เมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา พรรคการเมืองเมารี (The Māori Party) พร้อมรายชื่อประชาชนผู้สนับสนุนกว่า 70,000 รายชื่อ ได้ยื่นคำร้องให้เปลี่ยนชื่อประเทศอย่างเป็นทางการ จากเดิมชื่อ ‘นิวซีแลนด์ (New Zealand)’ เป็น ‘เอาเตอารัว (Aotearoa)’ ซึ่งเป็นชื่อพื้นเมืองของชาวเมารีที่อาศัยอยู่ในดินแดนนี้ แปลว่า ‘ดินแดนเมฆสีขาวที่ทอดยาว’ รวมถึงเรียกร้องให้เปลี่ยนชื่อเมืองต่าง ๆ ให้เป็นชื่อพื้นเมืองภายในปี ค.ศ. 2026
แต่เดิมทีนั้นดินแดนบริเวณนี้ชื่อเอาเตอารัวตาม ‘ภาษาเมารี (Te reo Maori)’ มาตั้งแต่แรกแล้ว จนถึงศตวรรษที่ 19 มีนักสำรวจผู้หนึ่งนามว่า ‘อาเบล แทสมัน (Abel Tasman)’ เป็นนักสำรวจชาวดัตช์ หรือเนเธอร์แลนด์ในปัจจุบัน ได้แล่นเรือมายังดินแดนดังกล่าว และพบว่า ดินแดนนี้มีภูมิประเทศคล้ายเมือง ‘ซีแลนด์ (Zeeland หรืออีกชื่อ Zealand)’ ของยุโรป ที่มีเกาะหลาย ๆ เกาะ จึงเรียกดินแดนใหม่ที่ค้นพบว่านิวซีแลนด์ (New Zealand) ที่แปลว่า ‘เมืองซีแลนด์แห่งใหม่’
ต่อมาดินแดนนี้ถูกยึดครองโดยจักรวรรดิอังกฤษ เมืองต่าง ๆ รวมถึงชื่อดินแดน ถูกเรียกตามนักสำรวจชาวดัตช์ที่เคยตั้งไว้ตอนนั้น รวมถึงภาษาอังกฤษที่เข้ามาแทนที่ภาษาท้องถิ่น เป็นมรดกสืบทอดจากยุคล่าอาณานิคมมาจนถึงทุกวันนี้
‘รวิริ ไวทีติ’ (Rawiri Waititi) และ ‘เด็บบี งาเรวา-แพกเกอร์’ (Debbie Ngarewa-Packer) หัวหน้าพรรคเมารี ได้พูดถึงภาษาเมารีที่ตอนนี้เริ่มจะเลือนหายไป การใช้ภาษานี้ในทีวี วิทยุ ป้ายถนน รวมถึงบรรจุลงในหลักสูตรการเรียนการสอน เป็นความรับผิดชอบของชาวนิวซีแลนด์ทุกคน ที่ต้องทำให้ภาษานี้ถูกนำกลับมาใช้อีกครั้ง และปกป้องไม่ให้มันหายไป
ในอนาคตถ้าประเทศนิวซีแลนด์สามารถเปลี่ยนชื่อประเทศได้สำเร็จ ประเทศและเมืองอื่น ๆ ที่ถูกเปลี่ยนชื่อจากผู้ล่าอาณานิคมจะกลับไปใช้ชื่อและภาษาพื้นเมืองเดิมหรือไม่นั้น คงต้องติดตามกันต่อไป เพราะภาษาพื้นเมืองก็นับเป็นหนึ่งในวัฒนธรรมที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้รุ่นลูกรุ่นหลานได้เห็นสืบต่อไป
ที่มา: RNZ , Scoop Independemt News , VICE
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส