ในภาพยนตร์ ‘Black Panther: Wakanda Forever‘ ที่เพิ่งจะฉายไปไม่นานมานี้ นอกจากจะเป็นการส่งต่อตำนานเทพเจ้าเสือดำอย่าง แบล็ก แพนเธอร์ (Black Panther) แล้ว ก็ยังเป็นการเปิดตัวครั้งแรกของวายร้ายหลักในหนัง นั่นก็คือ Namor (ที่สามารถอ่านว่า เนมอร์ หรือ นามอร์ ก็ได้) ที่นำแสดงโดยนักแสดงชาวเม็กซิกัน เตนอช เวร์ตา (Tenoch Huerta)
แม้ว่า Namor จะเพิ่งปรากฏตัวเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของ MCU ในฐานะของแอนตี้ฮีโรผู้ปกปักเมืองและชาวทาโลคาน (Talocan) เมืองลึกลับใต้สมุทรในฐานะราชันผู้ยิ่งใหญ่ และเป็นวายร้ายผู้มีเบื้องหลังอันเจ็บปวดที่ต้องการจะทลายมนุษย์และโลกบนบกให้สิ้นซาก
แต่แอนตี้ฮีโรอย่าง Namor the Sub-Mariner นั้น จริง ๆ แล้วมีประวัติศาสตร์คู่กับ Marvel Comics มาอย่างยาวนานกว่า 80 ปี หรือก่อนที่จะมี Marvel Comics เสียด้วยซ้ำ นอกจากนี้ เขายังเป็นตัวละครมิวแทนต์ และตัวละครแอนตี้ฮีโรตัวแรก ๆ ที่ยังคงมีเรื่องราวบนหน้ากระดาษในทุกยุคสมัย เป็นสมาชิกกลุ่มและผู้ร่วมก่อตั้งกลุ่มซูเปอร์ฮีโรมากมาย ทำให้เขาเป็นตัวละครที่มีเรื่องราวและประวัติที่ยาวนานและน่าสนใจ
ไม่มีอะไรยืนยันว่าเขาจะมีบทบาทมากขึ้นใน MCU เฟสที่ 5 และ 6 ต่อไปอีกหรือไม่ แต่ด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนานและที่มาอันน่าสนใจ บทความนี้จึงขอพาไปรู้จักกับแอนตี้ฮีโรเจ้าสมุทรสุดตึงคนนี้ ผ่าน 10 เกร็ดยิบย่อยจากประวัติศาสตร์ 80 ปีบนหน้ากระดาษคอมิกกัน
ต้นกำเนิดของ Namor
ประวัติและที่มาของ Namor หรือ Namor the Sub-Mariner นั้นสามารถสืบย้อนประวัติยาวนานมากถึง 80 ปี เรียกได้ว่า Namor นั้นถือกำเนิดมาก่อนที่ Timely Comics จะเปลี่ยนชื่อเป็น Marvel Comics อย่างที่เรารู้จักกันด้วยซ้ำ และถือว่าเป็นตัวการ์ตูนตัวแรก ๆ ของ Marvel Comics ที่อยู่ในรุ่นราวคราวเดียวกับ ฮิวแมน ทอร์ช (Human Torch) หนึ่งในสมาชิกทีม Fantastic Four
ซึ่งจริง ๆ แล้วถ้านับตามช่วงเวลา จะถือว่า Namor นั้นเกิดก่อน Human Torch เล็กน้อย เพราะในต้นปี 1939 บิล เอเวอร์เร็ตต์ (Bill Everett) ผู้ให้กำเนิดตัวการ์ตูนตัวนี้ ได้ออกแบบ Namor เพื่อวาดลงในหัวหนังสือคอมิก ‘Motion Picture Funnies Weekly’ หนังสือการ์ตูนเล่มเล็กขนาด 36 หน้าที่ใช้สำหรับแจกฟรีในโรงภาพยนตร์ แต่ด้วยผู้บริหารของ First Funnies, Inc. เจ้าของหัวหนังสือเล็งเห็นว่าอาจไม่ประสบความสำเร็จ โปรเจกต์นี้จึงถูกยุบเลิกไป พร้อมกับสำเนาฉบับปฐมฤกษ์ที่มีการตีพิมพ์ออกมาในจำนวนจำกัด และก็ทำให้ตัวละคร Namor ที่อยู่ในหนังสือเล่มนี้ไม่ได้รับการแจ้งเกิดไปด้วย
