ดอนนี เยน (Donnie Yen) หรือที่เรารู้จักเขาจากบทบาท ปรมาจารย์ยิปมันแอ็กชันสตาร์สายบู๊ลีลาจัดจ้านที่ทุกวันนี้ เขยังคงโลดแล่นในฐานะนักแสดงหนังฮ่องกงและฮอลลีวูดอีกคนของวงการ ที่ได้รับความนิยมและชื่นชอบจากผู้ชมคอหนังแอ็กชันทั่วโลก ขอพาทุกท่านย้อนดูชีวิตของเขาที่บู๊เดือดไม่แพ้หนังกว่าจะไต่เต้าจากเบื้องหลังสู่เบื้องหน้าที่ต้องใช้เวลายาวนานกว่า 2 ทศวรรษ
ดอนนี เยน หรือในชื่อจีน เจิ้นจื่อตัน (甄子丹) เกิดเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม ปี 1963 ที่เมืองกว่างโจว มณฑลกวางตุ้ง ประเทศจีน พ่อของเขา ไคลสเตอร์ เยน (Klyster Yen) มีอาชีพเป็นบรรณาธิการหนังสือพิมพ์และ โบว์ ซิม มาร์ก (Bow-sim Mark) แม่ของเขา เป็นปรมาจารย์สอนวิชาศิลปะการต่อสู้กำลังภายใน ทั้งไทเก๊ก และวูซู
ทั้งเยน และน้องสาว คริส เยน (Chris Yen) ได้มีโอกาสฝีกฝนวิชาวูซูจากแม่เป็นครั้งแรก ก่อนที่ทั้งครอบครัวจะย้ายไปตั้งรกรากที่ฮ่องกงเมื่อตอนอายุได้ 2 ขวบ และย้ายไปที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ สหรัฐอเมริกา เมื่อตอนที่เยนอายุได้ 11 ขวบ ที่นั่นแม่ของเขาได้ก่อตั้งสถาบันฝึกวูซูและศาสตร์การต่อสู้แบบตะวันออกคนแรก ๆ โดยมีเยน เป็นหนึ่งในลูกศิษย์
แม่ของเขาได้สอนให้เยนรู้จักกับศิลปะป้องกันตัวหลายแขนง ทั้งวูซู ไท่เก๊ก และวิชาเทควันโดชั้นสูง ภายหลังเยนได้กลับเข้าเมืองจีนอีกครั้ง เพื่อฝีกฝนวิชามวยจีนกับ อาจารย์อู๋ปิน (Wu Bin) ที่แม่ของเขาเป็นคนฝากฝังเอาไว้ ทำให้เยนได้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกันกับดาราบู๊อีกคนอย่าง หลี่เหลียนเจี๋ย หรือ เจ็ต ลี (Jet Li) ที่ในขณะนั้นเขาเป็นแชมป์เยาวชนกีฬาวูซูระดับประเทศ
หลี่เหลียนเจี๋ยเคยเปิดเผยว่า เยนในเวลานั้นสภาพร่างกายไม่ค่อยพร้อมนักอีกทั้งการยืดหยุ่นร่างกายก็ยังทำได้ไม่ค่อยดีอาจารย์อู๋ปินจึงได้ไปฝีกการยืดหยุ่นตัวกับ หวงซิวเหยียน (Huang Qiu Yan) สมาชิกของทีมวูซูและภรรยาคนแรกของหลี่เหลียนเจี๋ย
หลังจากที่ หลี่เหลียนเจี๋ย ได้แจ้งเกิดกลายเป็นนักแสดงหนังฮ่องกงแล้ว ดอนนี เยน ก็ได้เดินทางมาที่ฮ่องกงด้วยเช่นกันโดยเริ่มทำงานเป็นหนึ่งในทีมงานเบื้องหลังของผู้กำกับ และนักออกแบบคิวบู๊ชั้นครู หยวนหวู่ปิง (Yuen Woo-ping) เยนเริ่มก้าวสู่โลกภาพยนตร์ครั้งแรกด้วยการทำงานเบื้องหลังในหนัง ‘Miracle Fighters 2’ (1982) หรือ ‘ไอ้โอ่งหมัดเทวดา’
และร่วมแสดงนำครั้งแรกใน ‘Drunken Tai Chi’ (1984) ที่หยวนหวู่ปิงกำกับ และกระโดดมาเล่นหนังแนวโรแมนติกคอมมีดี้ ‘Mismatched Couples’ (1985) หรือ ‘ท่านตี๋มีระดับ’ และรับบทเป็นตัวร้าย ใน ‘Once Upon a Time in China II’ (1992) หรือ ‘หวงเฟยหง ภาค 2 ตอน ถล่มมารยุทธจักร’ ร่วมกับศิษย์พี่ หลี่เหลียนเจี๋ย เป็นครั้งแรก ทำให้ชาวฮ่องกงเริ่มจดจำลีลาการต่อสู้อันดุเดือดของเขาได้เป็นอย่างดี
แต่ผลงานที่ทำให้คนทั้งโลกเริ่มรู้จักเยนเป็นครั้งแรก คือหนังแอ็กชันเรื่อง ‘Iron Monkey’ หรือ ‘มังกรเหล็กตัน’ ที่ออกฉายในปี 1993 ในเรื่องนี้ เยนรับบทเป็น หวงฉีอิง พ่อของหวงเฟยหง ที่แม้ว่าตอนฉายในฮ่องกงจะไม่ประสบความสำเร็จมากนักแต่กลับเป็นที่นิยมชมชอบของชาวอเมริกันหลังจากที่ Miramax ได้ซื้อสิทธิ์นำไปฉายในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 2001
แต่แม้จะเป็นที่รู้จัก แต่ก็ยังไม่ถือว่าแจ้งเกิดเพราะในเวลานั้น เยนก็ยังกลับมารับงานแสดงในบทสมทบ ทั้งในหนังและทีวีซีรีส์หลายเรื่อง อาทิ ‘Fist Of Fury’ (1995) หรือ ‘เฉินเจิน มังกรผงาดฟ้า’
และเริ่มต้นการเป็นผู้กำกับหนังครั้งแรก ในหนังเรื่อง ‘Legend of the Wolf’ หรือ ‘ตำนานจ้าวหมาป่า’ ในปี 1997 ที่เขาเขียนบท กำกับคิวบู๊ กำกับภาพยนตร์เป็นโปรดิวเซอร์ และร่วมแสดงเอง พร้อมกับการเปิดบริษัทผลิตหนังเองในชื่อ ‘Bullet Films’ ตัวหนังได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ และได้รับรางวัลจากเวทีนานาชาติมากมายแต่กลับทำรายได้ไม่สวยงามและส่งให้เขามีหนี้สินมหาศาล จนต้องกู้ยืมเงินจากทีมงานในกองถ่ายและจากแหล่งเงินกู้นอกระบบ จนทำให้เขาในเวลานั้นแทบจะไม่มีเงินติดตัว
นอกจากนี้ยังเป็นปีเดียวกันที่เขาหย่ากับภรรยาคนแรกอย่าง เหลียงจิงซี ที่แต่งงานกันในปี 1993 ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกันกับที่ เจฟฟ์ เยน (Jeff Yen) ลูกชายคนแรกของทั้งคู่ได้ลืมตาดูโลก หลังจากที่หย่าขาดจากกันไปแล้ว
หลังจากยังคงไม่ประสบความสำเร็จด้านการแสดงในเบื้องหน้า เยนก็เริ่มหันเหไปทำงานเบื้องหลัง ด้วยการทำหน้าที่เป็นผู้ออกแบบคิวบู๊ ทั้งในหนังญี่ปุ่น ‘The Princess Blade’ (2001) รวมทั้งหนังฮอลลีวูด ‘Highlander: Endgame’ (2000) และ ‘Blade II’ (2002) ซึ่งการออกแบบคิวบู๊และทักษะการต่อสู้ของเขาเป็นที่ประทับใจของผู้กำกับ จึงได้เชิญให้เยนร่วมแสดงบทเล็ก ๆ ทำให้เขาพอจะเริ่มตั้งตัวขึ้นมาได้บ้าง
จนถึงปี 2002 เจ็ท ลี ที่กำลังโด่งดังในฮอลลีวูด ได้เป็นผู้แนะนำเยนให้กับ จางอี้โหมว (Zhāng Yìmóu) ที่กำลังกำกับหนังพีเรียด ‘Hero’ ทำให้เขาได้ร่วมแสดงในบท ฟ้าเวิ้ง หลังจากที่นักแสดงคนเดิมถอนตัวออกไป ทำให้ทั้งศิษย์พี่และศิษย์น้องได้มาร่วมงานกันอีกครั้งในรอบสิบปี และยังเป็นจุดเริ่มต้นงานแสดงในฮอลลีวูดในเวลาต่อมาด้วย
ในปีเดียวกัน เขาได้มีโอกาสประกบกับ เฉินหลง (Jackie Chan) และ โอเวน วิลสัน (Owen Wilson) ใน ‘Shanghai Knights’ (2003) ในปีถัดมา และยังเป็นปีที่ทำให้เขาได้พบกับภรรยาคนที่สอง ซิซิเลีย หวัง (Cecilia Wang Shi Shi) สาวสวยอดีตดีกรีนางงาม Miss Chinese Toronto ที่ทั้งคู่แต่งงานกันหลังจากคบหากันได้เพียง 3 เดือน และภายหลังมีทายาทด้วยกัน 2 คนคือ เจมส์ เยน (James Yen) และ จัสมิน เยน (Jasmine Yen)
ทั้งเยน และ ซิซิเลีย ได้ย้ายกลับไปอยู่ฮ่องกงเพื่อเริ่มต้นงานแสดงในฮ่องกงอีกครั้ง เยนได้มีโอกาสได้ร่วมงานกับ ผู้กำกับ วิลสัน ยิป (Wilson Yip) ใน ‘Kill Zone’ (2005) หรือ ‘ทีมล่าเฉียดนรก’ ที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม
ผลงานของเยนในฮ่องกง แม้ว่าจะยังเทียบชั้นกับนักแสดงแอ็กชันรุ่นพี่ไม่ได้ แต่เขาก็ยังมีผลงานหนังออกมาอีกเรื่อย ๆ จนในที่สุดจุดเปลี่ยนของเขาก็มาถึงในปี 2008 ดอนนี เยน ในวัย 45 ปี ได้ร่วมงานกับ ผู้กำกับคู่บุญ วิลสัน ยิป อีกครั้งในบทบาทยิปมัน อาจารย์บรูซ ลี ปรมาจารย์มวยหย่งชุน ใน ยิปมัน ‘Ip Man’ (2008) ซึ่งถือเป็นบทบาทที่เปลี่ยนชีวิตเขาให้กลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
จากความสำเร็จตอนเข้าฉาย ที่ทำรายได้ไปถึง 22 ล้านเหรียญ จนมีการสร้างภาคต่อออกมาอีก 4 ภาค ซึ่งภาคสุดท้ายอย่าง ‘Ip Man 4: The Finale’ (2019) สามารถทำรายได้ทั่วโลกสูงถึง 239 ล้านเหรียญ ปลุกกระแสหนังกำลังภายในให้ตื่นฟื้นในยุค 2000 และยังเป็นบทบาทสำคัญที่เปลี่ยนชีวิตให้ ดอนนี เยน กลายเป็นนักแสดงฮ่องกงแถวหน้าที่รู้จักในฮอลลีวูดอีกด้วย ทำให้เขาได้มีงานแสดงในฮอลลีวูดมากมาย ทั้งใน ‘Crouching Tiger, Hidden Dragon: Sword of Destiny’ (2016) ของ Netflix ร่วมกับ มิเชล โหย่ว (Michelle Yeoh)
รับบทเป็นนักรบตาบอด ชีรุค อิมเว ร่วมฟาดฟันจักรวรรดิในหนังสปินออฟ ‘Rogue One: A Star Wars Story’ (2016) รับบทประกบ วิน ดีเซล (Vin Diesel) ใน ‘XXX: Return of Xander Cage’ และรับบทเป็น แม่ทัพถัง ในหนังไลฟ์แอ็กชันของดิสนีย์เรื่อง ‘Mulan’ (2020) และร่วมแสดงเป็นนักสังหารตาบอด เคน ใน ‘John Wick: Chapter 4’
ดอนนี เยน ในวัย 59 ปี มีทรัพย์สินอยู่ที่ประมาณ 40 ล้านเหรียญ แม้เขาจะไม่ได้มีรายได้เท่ากับซูเปอร์สตาร์เอเชียคนอื่นแต่เขาก็กลายเป็นหนึ่งในนักแสดงเอเชียที่ยืนอยู่แถวหน้าในยุคนี้ด้วยเช่นกัน เขาเคยติด 10 อันดับแรกของลิสต์ China Celebrity 100 หรืออันดับคนดังทรงอิทธิพลของจีน ที่จัดอันดับโดยนิตยสาร Forbes ในปี 2010 และ 2011
เขายังคงมีผลงานการแสดงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งธุรกิจที่เขาเป็นเจ้าของ ทั้งบริษัทผลิตหนังที่ยังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน รวมทั้งยังทำธุรกิจแฟชัน ทั้งแบรนด์แว่นตา High-End ที่มีชื่อว่า DonniEye และแบรนด์เสื้อผ้า DY Edition อีกด้วย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส