Our score
8.1Dyson Omni-Glide
จุดเด่น
- การจับถือแบบไม้กวาด ทำให้ทำความสะอาดพื้นได้ดีและยืดหยุ่นมาก
- หัวทำความสะอาดแบบ Fluffy 2 ลูกกลิ้งทำงานดีมาก สามารถลากหัวที่พื้นในแนวไหนก็ได้ ใช้งานสะดวก สามารถหมุดพื้นที่แคบได้
- ถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ง่าย
- น้ำหนักเบาแค่ 1.9 ก.ก.
จุดสังเกต
- แบตเตอรี่ทำงานต่อเนื่องได้ 20 นาที ไม่พอสำหรับการทำความสะอาดทั้งบ้าน
- ถังเก็บฝุ่นขนาดเล็ก 0.2 ลิตร ต้องทิ้งฝุ่นบ่อย
- ตัวเครื่องยาวเกะกะสำหรับการทำความสะอาดเฟอร์นิเจอร์ที่ต้องใช้หัวแปรง
- กำลังดูดน้อยเมื่อเทียบกับรุ่นพี่
-
รูปร่างลักษณะ
9.0
-
ความสะดวกในการใช้
8.0
-
ความสามารถในการทำความสะอาด
8.0
-
ความยืดหยุ่นในการใช้งาน
8.0
-
ความคุ้มค่า
7.6
ปี 2021 นี้ Dyson ค่ายอุปกรณ์เทคโนโลยีในบ้านสัญชาติอังกฤษนี่ฟิตมาก เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ออกมาหลายอย่างเลย ซึ่ง Dyson Omni-Glide ก็เป็นเครื่องดูดฝุ่นไร้สายดีไซน์ใหม่ที่ผสมความเป็นไม้กวาดเข้ากับเครื่องดูดฝุ่นด้วย มีการดีไซน์การใช้งานหลายอย่างใหม่ จนแตกต่างจากเครื่องดูดฝุ่นไดสันรุ่นอื่นๆ ครับ วันนี้เราจะแบไต๋ให้ฟังกันว่าสรุปแล้วมันดีไหม
ดีไซน์ของ Dyson Omni-Glide
เอกลักษณ์ของเครื่องดูดฝุ่นไร้สายในตระกูล V ของไดสันคือด้ามจับที่มีลักษณะเหมือนปืน เวลาต้องการดูดฝุ่นก็ใช้นิ้วกดปุ่มที่ด้าม พอหยุดดูดฝุ่นก็คลายนิ้วออกมา แต่ Dyson Omni-Glide เปลี่ยนการใช้งานในส่วนนี้ไปหมด ด้วยด้ามจับแบบแท่งตรงเหมือนไม้กวาด แล้วใช้การกดปุ่มเพื่อเริ่มดูดฝุ่นบนด้ามแทน ซึ่งเป็นแบบกดเพื่อดูด และกดอีกทีเพื่อหยุดดูด ไม่ต้องกดแช่ค้างเหมือนเครื่องดูดฝุ่นไดสันรุ่นอื่นๆ นอกจากนี้ยังมีอีกปุ่มหนึ่งเพื่อเร่งแรงดูดสูงสุด ซึ่งเสียงเวลาทำงานจะดังขึ้น และใช้งานได้สั้นลงครับ
