Our score
8.8Insta360 One X
จุดเด่น
- คุณภาพภาพดีจริงทั้งภาพนิ่งและวิดีโอที่ถ่ายได้ถึงระดับ 5.7K
- รูปร่างมาตรฐานสำหรับกล้อง 360 องศา พกพาง่าย หยิบมาใช้ง่าย อุปกรณ์เสริมเยอะ
- ฟังก์ชันเยอะ ทั้งถ่ายรูป ถ่ายวิดีโอ, Slow Motion, Bullet Time, ถ่าย HDR
- แอปทำออกมาได้ดี สามารถปรับแต่งภาพและวิดีโอเพื่อให้แชร์ได้สวยงามอย่างรวดเร็ว
- มีซอฟต์แวร์สำหรับคอมพิวเตอร์เพื่อจัดการวิดีโอความละเอียดสูง พร้อมรองรับการทำงานกับ Adobe Premiere
จุดสังเกต
- ไม่กันน้ำในตัว ต้องใส่เคสที่ต้องซื้อเพิ่ม
- ปุ่มกดภายนอกทำให้เครื่องติดง่าย โดยเฉพาะเวลาใส่เคสนิ่มในกระเป๋า
- Export คลิป 5.7 K ในคอมพิวเตอร์ใช้กำลังเครื่องหนักมาก
- ไม่มีช่องต่อไมค์เสริมภายนอก ทำให้การบันทึกเสียงต้องวัดใจกับไมค์หัวกล้อง หรือต้องใช้วิธีซิงก์เสียงไปเลย
-
คุณภาพภาพนิ่ง
8.5
-
คุณภาพวิดีโอ
8.0
-
ความสะดวกในการใช้งาน
9.0
-
ลูกเล่นเสริม
9.0
-
ความคุ้มค่า
9.5
Insta360 ถือว่าเป็นบริษัทที่น่าสนใจนะครับ เพราะก่อตั้งบริษัทมาตั้งแต่ปี 2014 ซึ่งนับถึงปัจจุบันก็มีอายุแค่ 5 ปี แต่สามารถสร้างกล้อง 360 องศาที่มีคุณภาพดีระดับต้นๆ ของวงการได้ ซึ่งรุ่นที่เราจะมารีวิวในวันนี้คือ Insta360 One X กล้องสำหรับผู้ใช้ทั่วไปตัวท็อปของบริษัทในตอนนี้ ซึ่งเราได้ทดลองแล้วก็ต้องบอกว่าเทพใช้ได้เลย ภาพชัด ใช้ง่าย พกพาง่าย
สารบัญเนื้อหา
การออกแบบและการใช้งาน Insta360 One X
ดีไซน์ของ Insta360 One X นั้นเป็นดีไซน์แบบแท่งซึ่งเป็นดีไซน์คลาสสิกของกล้อง 360 องศาครับ ซึ่งจุดเด่นของดีไซน์แบบนี้คือจับถือง่ายกว่าแบบอื่นๆ แถมเวลาถือก็มีโอกาสที่มือจะไปโดนเลนส์น้อยกว่าดีไซน์กล้องแบบอื่นๆ ด้วย โดยสามารถใช้งานได้แบบไม่ต้องต่อไม้ หรือต่อขาตั้งใด ๆ แค่ถือตัวกล้องแล้วกดถ่ายได้โต้ง ๆ เลย ซึ่งตัวกล้องก็มีขนาดไม่ใหญ่จนพกพาลำบาก แต่ก็ไม่เล็กเกินไปจนใช้งานลำบากเหมือนกล้อง 360 องศาตัวเล็ก ๆ ที่ใช้การต่อสมาร์ตโฟนเพื่อใช้งานครับ
แน่นอนว่าเป็นกล้อง 360 องศา ก็ต้องมีเลนส์ Fish-eye ขนาดใหญ่ 2 ตัวประกบกัน 2 ฝั่งของเครื่อง ซึ่งตัวกล้องและเลนส์ก็ดูแข็งแรงทนทาน ไม่ต้องห่วงว่าโดนกด โดนดันแล้วจะพังไปง่ายๆ นอกจากนี้ที่ตัวกล้องก็มีพอร์ตชาร์จไฟเป็น Micro-USB ซึ่งก็น่าเสียดายที่ไม่ใช่ USB-C ครับ นอกจากนี้ก็มีช่องเปิดสำหรับใส่แบตเตอรี่ซึ่งตัวแบตเตอรี่ความจุ 1050 mAh นี้ก็มีขนาดใหญ่ถึง 1/3 ของตัวเครื่องเพื่อให้กล้องใช้งานได้นานพอ แล้วก็ช่องเสียบ Micro SD ที่รองรับความจุสูงสุด 256 GB แบบไม่มีฝาปิดแต่ใช้เล็บจิกเพื่อดึงการ์ดออกมา ซึ่งก็ชัดเจนว่ากล้องตัวนี้ไม่กันน้ำนะครับ ใช้บนบกได้อย่างเดียว ถ้าไปถ่ายใต้น้ำต้องใส่เคสพิเศษ