จนกระทั่งเมื่อบริษัท First Funnies, Inc. ได้ถูกขายให้กับบริษัท Timely Comics ต้นกำเนิดของ Marvel Comics ในเวลาต่อมา เอเวอร์เร็ตต์จึงได้หยิบเอาตัวละคร Namor ที่เขาได้ออกแบบด้วยแรงบันดาลใจที่อยากจะออกแบบตัวละครมิวแทนต์ (Mutant) ที่กำเนิดขึ้นจากน้ำ เป็นตัวละครที่มีพลังแข็งแกร่ง สามารถอยู่ได้ทั้งในน้ำและบนบก บินได้ด้วยปีกเล็ก ๆ ที่อยู่ด้านข้างเท้า โดยได้แรงบันดาลใจจากบทกวี ‘The Rime of the Ancient Mariner’ ประพันธ์โดยกวีชาวอังกฤษ ซามูเอล เทย์เลอร์ คอเลอริดจ์ (Samuel Taylor Coleridge) ที่กล่าวถึงนักเดินเรือที่ออกเดินทางรอนแรมกลางทะเล
เขาออกแบบให้ Namor เป็นขั้วตรงข้ามกับตัวละครที่ได้แรงบันดาลใจมาจากไฟอย่าง Human Torch ก่อนจะตีพิมพ์ครั้งแรกใน Marvel Comics #1 ฉบับเดือนตุลาคม ปี 1939 โดยที่มาของชื่อ Namor นั้นเป็นอะนาแกรม (Anagram – การสลับตัวอักษรให้ได้คำใหม่) จากคำว่า ‘ROMAN’ เนื่องจากว่า Namor เป็นชื่อที่เขารู้สึกว่าฟังดูแล้วมีเกียรติ และคำนี้จริง ๆ แล้วสามารถอ่านว่า เนมอร์ (ตามสำเนียงแบบสเปน) หรือ นามอร์ (ตามสำเนียงแบบอเมริกัน) ได้ทั้งสองแบบ
ปูมหลังของ Namor จากคอมิก
ปูมหลังของ Namor ที่ปรากฏในคอมิก Marvel Comics #1 และเรื่องราวของเขาในเวลาต่อมา ไม่สามารถจำแนกได้แบบตรง ๆ ว่าถูกจัดให้เป็นซูเปอร์ฮีโรหรือวายร้าย เพราะเขาเองถือว่าเป็นแอนตี้ฮีโร (Anti-Hero) ที่เปลี่ยนสลับมุมทั้งด้านดีและร้าย รวมทั้งเคยเข้าร่วมและก่อตั้งทีมรวมซูเปอร์ฮีโร และรวมทีมวายร้ายมาแล้วหลายกลุ่ม
ต้นกำเนิดของ Namor เริ่มต้นจากในปี 1915 ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 นักเดินเรือ ลีโอนาร์ด แม็กเคนซีย์ (Leonard McKenzie) ได้รับมอบหมายให้เดินเรือ ออราเคิล (Oracle) ไปยังทวีปแอนตาร์กติกเพื่อตามหาเรือสำรวจแร่ไวเบรเนียม (Vibranium) ลำแรกที่สูญหายไปนานกว่า 5 ปี ก่อนจะสั่งให้ลูกเรือระเบิดธารน้ำแข็งที่ลอยขวางเรือ แรงระเบิดทำให้เมืองใต้น้ำ แอตแลนติส (Atlantis) ได้รับความเสียหาย เจ้าหญิงเฟ็น (Fen) ธิดาของจักรพรรดิ์ทากอร์ (Thakorr) ได้อาสาขึ้นไปสืบข้อมูลบนผิวน้ำ ทำให้ทั้งคู่พบรักกัน เจ้าหญิงไปมาหาสู่ระหว่างเมืองแอตแลนติสและเรือออราเคิลอยู่เป็นเวลานาน