ดีไซน์ของ Dyson Omni-Glide เป็นแท่งยาวไม่มีอะไรยื่นออกมาเหมือนเครื่องรุ่นอื่นๆ สามารถจัดวางตัวมอเตอร์ ตัวกรอง ถังฝุ่น และด้ามจับให้อยู่ในแนวเดียวกันทั้งหมด เพื่อให้สามารถใช้เครื่องแบบวางราบกับพื้น จึงทำความสะอาดในที่แคบเช่นใต้ตู้หรือใต้โซฟาได้สะดวกขึ้น และมีน้ำหนักเบาแค่ 1.9 กก. ทำให้อยู่ในกลุ่มเครื่องดูดฝุ่นที่มีน้ำหนักเบาเกือบที่สุดจาก Dyson แล้ว มีเพียง Dyson Micro 1.5 Kg ที่เบากว่าเท่านั้นเอง แต่ด้วยขนาดที่เล็กก็ทำให้ถังเก็บฝุ่นก็มีขนาดเล็กลงด้วยนะครับ รุ่นนี้มีความจุ 0.2 ลิตรเท่านั้น ถ้าทำความสะอาดใหญ่ทั้งบ้าน อาจจะต้องทิ้งฝุ่นกันหลายรอบหน่อย
ข้อต่อหัวดูดต่างๆ ของ Dyson Omni-Glide นั้นแตกต่างจากเครื่องดูดฝุ่นรุ่นหลักในตระกูล V ครับ เป็นข้อต่อที่มีขนาดเล็กลง ทำให้ใช้อุปกรณ์เสริมข้ามกลุ่มกันไม่ได้ ซึ่งข้อต่อขนาดเล็กนี้น่าจะใช้ร่วมกับ Dyson Micro 1.5kg ครับ
เครื่องดูดฝุ่นไร้สายจาก Dyson รุ่นหลังๆ จะสามารถถอดเปลี่ยนแบตเตอรี่ได้ครับ ตัว Dyson Omni-Glide ก็มีแบตเตอรี่เป็นแท่งยาวๆ อยู่ที่ด้ามจับซึ่งสามารถถอดออกมาได้ง่ายๆ เผื่อใครซื้อแบต 2 ก้อนมาใช้งานสลับกัน ก้อนหนึ่งเอาไปชาร์จ ส่วนอีกก้อนใช้ดูดฝุ่นอยู่ก็ทำได้ ซึ่งสามารถชาร์จแบตเตอรี่ได้ทั้งรูปแบบการถอดแบตมาชาร์จ หรือจะชาร์จทั้งเครื่องเลยก็ได้ ซึ่งหัวชาร์จที่มาในกล่องจะประกอบอยู่กับเบ้าจับก้านของตัวเครื่องสำหรับการติดตั้งหัวชาร์จกับผนัง ซึ่งถ้าเอาไปติดตั้งกับผนังตามที่ดีไซน์ก็น่าจะใช้งานได้ง่ายครับ ส่วนถ้าจะใช้งานแบบวางเครื่องกับพื้นแล้วชาร์จ ก็ต้องถอดหัวชาร์จออกมาจากเบ้าก่อน ก็จะใช้งานได้ง่ายขึ้น
Dyson Omni-Glide มีหัวดูดทำความสะอาดที่จำเป็นมาให้ 4 หัวและ 1 ท่อต่อ ซึ่งก็ครอบคลุมการใช้งานทั่วๆ ไป คือ
- หัวดูดทำความสะอาดแบบทุกทิศทาง Fluffy หรือหัวแบบนุ่ม ทำความสะอาดพื้นแข็งที่เป็นพระเอกของเครื่อง
- หัวดูดมอเตอร์ขนาดเล็ก สำหรับทำความสะอาดที่นอน โซฟา เฟอร์นิเจอร์ผ้าต่างๆ
- หัวดูด 2 in 1 ที่รวมเอาหัวดูดปลายแหลมและหัวแปรงเอาไว้ด้วยกัน
- หัวดูดสำหรับโต๊ะ หัวขนาดสั้น สำหรับใช้งานดูดฝุ่นบนโต๊ะ บนเฟอร์นิเจอร์
- ท่อต่อโลหะเสริมความยาว สำหรับดูดพื้นหรือดูดเพดาน
แต่สำหรับบ้านที่มีพรมใหญ่ๆ ชุดทำความสะอาดของ Dyson Omni-Gilde อาจจะไม่เหมาะนัก เพราะไม่มีหัวทำความสะอาดแบบ Direct Drive ที่เป็นแปรงแข็งๆ มาให้ ก็ต้องลองดูเครื่องดูดฝุ่นรุ่นสูงกว่านี้นะครับ
การใช้งาน Dyson Omni-Glide
โครงสร้างการทำงานของเครื่องดูดฝุ่นรุ่นนี้ประกอบมอเตอร์ไฟฟ้าพร้อมท่อไซโคลน 8 ตัว เพื่อสร้างแรงเหวี่ยงในอากาศ ทำให้ฝุ่นตกออกมาในถังเก็บฝุ่น แล้วก็ซีลรอบเครื่องไม่ให้ลมที่มีฝุ่นหลุดออกมาจากเครื่อง ลมที่ออกจากเครื่องจะผ่าน HEPA Filter ออกมา ทำให้กรองฝุ่นจากเครื่องได้เกือบ 100% ซึ่งเสียงในระหว่างที่ทำงานก็ไม่ได้ดังมากจนน่ารำคาญ
ตามสเปกของ Dyson Omni-Glide บอกว่าสามารถใช้งานในโหมดธรรมดา (Eco Mode) ได้ 20 นาที ถ้าใช้ทำความสะอาดในชีวิตประจำวัน แบตเตอรี่ก็จุมากพอจะใช้งานได้ตลอด แต่ต้องชาร์จทุกครั้งหลังเก็บเครื่องนะครับ ส่วนถ้าต้องเก็บทั้งบ้าน อันนี้จะทำงานไม่ไหวแล้ว ต้องมีช่วงพักเพื่อชาร์จแบต โดยใช้เวลาชาร์จ 3 ชั่วโมงครึ่งถึงจะเต็มครับ ซึ่งเราว่าแรงดูดมาตรฐาน 11 Air-Watt ก็ทำความสะอาดในบ้านทั่วไปได้ดีครับ เท่าที่ใช้งานจริงไม่รู้สึกว่าแรงดูดปกติจะแรงไม่พอ แต่ถ้าต้องการแรงดูดสูง เครื่องก็มีโหมด Max ที่สร้างกำลังสูงสุด 50 Air-Watt ซึ่งจะใช้งานได้ 18 นาที (ใช้จริงอาจจะสั้นกว่านี้) แต่กำลังดูดก็ยังสู้เครื่องกลุ่ม V8, V10, V11, V12 ที่มีกำลังในระดับ 100 Air-Watt ขึ้นไปไม่ได้
ในส่วนของถังเก็บฝุ่นความจุ 0.2 ลิตร ถ้าใช้งานเก็บบ้านในชีวิตประจำวันก็ใช้งานได้กำลังดีครับ แต่ถ้าเก็บบ้านครั้งใหญ่ ก็ต้องเอาฝุ่นมาทิ้งบ่อยหน่อย แล้วการเอาฝุ่นออกจากถังจะยุ่งยากนิดหน่อย โดยเฉพาะฝุ่นตามบ้านที่ผสมเส้นผมเข้าไปด้วยจะเคาะออกจากถังยาก บ่อยครั้งเราจึงต้องถอดทั้งถังเก็บฝุ่นออกมาเลย เพื่อให้ทิ้งฝุ่นได้หมด แล้วค่อยประกอบกลับเข้าไปใหม่ แต่ก็ไม่ใช่กระบวนการที่ยุ่งยากอะไร เพราะ Dyson ออกแบบให้เราถอดชุดถังเก็บฝุ่นไปล้างทำความสะอาดได้ง่าย ๆ อยู่แล้ว
การใช้ Dyson Omni-Glide ทำความสะอาดบ้านเป็นประสบการณ์ที่แตกต่างจากการใช้เครื่องดูดฝุ่นไดสันรุ่นปกตินะครับ คือปกติเวลาใช้เครื่องดูดฝุ่นไดสัน เราจะต้องกดปุ่มเพื่อดูดตลอดเวลา ทำให้มือเราไม่สามารถจับท่าทางอื่น ๆ กับด้ามจับได้เลย แต่ใน Omni-Glide แค่กดให้เครื่องทำงาน แล้วเราก็จับก้านเครื่องคล้าย ๆ จับไม้กวาด และลากหัวดูดไปทั่วพื้นได้เลย