ตัวเครื่องมีปุ่มควบคุมเพียง 2 ปุ่มพร้อมจอ LED วงกลมเล็ก ๆ แสดงสถานะของเครื่อง แต่ไม่สามารถโชว์ภาพตัวอย่างจากกล้องผ่านจอตัวนี้ได้นะ โดยปุ่มทั้ง 2 ปุ่มทำหน้าที่ดังนี้
- ปุ่มเล็ก – กดค้างเพื่อเปิดกล้องและปิดกล้อง, กดสั้นๆ หลังเปิดกล้องเพื่อเปลี่ยนโหมดถ่ายภาพนิ่ง-ภาพเคลื่อนไหว-ตั้งค่ากล้อง
- ปุ่มใหญ่ – ปุ่มถ่ายรูป-ถ่ายวิดีโอ, กดค้างเพื่อเปลี่ยนโหมดย่อย เช่นถ่ายรูปปกติ-ถ่ายรูป HDR-ถ่ายรูปต่อเนื่อง, ถ่ายวิดีโอปกติ-ถ่ายวิดีโอ Bullet Time-ถ่าย Time lapse-ถ่าย HDR
ซึ่งก็เข้าใจการควบคุมได้ไม่ยากครับ เพราะมีหน้าจอแสดงตลอดว่าอยู่ในโหมดอะไร
ส่วนการพกพาเครื่องนั้นในชุดขายจะมีซองผ้านุ่มๆ (ซองในรูปปกบทความครับ) สำหรับใส่ตัวกล้องเอาออกไปใช้ข้างนอกครับ ซึ่งซองนี้จะมาพร้อมสายคล้องคอสำหรับห้อยกล้องด้วย ก็ทำให้ใช้งานได้สะดวกดี เพราะเมื่อจะถ่ายก็ดึงกล้องออกจากคอมาใช้ได้เลย ไม่ต้องกวานหาในกระเป๋าเหมือนกล้องอื่น ๆ เพียงแต่ว่าซองผ้านี้นิ่มเกินไปสำหรับการเก็บกล้องในกระเป๋าให้ปลอดภัยครับ เราจึงเจอปัญหากล้องถูกกดในกระเป๋าที่ปุ่มเล็กหรือปุ่มใหญ่จนกล้องติดขึ้นมาเอง ซึ่งทำให้เราเสียเมมกับภาพที่บังเอิญถ่าย หรือกล้องแบตหมดเพราะถูกเปิดค้างในกระเป๋าครับ เราจึงแนะนำให้เก็บกล้องในกระเป๋าตำแหน่งที่โดนกดน้อยที่สุดครับ
การใช้งานกล้อง Insta360 One X
เราสามารถควบคุมกล้อง Insta360 One X ได้ 3 รูปแบบนะครับ คือนอกจากการควบคุมที่ตัวกล้องโดยตรงแล้ว เรายังสามารถซื้อรีโมตพิเศษที่ชื่อ GPS Smart Remote มาสั่งงานกล้องระยะไกลได้ (ราคา $56 หรือประมาณ 1,700 บาท) ที่นอกจากจะควบคุมกล้องได้แล้ว ยังสามารถส่งข้อมูล GPS ให้กล้องบันทึกเพื่อเอาไปใช้เป็นสถิติเวลาเอาไปตัดต่อวิดีโอให้โชว์ความเร็ว หรือเอาไปใช้แสดงแผนที่ต่าง ๆ ได้ด้วย
แต่แน่นอนว่าเราไม่ต้องซื้อรีโมตก็สามารถควบคุมกล้องระยะไกลได้ด้วยการใช้แอป Insta360 One X มาทำหน้าที่รีโมตแทนครับ ซึ่งการสั่งงานผ่านแอปจะมีความพิเศษตรงที่เราสามารถดูภาพตัวอย่างก่อนถ่ายได้เลย แถมยังสามารถปรับแต่งการทำงานของกล้องได้อีกเยอะ เช่นเลือกโหมดการถ่ายรูปถ่ายวิดีโอ ปรับ White Balance, ความสว่างของภาพ หรือสั่งให้บันทึกภาพออกมาเป็นไฟล์ RAW ก็ได้ แถมยังใส่ฟิลเตอร์สด ๆ ให้ภาพที่ถ่ายได้อีกด้วย และเมื่อถ่ายแล้วก็สามารถดาวน์โหลดภาพหรือวิดีโอจากกล้องมาเก็บไว้แอปเพื่อเอามาตกแต่งและแชร์ต่อได้เลย
นอกจากนี้ความสามารถเด็ดอีกอย่างของ Insta360 One X คือเราสามารถไลฟ์วิดีโอแบบ 360 องศาขึ้นไปยัง Facebook, Youtube หรือเครือข่ายอื่น ๆ ที่รองรับโปรโตคอลการแพร่ภาพสดครับ ซึ่ง Insta360 One X นั้นสามารถจัดไลฟ์วิดีโอได้ 2 รูปแบบคือวิดีโอแบบ 360 องศาเลย ให้ผู้ชมไปเลือกมุมที่จะรับชมเองได้ ที่เราสามารถไลฟ์ได้ถึงระดับ 4K เลย โดยเลือก Bitrate ได้สูงสุดถึง 8 Mbps ซึ่งถ้าอินเทอร์เน็ตแรงพอก็น่าลองจัดกันดูนะครับ และอีกรูปแบบหนึ่งคือวิดีโอธรรมดา ที่ผู้ไลฟ์เป็นคนหมุนมุมภาพจากกล้อง 360 องศาเลือกมุมให้ผู้ชมดู เพียงแต่ว่าการไลฟ์ผ่าน Insta360 One X นั้นเราไม่สามารถเชื่อมต่อกล้องกับมือถือผ่าน Wifi ได้นะครับ เราจะต้องซื้อสาย MicroUSB to USB-C (สำหรับ Android) หรือสาย MicroUSB to Lightning (สำหรับ iOS) มาเชื่อมต่อกล้องกับมือถือเพื่อไลฟ์เท่านั้น ซึ่งเราทดลองแล้วคุณภาพของไลฟ์ผ่าน Facebook นั้นอยู่ในระดับที่โอเคเลย อาจจะไม่ได้คมชัดที่สุดเหมือนลงไฟล์วิดีโอ แต่ก็ทำงานได้ลื่นไหล ภาพที่ได้ชัดเจน เสียงชัดเจน
และแน่นอนว่าการควบคุมกล้อง Insta360 One X ผ่านมือถือด้วยการเชื่อมต่อแบบ Wifi นั้นก็จะมีความไม่สะดวกนิดหนึ่งเพราะเมื่อเชื่อมต่อกับกล้องแล้ว internet ของเราก็จะถูกตัดไปเลยจนกว่าเราจะเลิกเชื่อมต่อกล้องผ่าน Wifi ครับ
คุณภาพภาพถ่ายและวิดีโอจาก Insta360 One X
Insta360 One X นั้นประกอบด้วยเลนส์ตาปลา 2 ตัวที่มีมุมรับภาพกว้างถึง 200 องศาที่มุมภาพกว้างขนาดย้อนไปเห็นด้านหลัง ซึ่งเลนส์นี้มีรูรับแสง f/2.0 และใช้เซนเซอร์โซนี่ขนาด 1/2.3 นิ้ว
ซึ่ง 2 เลนส์นี้รวมกันสามารถถ่ายภาพได้ 18 ล้านพิกเซล (6080 x 3040 pixel) ส่วนวิดีโอสามารถถ่ายได้ถึงความละเอียดสูงสุด 5.7K (5760 x 2880 pixel) ที่ 30 fps และสามารถถ่ายวิดีโอความละเอียด 3008 x 1504 ที่ 100 fps สำหรับการทำ Slow Motion ได้ด้วย ซึ่งเราจะได้ใช้ในโหมด Bullet Time ครับ
ในส่วนของภาพนิ่ง Insta360 One X ทำออกมาได้ดีเลย รูปที่ได้นั้นคมชัดตั้งแต่ฉากหน้าไปจนถึงรายละเอียดด้านหลัง ภาพดูสดใส ซึ่งความละเอียด 18 ล้านก็มากพอที่จะทำให้ซูมดูภาพเป็นจุด ๆ แล้วภาพยังไม่แตกมากนัก ส่วนการถ่ายในที่แสงน้อยก็ยังทำงานได้ดี แม้ว่าจะไม่ได้เนียนเท่าภาพกลางคืนจากสมาร์ตโฟนยุคใหม่ ๆ แต่ก็ยังได้ภาพที่ดูรู้เรื่องอยู่ครับ นอกจากนี้อีกโหมดถ่ายรูปที่ได้ใช้บ่อยคือ HDR ที่กล้อง Insta360 One X จะถ่ายภาพซีนเดียวกันออกมา 3 รูป (เวลาถ่ายก็ต้องมือนิ่ง ๆ หน่อยนะครับ) เพื่อให้เก็บรายละเอียดในส่วนมืด ส่วนสว่าง ออกมา ซึ่งเหมาะมากสำหรับการถ่ายในพื้นที่ที่แสงแตกต่างกันเยอะ ๆ เช่นในซีนภาพเดียวกันมีทั้งส่วนที่แดดตก และอยู่ในร่ม ก็จะเก็บรายละเอียดได้มากขึ้น
ภาพแบบ HDR ที่สามารถเก็บรายละเอียดในร่มและแสงสว่างจัดภายนอกได้
ส่วนวิดีโอ หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องถ่ายถึงความละเอียด 5.7K ที่มากกว่า 4K ที่ใช้กันทั่วไปอีก คือแบบนี้ครับ ภาพ 360 องศานั้นจะต้องขยายออกไปรอบทิศทางเพื่อปูให้เห็นได้ทั้ง 360 องศา เพราะฉะนั้นวิดีโอก็ต้องใช้ความละเอียดสูงกว่าปกติถึงจะให้ภาพได้คมชัดแม้จะเจาะดูแค่มุมมองสายตา ซึ่งวิดีโอที่ถ่ายในเวลากลางวันของ Insta360 One X ก็ให้คุณภาพที่ดีเลยแหละครับ ซึ่งจากวิดีโอตัวอย่างแบบ 5.7K ที่เราพาเดินงาน Thailand Game Show 2019 ก็จะเห็นได้ว่าถ้าแสงไม่น้อยจริงๆ ก็ไม่เป็นปัญหาสำหรับกล้องนี้เลย ส่วนระบบชดเชยภาพสั่นไหว FlowState Stabilization ก็ให้คุณภาพได้ดีพอสมควร เพียงแต่ว่าการดูวิดีโอ 360 องศาผ่าน Youtube อาจจะยังเห็นความสั่นไหวอยู่บ้างนะครับ ซึ่งถ้าเป็นวิดีโอที่เรนเดอร์แบบปรับเฟรมภาพมาแล้วผ่านแอปของ Insta360 One X จะเห็นว่าวิดีโอที่ออกมานั้นนิ่งกว่านี้
แอปของ Insta360 One X ทำได้ดีน้ำตาไหล
สำหรับกล้องพกพาแบบนี้แล้วคุณภาพแอปนั้นสำคัญที่สุดครับ เราจะอยากใช้กล้องต่อไปหรือไม่อยากใช้กล้องก็อยู่ที่แอปนี่แหละ ซึ่งแอปของ Insta360 One X นั้นทำออกมาดีมากครับมีแทบทุกอย่างที่เราต้องการอยู่ในแอปนี้จริง ๆ เราพูดถึงไปแล้วว่าเราสามารถใช้แอปตัวนี้เพื่อสั่งงานกล้องได้ แต่ความสามารถที่สำคัญอีกอย่างหนึ่งคือการโหลดรูป-โหลดวิดีโอจากกล้องลงในมือถือ แล้วเอามาตกแต่งต่อเพื่อแชร์ออกสู่โลกภายนอกครับ แถมแอป Insta360 One X ตัวนี้ยังมีฟีเจอร์ Social Network ในตัว มีเครือข่ายโชว์เนื้อหาแบบ 360 องศาของตัวเองเพื่อให้เราดูเป็นแรงบันดาลใจได้ว่าจะใช้กล้องถ่ายแบบไหนดี
ภาพในโหมด Spin View
สำหรับภาพนิ่งแบบ 360 องศา เราสามารถใส่ฟิลเตอร์ ใส่สติกเกอร์ลงไปในจุดต่างๆ ของภาพได้ แชร์ภาพ 360 องศาเต็มรูปแบบไปยังแพลตฟอร์มที่รองรับอย่าง facebook หรือ LINE เพื่อให้ผู้ชมไปหมุนภาพดูเองได้ หรือจะแชร์เป็นภาพธรรมดาในมุมมองของภาพที่เราเลือกมาแล้วก็ได้ และทีเด็ดคือโหมด Spin View ที่เปลี่ยนภาพนิ่ง 360 องศาให้กลายเป็นวิดีโอหมุนดูภาพไปรอบๆ ในรูปแบบที่กำหนดได้ เช่นเริ่มจากหมุนภาพให้ดูรอบทิศทางแล้วซูมออกมาเป็นภาพแบบ Tiny Planet ก็ได้ ทำให้การนำเสนอภาพ 360 องศาของเราดูสนุกขึ้นอีกเยอะ
วิดีโอที่บันทึกผ่าน FreeCapture ในแอป
ส่วนวิดีโอแบบ 360 องศา แอป Insta360 One X ก็ทำรูปแบบการใช้งานออกมาได้ดีมาก โดยเฉพาะการทำงานในรูปแบบ FreeCapture ที่สามารถใช้คำสั่ง ViewFinder ให้เหมือนถ่ายวิดีโอซีนนั้น ๆ ใหม่ได้อีกครั้ง โดยการถ่ายครั้งนี้เป็นการกำหนดมุมมองภาพ แค่กดปุ่มบันทึกในโหมด ViewFinder ค้างไว้ แล้วหมุนมือถือให้ภาพ 360 องศาในจอหมุนไปในทิศทางที่ต้องการ หรือจะเลื่ิอนปุ่มบันทึกในหน้าจอไปมาเพื่อกำหนดการซูมภาพเข้าออกก็ได้ ก็ทำให้เราเลือกบันทึกมุมต่าง ๆ ในวิดีโอได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ใน FreeCapture ยังมีคำสั่ง SmartTrack สำหรับติดตามการเคลื่อนไหวของวัตถุที่อยู่ในซีนภาพให้เฟรมภาพหันตาม และคำสั่ง Pivot Point เพื่อกำหนดจุดแพนภาพ หันกล้องตามช่วงเวลาต่าง ๆ ที่ต้องการด้วย นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดความเร็วของช่วงต่าง ๆ ในวิดีโอเพื่อเร่งความเร็วแบบ Hyperlapse ได้ด้วย ซึ่งเท่าที่เราใช้งานมา แอปก็ทำงานได้รวดเร็ว ยังไม่เคยเจออาการแอปเด้งออกให้เห็นเลย
แต่ตัวแอป Insta360 One X ใน Android และ iOS จะมีความต่างกันอยู่บ้างนะครับ เพราะในขณะที่เขียนรีวิวนี้แอปฝั่ง iOS ได้รับการอัปเดตมากกว่าเป็นเวอร์ชัน 2 แล้ว ซึ่งมีความสามารถใหม่อย่าง Color Plus เพื่อทำให้วิดีโอสีสันสดใสขึ้น (เลือกเปิดได้ตอน Export คลิป) หรือความสามารถ True Audio เพื่อลดเสียงรบกวนพื้นหลัง และ Story Editor สำหรับการทำงานตัดต่อง่าย ๆ เอาหลายๆ คลิปทั้งจากกล้อง Insta360 One X และภาพหรือวิดีโอจากมือถือเข้ามาตัดต่อเรียงเป็นเรื่องเดียวกัน ไม่ต้องไปตัดในแอปภายนอกอีกครับ ซึ่งก็หวังว่าฝั่ง Android จะได้รับการอัปเดตตามมาเร็ว ๆ นี้
โปรแกรม Insta360 Studio สำหรับคอมพิวเตอร์ก็เจ๋ง
แล้วในส่วนของการใช้งานคอมพิวเตอร์ก็ยังมีโปรแกรมที่รองรับคือ Insta360 Studio ซึ่งสามารถอ่านไฟล์ .insp (ภาพนิ่ง) และไฟล์ .insv (ภาพวิดีโอ) จากกล้อง Insta360 One X เพื่อเอามาตกแต่งต่อ เช่นภาพนิ่ง ก็เอามาเลือกมุมที่ต้องการ จะภาพแบบแบน หรือภาพทรงโค้งวงกลมก็ทำได้ทั้งนั้น หรือจะแก้ไขมุมภาพจากการใส่เคสป้องกันแบบต่าง ๆ แล้ว Export ออกมาเป็น jpg ที่เป็นภาพสมบูรณ์เพื่อแชร์ไปยังที่อื่นๆ หรือจะ Export ออกมาเป็นไฟล์ jpg แบบที่ยังเป็นภาพ 360 องศาเพื่อเอาไปอัปโหลดลง facebook หรือบริการที่รองรับเพื่อให้ยังดูภาพในลักษณะ 360 องศาก็ได้
ในส่วนของวิดีโอยังสามารถจัดการได้หลายอย่าง ตั้งแต่ตัดหัวท้าย, กำหนด Keyframe เพื่อระบุมุมภาพในช่วงต่างๆ เช่นภาพจุดนี้ให้เป็นทรงกลมแบบ Tiny Planet เห็นฉากเหมือนลูกโลกเล็กๆ แล้วค่อย ๆ กางขยายภาพออกไปให้เห็นรายละเอียดในฉากตามจุดต่าง ๆ รวมถึงเปิดใช้ระบบป้องกันภาพสั่นไหว FlowState ได้ด้วย และในซอฟต์แวร์ตัวล่าสุดยังเพิ่มตัวเลือกในการจัดการเสียงของวิดีโอเพื่อตัดเสียงรบกวนหรือเน้นเสียงพูดออกมาได้ด้วย
เพียงแต่ว่าความสามารถของ Insta360 Studio นั้นจะยังด้อยกว่าแอป Insta360 One X ในมือถือบางจุด เช่นไม่สามารถกำหนด SmartTrack หรือจุดติดตามการแพนกล้องในวิดีโอได้ หรือไม่สามารถใส่เพลงในคลิป หรือแต่งรูปแบบที่แอปทำได้ครับ ตัวโปรแกรม Insta360 Studio จึงเหมาะสำหรับการจัดการไฟล์ระดับมืออาชีพที่ต้องการเอาภาพหรือวิดีโอแบบ 360 องศาไปใช้ต่อมากกว่าการใช้แล้วแชร์เลยแบบในแอป
นอกจากนี้ในชุดซอฟต์แวร์ Insta360 Studio ยังมาพร้อมปลั้กอินของ Adobe Premiere เพื่อดึงฟุตเทจดิบจากกล้อง Insta360 One X เข้าไปตัดต่อในไทม์ไลน์ได้โดยไม่ต้องแปลงออกมาเป็นไฟล์วิดีโอก่อน ทำให้คนที่ต้องการตัดต่อวิดีโอ 360 องศาในระดับมืออาชีพสามารถจัดการไฟล์ได้ง่ายขึ้น และมีคุณภาพมากขึ้น เพราะไม่ต้องแปลงไฟล์วิดีโอหลายรอบด้วย
อุปกรณ์เสริมสารพัดของ Insta360 One X
Insta360 นั้นทำผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการถ่ายภาพ 360 องศามานานนะครับ ซึ่งสำหรับ Insta360 One X แล้ว นอกจากเคสกันกระแทกและกันน้ำที่เราพูดถึงไปแล้ว ยังมีอีกหลายอย่างที่น่าสนใจ
ไม้เซลฟีล่องหน
ไอเท็มที่ต้องมีเลยสำหรับผู้ใช้ Insta360 One X มันเป็นไม้ยาวสำหรับถ่าย Selfies ทำจากอลูมิเนียมน้ำหนักเบา หดแล้วเหลือ 28 cm ยืดไปได้สูงสุด 120 cm ซึ่งยึดกับกล้องด้วยหัวมาตรฐาน 1/4 เหมือนกล้องทั่วไป แต่ความเทพของไม้เซลฟีนี้คือเมื่อใช้กับ Insta360 One X ซอฟต์แวร์ของกล้องจะลบไม้เซลฟีดำ ๆ นี้ออกจากเฟรมไปเลย ไม่ว่าจะถ่ายรูปนิ่งหรือวิดีโอ มันเทพตรงนี้แหละ แล้วถ้าคิดว่ามันยาวไม่พอก็ยังมีไม้เซลฟีรุ่นยาวพิเศษ ต่อไปยาว ๆ 3 เมตรขายด้วย
ชุดสำหรับถ่าย Bullet Time
หนึ่งในความสามารถเด็ดของ Insta360 One X คือเราสามารถเหวี่ยงกล้องไปรอบตัวเพื่อถ่ายภาพแบบ Slow Motion แบบ Bullet Time ได้ ซึ่งให้ภาพที่แปลกตามาก ๆ ซึ่งโดยเฉพาะในชุดขายของ Insta360 One X นั้นจะมาพร้อมเชือกสำหรับยึดเครื่องแล้วเหวี่ยงไปรอบ ๆ ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าต้องการการเหวี่ยงที่มั่นคงขึ้น มั่นใจมากขึ้นว่าจะเหวี่ยงไม่โดนหัวชาวบ้าน ก็มีชุดอุปกรณ์สำหรับถ่าย Bullet Time เป็นตัวเสริมครับ
ชุดอุปกรณ์นี้จะใช้คู่กับไม้เซลฟีล่องหนครับ คือจะมีก้านสำหรับต่อกับไม้เซลฟีเพื่อยึดแล้วเหวี่ยงไปรอบ ๆ ได้ นอกจากนี้ไม้ตัวนี้ยังมาพร้อมขาตั้งในตัว ก็ทำให้เอาไปใช้ตั้ง Insta360 One X กับพื้นได้
อุปกรณ์เสริมสำหรับชาร์จแบตเตอรี่
แบตเตอรี่ 1 ชุดของ Insta360 One X นั้นใช้งานต่อเนื่องได้ราวชั่วโมงหนึ่งนะครับ และปกติเราก็จะชาร์จแบตเตอรี่ผ่านสาย MicroUSB ผ่านเครื่องนะครับ แต่สำหรับคนที่ต้องการใช้งานต่อเนื่องจริง ๆ ก็สามารถซื้อชุดชาร์จเสริมได้ ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ 2 ก้อนพร้อมกัน และชาร์จได้เร็วกว่าเดิมด้วย
ชุดอุปกรณ์เสริมสำหรับติดตั้งกับยานพาหนะต่าง ๆ
นอกจากนี้ Insta360 One X ยังมีชุดอุปกรณ์เสริมอีกมากมายเพื่อช่วยติดตั้งกล้องกับมอเตอร์ไซค์, สัตว์เลี้ยง, กระดานโต้คลื่น, โดรน, การปีนผา, กระโดดร่ม ฯลฯ ให้เลือกใช้ตามความต้องการอีกด้วย
สรุป Insta360 One X กล้อง 360 องศาลูกเล่นเยอะ ราคาดี
Insta360 One X นั้นจำหน่ายในไทยที่ราคา 13,900 บาทนะครับ แต่ปัจจุบันก็สามารถหาได้ในราคาถูกกว่านี้ แค่หมื่นนิด ๆ ก็ได้กล้องพร้อมไม้เซลฟีล่องหนแล้ว ซึ่งเมื่อเทียบคุณภาพภาพที่กล้องตัวนี้ทำได้ รวมถึงการถ่ายวิดีโอ 360 องศาระดับเทพ และแอปที่ใช้งานง่ายและเสถียร ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกในการถ่ายภาพ 360 องศาที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ทั่วไปในปัจจุบันครับ เพราะมาถึงวันนี้แล้วคุณภาพของกล้อง 360 ในระดับคอนซูเมอร์เริ่มมาไกลมากพอที่จะใช้ได้อย่างไม่ติดขัดแล้ว ไม่เหมือนยุคแรก ๆ เมื่อ 2-3 ปีที่แล้วที่กล้องลักษณะนี้เป็นความลำบากในชีวิต ต้องมาจัดการไฟล์กันอย่างเหนื่อยครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส