัมผัสนะครับ ก็ถือว่าใช้งานง่ายเลยแหละ ไม่ต้องอ่านคู่มือเยอะแบบ Smart Watch รุ่นอื่นก็ใช้งานพื้นฐานได้เลย
- ปุ่มซ้ายไว้ถอยหลังหรือปุ่ม Back
- ปุ่มขวาบนไว้เข้าหน้า Today สรุปว่าวันนี้การใช้ชีวิตของเราเป็นยังไงบ้าง
- ปุ่มขวาล่างไว้เข้าหน้า Exercise เลือกการออกกำลังกาย
ส่วนหน้าจอสัมผัสก็สามารถลากจากขอบจอทั้ง 4 ด้านเพื่อเข้าหน้าต่างๆ ได้อย่างรวดเร็ว
- ลากจากขอบบน เมนูเล่นเพลง
- ลากจากขอบขวา เข้าเมนูหลักของนาฬิกา
- ลากจากขอบล่าง โชว์ Notification จากโทรศัพท์
- ลากจากขอบซ้าย เข้าหน้า Quick Settings
ด้านหลังตัวเรือนเป็นเซนเซอร์ตรวจวัดการเต้นของหัวใจที่จะยิงแสง LED ลงมาเพื่อจับการเต้นของหัวใจนะครับ และมีช่องเสียบสายชาร์จแบบแม่เหล็กอยู่ตรงนี้ด้วย
Fitbit Ionic สมาร์ทวอทช์ที่ไม่ต้องเพิ่งสมาร์ทโฟน (มากนัก)
- ตัวนาฬิกาสามารถทำงานได้ครบถ้วนทั้งการตรวจจับการเต้นของหัวใจ นับก้าวเดิน โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน
- สามารถโหลดเพลงลงนาฬิกาได้ราว 300 เพลง และเชื่อมต่อกับหูฟัง Bluetooth ได้โดยตรง โดยไม่ต้องใช้สมาร์ทโฟน
- แต่การโหลดเพลงลงนาฬิกาต้องทำผ่านคอมพิวเตอร์ ไม่สามารถทำจากสมาร์ทโฟนได้ และใช้เวลาโหลดเพลงนานมาก
ด้วยความที่นาฬิกาเรือนนี้เป็น Smart Watch การใช้งานจึงต้องใช้ควบคู่กับ Smart Phone แต่ Ionic ก็ไม่ได้ต้องการเชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนตลอดเวลานะครับ หลังจากเซ็ตอัปครั้งแรกที่ต้องเชื่อมกับสมาร์ทโฟน เราก็สามารถใช้งานมันเดี่ยวๆ ได้ โดยหน่วยความจำในนาฬิกาจะสามารถบันทึกการใช้ชีวิตได้ 7 วัน และบันทึกสรุปรายวันได้ 30 วัน ก่อนนำมาซิงค์บันทึกเข้าระบบของ Fitbit ผ่านสมาร์ทโฟน
นอกจากนี้เรายังสามารถโหลดเพลงลงนาฬิกาเพื่อเชื่อมต่อกับหูฟัง Bluetooth ได้โดยตรง เวลาไปออกกำลังกายก็ไม่ต้องพกสมาร์ทโฟนไป เอาไปแค่ Ionic กับหูฟัง Bluetooth ก็ฟังเพลงพร้อมออกกำลังกายได้แล้ว (หรือถ้ายังรักการฟังเพลงจากสมาร์ทโฟนอยู่ ก็สามารถใช้ตัวนาฬิกาสั่งเล่นเพลงจากสมาร์ทโฟนได้เช่นกัน)
แต่การซิงก์เพลงเข้า Fitbit Ionic แอบยุ่งยากไปนิดครับ เพราะไม่สามารถซิงก์จากสมาร์ทโฟนได้โดยตรง ต้องทำผ่านโปรแกรมในคอมพิวเตอร์เท่านั้น และการซิงก์ก็ใช้เวลานานด้วย การซิงก์เพลงสัก 3 อัลบั้ม อาจจะต้องใช้เวลานานนับชั่วโมง แล้วใน Ionic มีพื้นที่เก็บเพลงอยู่ 2.5 GB สามารถเก็บเพลงได้ราว 300 เพลงครับ ก็ไม่มากไม่น้อยอะไร
ติดตั้งแอปและหน้าปัดนาฬิกาเสริมได้ แต่ตัวเลือกยังน้อย
- หน้าปัดมีหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบเข็มและดิจิตอล แบบที่แสดงข้อมูลเยอะๆ ก็มีให้เลือก
- สามารถเลือกแอปเสริมให้นาฬิกาได้ตามความต้องการ
- แต่จำนวนแอปยังมีไม่เยอะ และการติดตั้งใช้เวลานาน
Fitbit Ionic สามารถเปลี่ยนหน้าปัดนาฬิกาได้ มีรูปแบบมากมายให้เลือกโหลดผ่านแอป Fitbit ซึ่งเปิดโอกาสให้นักพัฒนาภายนอกได้ทำหน้าปัดนาฬิกาได้ด้วย ทำให้ตัวเลือกหน้าปัดนาฬิกาจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ในอนาคต
นอกจากนี้เรายังสามารถลงแอปเพิ่มในนาฬิกาได้ แต่เนื่องจาก Fitbit Ionic ยังเป็นระบบใหม่ แอปที่มีให้เลือกจึงมีไม่เยอะครับ บริการด้านกีฬาดังๆ ก็มีแค่ Strava มีแอปอ่านข่าว Flipboard แต่บริการฟังเพลงอย่าง Spotify ก็ยังไม่มีให้โหลด แผนที่แบบนำทางได้ในตัวนาฬิกาเหมือน Apple Watch ก็ยังไม่มี ก็ต้องรอเวลาเพื่อให้นักพัฒนาทำแอปลงมาเพิ่มนะครับ
และ Ionic ก็มีจุดอ่อนอยู่ที่การติดตั้งที่ใช้เวลานาน แม้ว่าตัวแอปและหน้าปัดต่างๆ จะไม่ขนาดไม่ใหญ่เลย แต่ก็ต้องใช้เวลาโหลดลงนาฬิกานานนับนาทีครับ
ใช้งาน Fitbit Ionic ในชีวิตประจำวัน
- แบตเตอรี่ทนมาก ใช้จนลืมว่าชาร์จครั้งสุดท้ายวันไหน
- สามารถสั่นและแจ้งเตือนสายเรียกเข้าและแสดงแจ้งเตือนจากทุกแอปในสมาร์ทโฟนได้
- แต่ไม่สามารถแสดงการแจ้งเตือนเป็นภาษาไทยได้ น่าเสียดายมากตรงนี้
แม้ว่าภาพลักษณ์ของ Fitbit จะเป็นในแนวสุขภาพมาตลอด แต่สำหรับ Ionic กลับเหมาะกับไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตมากกว่าผลิตภัณฑ์รุ่นอื่นๆ ของ Fitbit ครับ
จุดเด่นที่ใช้ได้จริงคือ Fitbit Ionic สามารถแสดงการแจ้งเตือนหรือ Notification ทุกอย่างได้จากสมาร์ทโฟนที่ทั้งสั่นเตือนและแสดงข้อความการแจ้งเตือนได้แบบไม่ต้องหยิบเอาสมาร์ทโฟนออกมาดู มีสายเรียกเข้าก็แสดงรายละเอียด แต่น่าเสียดาย (มากๆ) ที่ยังไม่สามารถแสดงภาษาไทยได้ครับ ถ้าค่ามาตรฐานของนาฬิกาเลย ฟอนต์ไทยจะแสดงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมทั้งหมด แต่ก็สามารถเซ็ทผ่านแอปของ Fitbit ให้ถอดเสียงจากภาษาไทยมาแสดงเป็นภาษาอังกฤษแบบคาราโอเกะได้ ก็ทำให้พออ่านได้แต่ก็ไม่ดีเท่าการแสดงภาษาไทยจริงๆ อยู่ดี
อีกเรื่องที่เป็นจุดขายของนาฬิการุ่นนี้เลยแบตเตอรี่ทนมาก ตามสเปกเคลมว่าใช้งานได้ 5 วัน แต่ใช้จริงน่าจะใช้ได้เป็นสัปดาห์ครับ คือลืมไปเลยว่าชาร์จครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ รู้ตัวอีกทีนาฬิกาเตือนว่าแบตอ่อน (หลังจากนาฬิกาเตือนก็ใช้ได้ต่ออีกเป็นวันนะ) ก็ค่อยกลับมาชาร์จ เรื่องนี้น่าประทับใจมากๆ
ส่วน Fitbit Pay นั้นไม่ต้องพูดถึงครับ มันใช้ในเมืองไทยไม่ได้ แล้วดูทรงไม่น่าจะได้ในเร็วๆ นี้ด้วย เพราะสังคมไทยกำลังก้าวเข้าสู่สังคมไร้เงินสดแบบ QR Code แต่ Fitbit Pay เป็นเทคโนโลยีแบบ NFC ซึ่งไม่ได้แพร่หลายในไทย ถ้าจะทำให้เกิดก็ต้องใช้เวลาและทุนผลักดันมหาศาล จึงไม่น่าเป็นไปได้ในไทยครับ
การใช้งานในเชิงสุขภาพ
ในตัว Fitbit Ionic นั้นมีเซนเซอร์เยอะมากสำหรับการตรวจจับสุขภาพและการออกกำลังกายนะครับ คือ
- เซนเซอร์ตรวจจับการเต้นของหัวใจที่แม่นยำ (เรียกว่า PUREPULSE) วัดการเต้นของหัวใจตลอดทั้งวัน แล้วนำไปสรุปในแอป Fitbit ให้ดูว่าลักษณะการเต้นของหัวใจเราเป็นอย่างไร มีค่าหัวใจขณะพัก (Resting Heart Rate) เท่าไหร่ ร่างกายเรามีความฟิตเท่าไหร่เมื่อเทียบกับอายุ และระหว่างออกกำลังกายก็แสดงโซนการเต้นของหัวใจได้
- เซนเซอร์ตรวจการเคลื่อนไหว Accelerometer และ Gyroscope นับก้าวเดินแต่ละวัน เตือนให้ผู้ใส่เคลื่อนไหวในกรณีที่นั่งนิ่งนานๆ และสามารถบันทึกการออกกำลังกายอัตโนมัติได้ ทำงานเองแม้ลืมสั่งให้เริ่มบันทึก ใช้วัดรอบการว่ายน้ำได้ด้วย
- เซนเซอร์วัดความสูง ระบุได้ว่าเราเดินขึ้นลงกี่ชั้นในแต่ละวัน
- GPS บันทึกเส้นทางการออกกำลังกาย โดยไม่ต้องอาศัยสมาร์ทโฟน
จากเซนเซอร์สารพัดทำให้ Ionic สามารถบันทึกและวิเคราะห์การใช้ชีวิตของเรา แล้วมานำสรุปให้อ่านในแอป Fitbit ได้หลายอย่าง ทั้งสถิติการเดิน สถิติช่วงเวลาแอคทีฟต่างๆ รวมถึงลักษณะการเต้นของหัวใจ และรูปแบบการนอนหลับได้ โดยตรวจจากการเคลื่อนไหวในขณะนอนหลับและการเต้นของหัวใจ เพื่อดูว่าเรามีช่วงหลับตื้น หลับลึกอย่างไร แล้วยังสามารถวิเคราะห์ความฟิตจากระดับ Cario ของเราได้ด้วย
รูปแบบการออกกำลังกายพื้นฐานที่ Fitbit Ionic สามารถตรวจจับได้นั้นมีหลายอย่างเช่น การวิ่ง, ปั่นจักรยาน, วิ่งในลู่ออกกำลังกาย, ยกน้ำหนัก หรือสามารถเพิ่มการเล่นโยคะหรือการตีกอล์ฟลงไปด้วยก็ได้ ซึ่งตัว Ionic นั้นกันน้ำได้ลึก 50 เมตร เราทดสอบเอาไปเล่นน้ำทะเลมาเรียบร้อย กันน้ำได้สบายมาก จึงสามารถใช้วัดการว่ายน้ำได้ด้วย
นอกจากนี้ Fitbit Ionic ยังมี Coach ในตัว สามารถเลือกชุดการออกกำลังกายตามแบบที่เราต้องการได้ด้วย
เทียบกับสมาร์ทวอทช์รุ่นอื่นๆ
ถ้าหากเทียบกับนาฬิกาที่เน้นเรื่องการออกกำลังกายเป็นหลักอย่าง Garmin Fenix 5 (อ่านรีวิว Garmin Fenix 5s ได้เลย) ฟังก์ชั่นเรื่องการออกกำลังกายนั้นยังสู้ฝั่ง Garmin ไม่ได้ ที่ละเอียดหยุบหยับกว่า แต่ถ้าวัดเรื่องการใช้ชีวิตทั่วไปและความคุ้มค่า Fitbit Ionic ทำได้ดีกว่าครับ เป็นนาฬิกาที่สมดุลในการใช้ชีวิตและการออกกำลังกาย แถมราคาของ Ionic ที่ 11,690 ยังถูกกว่า Garmin Fenix 5 มากครับ
ส่วนถ้าเทียบกับ Apple Watch อันนี้ต้องบอกว่าสูสี จุดที่ Apple Watch เด่นกว่าคือแอปหลากหลายกว่า และแสดงข้อความภาษาไทยได้ แต่จุดที่ Fitbit Ionic เด่นกว่าคือมันใช้กับ Android ได้ดีครับ (Apple Watch ใช้กับ iPhone อย่างเดียว) มีหน้าปัดให้เลือกเยอะกว่า และแบตอึดกว่ามากๆ และราคา Ionic อยู่ที่ 11,690 ส่วน Apple Watch Series 3 ก็เริ่มต้นที่ 11,900 บาท ก็ใกล้เคียงกันมากด้วย สรุป ถ้าใช้ Android เจ้า Fitbit Ionic ก็เป็นตัวเลือกที่น่าสนใจครับ