สเปก
- ความละเอียด 313 x 600 dpi
- น้ำหนัก 221 กรัม หนาแค่ 20 mm
- เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟนด้วย NFC/Bluetooth (สำหรับ Android ที่รองรับ NFC ก็แค่แตะ แล้วพิมพ์ออกมาได้เลย ส่วน iOS จะต้องจับเชื่อม Bluetooth ก่อน)
- ชาร์จ 1 ครั้ง พิมพ์ได้ราว 20 ภาพ
- ราคา: 4490 บาท (แพงกว่า Canon Selphy แต่ถูกกว่า Fuji Instax Share)
จุดเด่น
- พิมพ์ภาพด้วยเทคโนโลยี Zink ที่ใช้ความร้อนเปลี่ยนโครงสร้างของกระดาษให้กลายเป็นสีต่างๆ ทำให้ไม่ต้องใส่หมึกพิมพ์ อุปกรณ์สิ้นเปลืองในการพิมพ์มีแค่กระดาษ
- รองรับทั้ง iOS, Android และ Windows Phone (น้ำตาจะไหล!)
- น้ำหนักเบา และตัวเล็กที่สุดในบรรดาเครื่องพิมพ์ภาพแบบพกพาในตลาด สามารถพกพาไปนอกสถานที่ได้สบายๆ
- ตัวแอปสำหรับเครื่องพิมพ์สามารถตกแต่งภาพได้เยอะพอสมควร ทั้งใส่ฟิลเตอร์ ใส่ QR Code ใส่กรอบภาพ แถมยังสามารถใช้แอป Cymera แต่งภาพเพื่อพิมพ์ได้ด้วย
- กระดาษ Zink ราคาไม่แพงมาก ชุดกระดาษ 30 แผ่นราคา 390 หรือตกประมาณแผ่นละ 13 บาท
จุดสังเกต
- ระยะการพิมพ์ต่อรูปค่อนข้างนาน มีช่วงหยุดนิ่งก่อนที่รูปจะออกมานานพอสมควร (40 วินาที) กว่าจะพิมพ์รูปเสร็จ 1 ใบ ใช้เวลา 1.10 นาทีหลังจากกดพิมพ์
- คุณภาพภาพที่ได้ ค่อนข้างแย่เมื่อเทียบกับเครื่องพิมพ์ภาพแบบพกพาทั้งหมด เห็นเป็นเส้นริ้วชัดเจน และสีอมแดง
- ด้วยข้อจำกัดของกระดาษที่ไม่ใช่กระดาษแข็งเท่าใดนัก เมื่อเก็บไว้อาจจะมีภาพงอบ้าง ทำให้ความรู้สึกอยากเก็บภาพน้อยลง
- การใช้งานโดย NFC ค่อนข้างอันตราย เพราะเมื่อแตะโทรศัพท์กับเครื่องพิมพ์ มันจะทำงานทันที ไม่มีการถามยืนยันอีกครั้ง ทำให้อาจเสียกระดาษโดยไม่รู้ตัว
- ขนาดภาพที่ได้ค่อนข้างเล็ก เล็กกว่าขนาดนามบัตรทั่วไปเสียอีก
- หาซื้อค่อนข้างยาก ทั้งตัวเครื่องและกระดาษพิมพ์ เมื่อเทียบกับคู่แข่งถือว่าแพ้ขาดลอย
สรุป
- เป็นเครื่องพิมพ์ที่คุณภาพการพิมพ์สมขนาดตัวเครื่องและราคา
- เหมาะสำหรับคนที่เจอเพื่อนบ่อยๆ หรือออกเดินทางที่อยากให้ภาพถ่ายที่ได้กับคนที่พบเจอระหว่างทาง เพราะ Pocket Photo ตัวเล็กมาก พกพาติดตัวก็ไม่เป็นภาระ แถมราคากระดาษไม่แพงมาก ทำให้พิมพ์ภาพได้โดยไม่ต้องคิดอะไรมากนัก
- แต่ไม่เหมาะสำหรับคนที่ต้องการคุณภาพสูงระดับแล็ปพิมพ์ภาพ
======================================================================
รายการ The Reviewer รีวิวอะไรก็ได้ที่มันเวอร์ ๆ ออกอากาศทุกวันเสาร์ – อาทิตย์ เวลา 21.45 น. ทางไทยรัฐทีวีช่อง 32