ซึ่งหัวดูดแบบ Fluffy ของเครื่องรุ่นนี้ก็ทำงานแตกต่างจากเครื่องรุ่นอื่นๆ คือมีโรลดูดฝุ่น 2 โรลเพื่อปัดฝุ่นที่พื้นจากทั้ง 2 ด้านเข้าสู่ท่อดูดพร้อม ๆ กัน ทำให้เราหมุนหัวดูดพื้นไปได้ทุกทิศทางที่พื้น เวลาเจอสิ่งกีดขวางก็หมุนด้ามให้หัวดูดหมุนหลบเก็บฝุ่นให้ครบทุกมุมได้ นอกจากนี้ยังสามารถเก็บฝุ่นใต้ตู้ ใต้เฟอร์นิเจอร์ได้ดีมาก เพราะหัวดูดสามารถมุดเข้าไปในที่แคบ ๆ ได้ ทำให้ประสบการณ์การทำความสะอาดพื้นดีมากครับ
แต่จุดที่ขัดใจเยอะหน่อยนั้นอยู่ที่การใช้งานหัวดูดปลายแหลมที่ปกติตัวเครื่องของ Dyson Omni-Glide ก็ยาวกว่าเครื่องดูดฝุ่นไร้สายรุ่นอื่น ๆ อยู่แล้ว พอต่อหัวดูดปลายแหลมนี่ก็ยิ่งทำให้ตัวเครื่องยาวกว่ารุ่นอื่นมาก ๆ ทำให้เวลาใช้งานรู้สึกจะเกะกะเมื่อต้องใช้ในที่แคบ ๆ แล้วถ้าต้องการใช้หัวดูดที่มีแปรง ก็มีแต่หัวดูด 2 in 1 ปลายแหลมนี้อีก ซึ่งทางออกก็คงต้องเปลี่ยนเป็นหัวสั้นสำหรับทำความสะอาดโต๊ะแทน แต่มันก็ไม่ใช่หัวที่มีแปรง เลยรู้สึกขาด ๆ เกิน ๆ ตรงนี้
สรุป Dyson Omni-Glide เหมาะกับใคร
จากความขยันของไดสันทำให้ตอนนี้มีเครื่องดูดฝุ่นไร้สายที่กำลังทำตลาดในไทยอยู่หลายรุ่นเลย แต่ Dyson Omni-Glide ก็เป็นเครื่องรุ่นที่มีดีไซน์และรูปแบบการใช้งานแตกต่างที่สุด ถ้าถามว่าเครื่องรุ่นนี้เหมาะกับใคร เราอาจสรุปได้ดังนี้ครับ
- อยู่ในคอนโด หรือบ้านที่มีพื้นที่ไม่เยอะ
- เน้นดูดฝุ่นพื้นแข็ง ไม่เน้นพื้นพรม
- ต้องการเครื่องที่ราคาไม่สูงมาก
- น้ำหนักเครื่องมีผลต่อการตัดสินใจ
โดย Dyson Omni-Glide เปิดตัวด้วยราคา 15,900 บาท ถือว่าราคาไม่แพงเมื่อเทียบกับเครื่องดูดฝุ่นไร้สายของไดสันรุ่นอื่น ๆ แต่ก็ยังราคาสูงกว่าคู่แข่งอยู่ เอาเป็นว่าถ้าใครทำความสะอาดบ้านบ่อย ๆ แบบอยากดูดฝุ่นที่พื้นทุกวันเลย Dyson Omni-Glide ก็จะทำให้งานทำความสะอาดนี้สะดวกขึ้นมากครับ
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส