กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) และ เครือเจริญโภคภัณฑ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) โครงการการเคลื่อนย้ายบุคลากรเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม (Talent Mobility with C.P. Group) โดยจะร่วมมือกันวิจัย 4 เรื่องหลักที่เป็นอนาคตของโลก เนื้อสัตว์ทางเลือก, แบตเตอรี่ ชิป และยานยนต์ไฟฟ้า, อาหารเป็นยาอายุวัฒนะ, การเกษตรแห่งอนาคต
และโครงการพัฒนาหลักสูตรสหกิจศึกษาร่วมกับภาคเอกชน (Cooperative education by action based learning) โดยมี ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ เป็นประธานในพิธีฯ ขณะที่ ศ.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ นายศุภชัย เจียรวนนท์ ประธานคณะผู้บริหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ จำกัด ร่วมลงนามในบันทึกข้อตกลงความร่วมมือดังกล่าว
โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการยกระดับและสร้างงานวิจัยในเชิงพาณิชย์ที่ตอบโจทย์อนาคตประเทศไทย ด้วยการส่งเสริมให้บุคลากรของรัฐ ได้แก่ นักวิชาการ นักวิจัย ได้ปฏิบัติงานจริงกับภาคเอกชน ซึ่งจะนำไปสู่สร้างประโยชน์ทั้งในเชิงเศรษฐกิจ และสังคมให้กับประเทศไทย รวมถึงการพัฒนาหลักสูตรสหกิจศึกษา เพื่อสร้างคนรุ่นใหม่ที่มีทักษะด้านอาชีพสำหรับโลกธุรกิจยุค 4.0
ศาสตราจารย์พิเศษ ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยว่า การลงนามความร่วมมือระหว่าง อว. และเครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือเครือซีพี ซึ่งเป็นกลุ่มธุรกิจระดับนำของเอเชียและของโลกในครั้งนี้ ถือเป็นก้าวแรกและก้าวสำคัญที่จะสานพลังกันระหว่างนักวิจัย นักวิทยาศาสตร์ ที่มีอยู่ในมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยของ อว. กับภาคเอกชน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และยกระดับการวิจัยไปสู่มาตรฐานระดับสากล
“เรากำลังเข้าสู่ยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจากหน้ามือเป็นหลังมือ อว.จึงต้องเร่งทำงานวิจัยและพัฒนาที่ตอบโจทย์อันท้าทายนี้ และเราพร้อมเปิดให้ทุกกลุ่มธุรกิจ ทุกบริษัทเข้ามาสร้างความร่วมมือ ใช้ทรัพยากรที่ อว.มี เพื่อสร้างงานวิจัยที่ตอบสนองต่อความต้องการของภาคเอกชนและสังคมอย่างแท้จริง หมดเวลาแล้วสำหรับงานวิจัยที่อยู่บนหอคอยงาช้าง อว.จะไม่เป็นฝ่ายรับ แต่จะเป็นฝ่ายรุก เพื่อเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ” รมว.อว.กล่าว
นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโส เครือเจริญโภคภัณฑ์ หรือ เครือซีพี เปิดเผยว่า เครือซีพี กำลังก้าวข้ามไปสู่การเป็นองค์กรนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อเชื่อมโยงโลกไปสู่อนาคต บันทึกข้อตกลงความร่วมมือในวันนี้ จึงเป็นก้าวย่างสำคัญของภาครัฐและเอกชนในการยกระดับและสร้างงานวิจัยในเชิงพาณิชย์ ที่ตอบโจทย์อนาคตประเทศไทย รวมถึงส่งเสริมให้บุคลากรของรัฐ ได้แก่ นักวิชาการ นักวิจัย ได้ปฏิบัติงานจริงกับภาคเอกชน
“นักวิจัยของไทยเก่งเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก การร่วมมือกับกระทรวงการอุดมศึกษาฯ จะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับบุคลากรของประเทศไทยในการวิจัยเชิงพาณิชย์ ทั้งนี้นักวิจัย นักวิทยาศาสตร์จะต้องเข้าใจธุรกิจ ซึ่งจะทำให้งานวิจัยสามารถนำมาใช้ได้จริง” ประธานอาวุโส เครือซีพีกล่าว
สำหรับขอบเขตความร่วมมือระหว่าง กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม และ เครือซีพี ประการแรกคือการร่วมกันขับเคลื่อนโครงการ การย้ายบุคลากรเพื่อพัฒนาศักยภาพการวิจัยในภาคอุตสาหกรรม หรือ Talent Mobility โดยงานวิจัยเชิงลึกดังที่กล่าวข้างต้น ประกอบไปด้วย 4 เรื่องสำคัญ คือ
- เนื้อสัตว์ทางเลือก (Meat alternatives) การสร้างเนื้อทดแทนเนื้อสัตว์จริง ซึ่งสามารถแก้ปัญหาการขาดแคลนอาหาร และลดผลกระทบทางด้านสิ่งแวดล้อมจากการเลี้ยงสัตว์
- แบตเตอรี ชิป และยานยนต์ไฟฟ้า (Battery, Chip and EV) เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์ EV ในอาเซียน และเตรียมความพร้อมให้ไทยเปลี่ยนมาใช้ยานยนต์ไฟฟ้าเต็มรูปแบบได้อย่างยั่งยืน
- อาหารเป็นยาอายุวัฒนะ (Longevity) ค้นคว้าและพัฒนาอาหารที่มีคุณค่าเป็นยา ตอบโจทย์ร่างกายมีความต้องการแตกต่างกัน (Personalized Functional Food) เพื่อช่วยชะลอวัยและยับยั้งโรค
- การเกษตรแห่งอนาคต (Future Farming) เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ทางการเกษตรให้เท่าทันโลกอนาคต พร้อมสร้างสิ่งแวดล้อมที่ยั่งยืน
นอกจากนี้ยังมีการพัฒนาหลักสูตรสหกิจศึกษา สำหรับนักศึกษาระดับอุดมศึกษา ที่เน้นการเรียนรู้ด้วยการปฏิบัติงานจริงกับ 3 กลุ่มธุรกิจหลักของเครือฯ ได้แก่ กลุ่มธุรกิจเกษตรและอาหาร กลุ่มธุรกิจค้าปลีก และกลุ่มธุรกิจโทรคมนาคม เพื่อให้พร้อมรับตลาดแรงงานในปัจจุบันและอนาคต ปีละไม่น้อยกว่า 200 คน สุดท้ายคือการพัฒนาศักยภาพนักวิจัยให้เข้าใจเรื่องเศรษฐกิจ และการตลาดผ่านการเรียนรู้และปฏิบัติงานจริงในด้านการข่าวจากสถานีข่าว TNN