แต่แล้ว ทากอร์ก็ได้ส่งทหารชาวแอตแลนเชียนไปต่อสู้กับมนุษย์บนเรือ เพื่อชิงเจ้าหญิงเฟ็นที่กำลังตั้งครรภ์กลับไปยังเมืองใต้น้ำ ส่วน ลีโอนาร์ด แม็กเคนซีย์ และลูกเรือ โดนทหารแอตแลนติสโจมตีโดยไม่ทราบชะตากรรม ต่อมา เฟ็นก็ได้ให้กำเนิดบุตรครึ่งมนุษย์ ครึ่งสายพันธ์ุ Homo Mermanus และให้ชื่อว่า Namor อันมีความหมายว่า บุตรแห่งผู้ล้างแค้น ด้วยความที่มีสายเลือดมนุษย์และชาวแอตแลนติสอย่างละครึ่ง ทำให้ Namor มีสีผิวเหมือนมนุษย์ ต่างจากชาวแอตแลนติสที่มีผิวสีฟ้า มีพลังมหาศาลในแบบมิวแทนต์ สามารถอยู่บนบกได้นานกว่าชาวแอตแลนติสโดยทั่วไป
Namor ได้สืบทอดบัลลังก์ในฐานะผู้ปกครองเมืองแอตแลนติสโดยที่ชาวเมืองก็ยังให้ความเคารพในฐานะผู้สืบบัลลังก์ และด้วยพลังพิเศษอันมหาศาล Namor ได้ซึมซับและเติบโตท่ามกลางแนวคิดที่ว่า โลกบนบกและมนุษย์นั้นเต็มไปด้วยอันตราย หากมีมนุษย์คนใดเข้ามารุกรานเมืองใต้น้ำ ที่เขาปกครอง และสร้างมลภาวะในทะเล 7 คาบสมุทรจนเสียหาย เขาก็พร้อมที่จะเข้าไปจัดการกับผู้รุกรานให้สิ้นซาก เพื่อปกป้องเมืองของเขาอย่างไร้ความปราณี พร้อมกับการปกครองแบบเผด็จการและจัดการปิดเมืองแอตแลนติสจากโลกภายนอก
ในครั้งหนึ่ง Namor ได้ปกป้องแอตแลนติสจากการรุกรานของเรือดำน้ำ และนักประดาน้ำลึกลับของนาซี ที่บุกเข้ามาทำลายเมืองใต้น้ำอย่างย่อยยับ Namor ได้บุกขึ้นมาบนบกเพื่อต่อกรกับกองทัพ จนทำให้เขาได้เจอกับ กัปตันอเมริกา (Captain America) และ บักกี บาร์นส์ (Bucky Barnes) และ Human Torch ทั้งหมดได้รวมทีมกันในชื่อว่า เดอะ อินเวเดอร์ส (The Invaders) เพื่อต่อสู้กับกองทัพนาซีที่กำลังจะถล่มโลก
Namor เปิดตัวอีกครั้งกับทีม Fantastic Four
ในทศวรรษ 1950 Namor ถูก พอล เดสทีน (Paul Destine) อดีตลูกเรือที่เคยเดินทางไปกับพ่อของเขา เข้าโจมตีเพื่อต้องการที่จะเข้าปกครองแอตแลนติส ด้วยพลังจิตอันแก่กล้า Namor ถูกพลังจิตของเดสทีนจนทำให้ความทรงจำของเขาเลือนหายไปทั้งหมด จำอะไรไม่ได้เลยแม้แต่กระทั่งตัวเอง เจ้าชายแห่งแอตแลนติสกลายเป็นคนเร่ร่อนบนบกอยู่นานนับสิบปี เรื่องราวของเขาเกือบถูกลืมเลือน จนมีคนนำเอาไปวาดเป็นการ์ตูนคอมิก
ในปี 1962 สแตน ลี (Stan Lee) และ แจ็ก เคอร์บี (Jack Kirby) ได้นำ Namor กลับมาสู่จักรวาล Marvel Comics อีกครั้งในฐานะวายร้ายแบบเต็มตัว Fantastic Four #4 โดย จอห์นนี สตอร์ม (Johnny Storm) หรือ Human Torch รุ่นใหม่ ได้อ่านเรื่องราวของ Namor จากการ์ตูนเล่มนั้น ก่อนที่เขาจะได้พบกับชายไร้บ้านคนหนึ่งโดยบังเอิญ
จนพบว่า ชายไร้บ้านคนนั้นแท้จริงแล้วคือ Namor จ้าวแห่งแอตแลนติส สตอร์มอุ้มพา Namor ไปลงน้ำเพื่อฟื้นกำลังกลับมาอีกครั้ง เมื่อพลังของเขาถูกปลุก เขาได้เดินทางกลับไปยังแอตแลนติส ก่อนจะพบว่าเมืองถูกทำลายย่อยยับ และแม่ของเขาก็จากไปแล้ว ด้วยความโกรธแค้น เขาจึงได้ปลุกจิแกนโต (Giganto) สัตว์ประหลาดยักษ์ใต้ทะเลเพื่อมารุกรานโลกบนบก ก่อนที่ Fantastic Four จะเข้ามาขับไล่ Namor ออกไปได้สำเร็จ
และด้วยการที่ตัวละครอย่าง Namor กับ Human Torch ได้ข้ามเส้นมาเจอกันในครั้งนี้ ก็เลยทำให้เป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างสิ่งที่เรียกว่า ‘จักรวาล Marvel’ ให้เกิดขึ้นในคอมิกเป็นครั้งแรก ในช่วงเวลาที่ Marvel Comics เริ่มมีตัวละครมากขึ้นกว่าเดิมมาก ทั้ง ‘Fantastic Four’, ‘Doctor Strange’, ‘Incredible Hulk’ และ ‘Spider-Man’
และในช่วงระยะเวลาที่ Namor เปลี่ยนไปเป็นวายร้ายแบบเต็มตัวนี้ เขายังมีประวัติแอบคบชู้สู่สาวกับเหล่าฮีโรหญิง (ที่ล้วนแต่มีคู่แล้วทั้งนั้น) ทั้ง ซูซาน สตอร์ม (Susan Storm) คู่รักของมิสเตอร์แฟนทาสติก จากทีม Fantastic Four และ เอ็มมา ฟรอสต์ (Emma Frost) คู่รักของไซคลอปส์ แห่งทีม X-Men อีกด้วย
เคยเป็นพันธมิตรกับมหาวายร้าย ‘Doctor Doom’
อย่างที่เกริ่นไปแล้วว่า Namor นั้นเป็นแอนตี้ฮีโร ทำให้ตัวเขาเองมีพันธมิตรที่ค่อนข้างหลากหลาย แม้ว่าเขาจะพยายามบุกขึ้นมาบนบกเพื่อทำลายโลกอย่างที่ต้องการ จน Fantastic Four เองก็ต้องคอยจัดการเขาอยู่เรื่อย ๆ ในขณะเดียวกัน เขาเองก็เคยมีวายร้ายเป็นพันธมิตรด้วยเช่นกัน
ในระหว่างที่ Namor กำลังพาชาวแอตแลนติสลี้ภัยหลังจากที่เมืองถูกถล่ม Namor ได้พาชาวแอตแลนติสที่เหลืออยู่ไปอาศัยอยู่ที่เมืองลัตเวอเรีย (Latveria) ที่มหาวายร้ายอย่าง ด็อกเตอร์ดูม (Doctor Doom) อาศัยอยู่ และทั้งคู่ก็เป็นพันธมิตรกันเนื่องจากว่ามี Fantastic Four เป็นศัตรูเหมือนกัน ต่อมา ความเป็นพันธมิตรของทั้งคู่พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นทีมรวมวายร้ายในชื่อว่า คาบาล (Cabal) กลุ่มองค์กรรวมวายร้ายที่เป็นขั้วตรงข้ามของ อิลลูมินาติ (Illuminati) ที่มี Namor, Doctor Doom, เอ็มมา ฟรอสต์ (Emma Frost), โลกิ (Loki) , เดอะฮูด (The Hood) และ นอร์แมน ออสบอร์น (Norman Osborn)
Namor เป็นสมาชิกผู้ก่อตั้ง ‘The Defenders’
วายร้ายอย่าง Namor ได้ไปร่วมเป็นพันธมิตรชั่วคราวของทีมซูเปอร์ฮีโรที่มีชื่อว่า ‘The Defenders’ ซึ่งถือเป็นหนึ่งในผู้ก่อตั้งร่วมกับ ฮัลก์ (Hulk), ซิลเวอร์เซิร์ฟเฟอร์ (Silver Surfer) และ ด็อกเตอร์สเตรนจ์ (Doctor Strange) โดยปรากฏตัวครั้งแรกใน Marvel Feature #1 เพื่อปกป้องโลกจากกลุ่มปีศาจอมตะ (Undying Ones) ที่มาจากต่างมิติ
แม้ว่า Namor และ Hulk จะไม่ได้ลงรอยกันมากเท่าที่ควร แต่ด้วยการโน้มน้าวของ Doctor Strange ก็ทำให้สมาชิก ‘The Defenders’ รุ่นก่อตั้งสามารถปกป้องการทำลายล้างโลกได้ และได้ร่วมต่อสู้กับวายร้ายอีกหลายครั้ง ก่อนจะมีการสับเปลี่ยนสมาชิกทีมมาตลอดจนถึงปัจจุบัน
เป็นหนึ่งใน ‘The Phoenix Five’
ในช่วงเหตุการณ์ ‘Avengers VS. X-Men’ นั้นเป็นช่วงเวลาที่ พลังฟีนิกซ์ (Phoenix Force) พลังลึกลับที่กำเนิดขึ้นพร้อมกับจักรวาล พลังนี้ถูกควบคุมโดยคริสตัลที่มีเพียงหนึ่งเดียวในพหุจักรวาล ดูแลโดยเอเลียนเผ่าเอ็มคราน (M’Kraan) มีพลังในการเชื่อมโยงความเป็นจริงทั้งมวล ในเวลานั้น พลัง Phoenix Force ถูก Iron Man แบ่งออกเป็นส่วน ๆ ด้วยลำแสงจากอาวุธ และไปตกอยู่กับมิวแทนต์ทั้ง 5 ได้แก่ ไซคลอปส์ (Cyclops), เอ็มมา ฟรอสต์ (Emma Frost), โคลอสซัส (Colossus), เมจิก (Magik) และ Namor กลายเป็นกลุ่มที่เรียกว่า ‘The Phoenix Five’
เหล่า ‘The Phoenix Five’ ทั้งห้า ได้พาเหล่าประชากรมิวแทนต์ หรือมนุษย์กลายพันธ์ุได้ย้ายไปอยู่ ณ ยูโทเปีย (Utopia) หรือป้อมปราการที่ลอยอยู่เหนือทะเล ด้วยพลังแม่เหล็กของแม็กนีโต นอกจากนี้ แม็กนีโตเองได้ขอให้ Namor สร้างเมืองแอตแลนติสขึ้นเป็นเสมือนเสาที่ค้ำยันเพื่อไม่ให้ยูโทเปียจมลงสู่ทะเล
แต่เหล่า Avengers ก็ไม่ไว้วางใจในพลังของเหล่า The Phoenix Five มากนัก รวมทั้งการปกครองของเหล่ามิวแทนต์ที่เริ่มเอียงไปทางเผด็จการ เริ่มนำกองทัพของตัวเองเข้าสู่สงคราม พลังอันไร้ขอบเขตของพวกเขาเริ่มเป็นภัยต่อมนุษย์ ทำให้ Avengers ต้องเข้ายับยั้งเหล่า The Phoenix Five และเกิดการต่อสู้กันขึ้น ก่อนที่พลัง Phoenix Force จะกระจัดกระจายไปทุกมุมโลก ก่อกำเนิดเหล่ามิวแทนต์ขึ้นใหม่มากมาย ผลที่ตามมาก็คือ Cyclops โดนจับได้และถูกจำคุก ส่วน Namor และเหล่ามิวแทนต์คนอื่น ๆ หนีรอดไปได้
เป็นหนึ่งในสมาชิกทีม ‘Illuminati’ รุ่นบุกเบิก
ในคอมิก ‘New Avengers Vol.’ #7 Namor ได้เป็นผู้ร่วมก่อตั้งทีม อิลลูมินาติ (Illuminati) สมาคมลับของซูเปอร์ฮีโรทรงอำนาจที่ก่อตั้งขึ้นเพื่อตัดสินและแก้ปัญหาเกี่ยวกับโลก โดยในเวลานั้น Iron Man ได้เชิญตัวแทนของซูเปอร์ฮีโรมาร่วมประชุมกัน ได้แก่ Namor, Iron Man, Doctor Strange, โปรเฟสเซอร์เอ็กซ์ (Professor X), มิสเตอร์แฟนทาสติก (Mister Fantastic) และ แบล็กโบลต์ (Black Bolt) โดย Namor คือตัวแทนของโลกใต้น้ำ
ด้วยการตัดสินใจและกระทำสิ่งต่าง ๆ ของ Illuminati ที่มักจะเน้นความเด็ดขาดและรุนแรง นั่นก็เลยทำให้ Namor เป็นสมาชิกของกลุ่มที่เต็มไปด้วยประสิทธิภาพ และช่วยให้ทีมผ่านเหตุการณ์ต่าง ๆ มามากมาย
แต่ถึงกระนั้น ในหลาย ๆ ครั้ง ความคิดเห็นของเขาก็ดูจะสวนทางกับสมาชิก Illuminati คนอื่น ๆ ไปด้วยพร้อมกัน ยกตัวอย่างเช่นในอีเวนต์ World War Hulk เนื่องจากความอันตรายของ Hulk ที่มีต่อโลก สมาชิกกลุ่มจึงตัดสินใจที่จะเนรเทศ Hulk ออกนอกโลกไปไว้ที่ดาวเคราะห์ Sakaar แต่ Namor ผู้มีหัวรั้น หยิ่งยโสในความคิดตัวเอง กลับเป็นคนเดียวที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดนี้
กลุ่ม Illuminati ยังมีส่วนช่วยในการปกป้องการเกิด Incursion ด้วยการระเบิดจักรวาลที่กำลังจะชนกันทิ้งเพื่อคงไว้ซึ่งจักรวาลหลัก เหตุการณ์นี้ทำให้ Namor ที่ตัดสินใจระเบิดจักรวาลอันเป็นทางเลือกที่กลุ่มไม่อยากทำมากที่สุด ต้องโดนขับออกจากกลุ่ม ก่อนที่จะหันไปจับมือกับเหล่าวายร้ายเพื่อตั้งทีม Cabal ที่เป็นขั้วตรงข้ามกับ Illuminati ขึ้นมาแทน
เป็นอดีตสมาชิกของทั้ง ‘Avengers’ และ ‘X-Men’
Namor เป็นหนึ่งในไม่กี่คาแรกเตอร์ของ Marvel Comics ที่เคยมีส่วนร่วมกับทีมฮีโรทั้ง ‘Avengers’ และ ‘X-Men’ ในคอมิก ‘Avengers’ #3 (1963) Namor และ Hulk ได้ต่อสู้กัน แต่ด้วยพื้นเพความเกลียดมนุษย์ที่มีเหมือนกัน ทั้งคู่จึงหันมาเป็นพันธมิตรเพื่อต่อกรกับ Avengers ก่อนที่เขาจะทะเลาะกับสมาชิกทีม แล้วก็เข้า ๆ ออก ๆ ทีมนี้อยู่หลายครั้ง ครั้งหนึ่ง Namor ในฐานะ Avengers ได้เคยร่วมต่อสู้กับ บียอนเดอร์ (Beyonder) สิ่งมีชีวิตทรงพลังนอกมิติจักรวาลในอีเวนต์ ‘Secret Wars II’ ด้วย
ครั้งสุดท้ายที่เขาได้กลับเข้าร่วมทีม Avengers คือในคอมิก ‘Avengers’ #305 (1989) ก่อนที่ Namor จะออกจากทีมไปอย่างถาวร
สงครามระหว่างแอตแลนติสกับวาคานด้า
เรื่องราวของ Namor และอารยธรรมใต้น้ำอันลึกลับของแอตแลนติส ถูกเขื่อมโยงกับเมืองวาคานด้า (Wakanda) อารยธรรมทรงอำนาจที่สุดแห่งโลกบนบก และตำนานแห่งบรรพชนเกี่ยวกับเทพเจ้าเสือดำ แบล็ก แพนเธอร์ (Black Panther) ในคอมิก ‘Rise of the Black Panther’ #2 (2018) ในระหว่างอีเวนต์ ‘Avengers Vs. X-Men’
Namor ในเวลาที่แอตแลนติสกลับมาเป็นปึกแผ่นจากการช่วยเหลือของแม็กนิโต (Magneto) ได้เรียกคลื่นยักษ์ และนำทัพอสุรกายจากใต้ทะเลเข้าโจมตีวาคานด้า ทำให้ชาววาคานด้าผู้บริสุทธิ์เสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ด้วยความโกรธแค้น Black Panther จึงได้นำทัพวาคานด้าบุกลงไปยังใต้น้ำเพื่อทำสงครามกับแอตแลนติสบ้าง จุดชนวนสงครามที่ทรงอำนาจและความเป็นศัตรูคู่แค้นระหว่างอาณาจักร
แต่แล้วสุดท้ายทั้งคู่ก็ต้องหันมาจับมือกันในอีเวนต์ ‘Secret Wars’ เมื่อจักรวาลกำลังเกิด Incursion หรือการชนกันอย่างรุนแรงระหว่างมิติจักรวาล Namor ได้ก่อตั้งทีม คาบาล (Cabal) เพื่อปกป้องจักรวาลหลักเอาไว้ แต่กลายเป็นว่าทุกอย่างล่มสลาย เพื่อจัดการกับเหตุการณ์นี้ Namor จึงร่วมมือกับ Black Panther เพื่อตามหาถุงมืออินฟินิตี (Infinity Gauntlet) เพื่อจัดการกับ God Emperor Doom หรือ Doctor Doom
ความสามารถ พลังพิเศษ และข้อจำกัดของ Namor
ในทางเทคนิค พลังพิเศษของ Namor นั้นเกิดจากการที่เขาเป็นลูกผสมครึ่งมนุษย์ ครึ่งสายพันธ์ุ Homo Mermanus ที่มี X-Gene นั่นจึงทำให้เขาเป็นมิวแทนต์ที่มีพละกำลัง ความเร็ว และความแข็งแกร่งสูงกว่าชาวแอตแลนติสและมนุษย์ นอกจากจะมีสีผิวเหมือนมนุษย์ ดวงตาสีน้ำเงินปนเทา สามารถหายใจในน้ำได้นานกว่ามนุษย์ และใช้ชีวิตบนบกได้นานกว่า โดยไม่ต้องใช้เครื่องช่วยหายใจเหมือนกับชาวแอตแลนติส
จุดเด่นของ Namor ที่เห็นได้ชัดคือ มีปีกเล็ก ๆ ที่ข้อเท้าที่เกิดจากการกลายพันธุ์ ปีกนี้ทำให้ Namor สามารถเคลื่อนที่ด้วยการบิน เหาะเหินเดินอากาศบนบกได้รวดเร็วกว่าเครื่องบินทหาร นอกจากนี้ ยังมีผิวหนังที่แข็งแกร่งเหมือนเกราะ และสามารถปรับอุณหภูมิ แรงกดดันทั้งใต้น้ำและบนบกได้ ทำให้ในคอมิกเราจึงมักไม่ค่อยเห็น Namor ใส่ชุดเกราะ รวมทั้งยังสามารถรักษาแผลและอาการบาดเจ็บได้อย่างรวดเร็วเมื่ออยู่ใต้น้ำ
แม้ว่าจะไม่ทราบแน่ชัดว่า Namor มีอายุเท่าใดแน่ แต่ถ้านับจากจุดกำเนิดของเขาที่เริ่มต้นมาตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 และเคยผ่านเหตุการณ์เฉียดตายมาแล้วหลายครั้ง และยังคงไม่ตายมาจนถึงปัจจุบัน ก็ทำให้อนุมานได้ว่าเขาเองมีความแข็งแกร่งและมีอายุที่ยืนยาวกว่ามนุษย์และชาวแอตแลนติสโดยทั่วไป รวมทั้งยังมีความสามารถอื่น ๆ เช่น สามารถว่ายน้ำได้อย่างรวดเร็ว สามารถเชื่อมต่อและควบคุมกระแสจิตกับสิ่งมีชีวิตใต้น้ำ และมนุษย์ที่อยู่ใต้น้ำ ทำให้สามารถสั่งและควบคุมสัตว์ใต้ทะเลให้ทำตามคำสั่ง และใช้สำหรับการสื่อสารทางจิตกับชาวแอตแลนติสและมนุษย์
แม้ว่า Namor จะเป็นมิวแทนต์ที่มีพลังแข็งแกร่งมาก แต่เขาเองก็มีขีดจำกัดอยู่หลายจุด อาทิ การอยู่บนบก แม้ว่าเขาจะอยู่บนบกได้นานกว่าชาวแอตแลนติส แต่ถ้าอยู่บนบกนานเกินไป หรือเผชิญกับไฟ จะทำให้ผิวของเขาแห้ง และทำให้ขาดน้ำ ส่งผลทำให้ความแข็งแกร่งและพละกำลังลดลง รวมทั้งยังทำให้ขาดออกซิเจน การขาดออกซิเจนมากเกินไป ส่งผลทำให้เกิดภาวะอารมณ์แปรปรวน ซึ่งเป็นต้นเหตุหนึ่งที่ทำให้ Namor ในคอมิกมักจะมีนิสัยโมโหง่าย ฉุนเฉียว และไม่เกรงกลัวอันตราย
ที่มา: CBR, Screen Rant, Marvel, Wikipedia,
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส