หนังที่ GDH 559 ตั้งใจสร้างขึ้นมาเพื่อสานต่อพระปณิธานพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ที่ทรงใช้ดนตรีผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์เพื่อมอบความสุขให้กับประชาชน โดยไอเดียเริ่มต้นมาจากเก้ง จิระ มะลิกุล ที่ได้แรงบันดาลใจมาจากการไปรับรู้ข้อมูลเพลงพระราชนิพนธ์ “พรปีใหม่” ที่ในหลวงทรงพระราชทานให้เป็นของขวัญแก่ประชาชนชาวไทยในปี 2495 เลยเอาไอเดียตรงจุดที่ว่า “ดนตรีเป็นของขวัญสำหรับทุกคน” ตรงกับชื่อภาษาอังกฤษของหนังล่ะครับว่า “The Gift” หนังแบ่งเป็น 3 ตอน แต่ละตอนจะมีเพลงพระราชนิพนธ์เป็นธีมหลัก ให้ผู้กำกับแต่ละคนเลือกเพลงพระราชนิพนธ์มาคนละเพลง แล้วเขียนเรื่องราวออกมาโดยยึดเพลงพระราชนิพนธ์นั้นให้เป็นหัวใจหลักของเรื่อง โปรเจ็คท์นี้เริ่มกันมาตั้งแต่ต้นปี 2559 แล้ววางโปรแกรมไว้ว่าให้ทันฉาย 1 ธันวาคม แล้วก็ทำได้ทันจริง ๆ
หนังแบ่งเป็น 3 ตอน “ยามเย็น” “Still On My Mind” และ “พรปีใหม่”
“ยามเย็น” เป็นหนังที่ออกแนวโรแมนติกสุดใน 3 เรื่อง
ผลงานของ 2 ผู้กำกับ “ชยนพ บุญประกอบ” (Suckseed ห่วยขั้นเทพ) และ “เกรียงไกร วชิรธรรมพร” (Hormones 3) กำหนดเรื่องราวให้เกิดในสถานทูตรัสเซีย วันมอบทุนการศึกษาให้นักศึกษาเรียนดีได้ไปเรียนต่อที่รัสเซีย เรื่องราวเกิดในเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่มีการซ้อมทำพิธีมอบทุนการศึกษากันตั้งแต่ช่วงบ่าย บีม และแป้ง ถูกทีมจัดงานพิธีดึงให้มาเป็นแสตนด์อินท่านทูตและภริยาในระหว่างการซ้อม บีมเกิดถูกใจแป้งก็เลยหยอดมุกจีบ แต่เผอิญว่าแป้งดันมีคนรักอยู่แล้ว บีม จะทำยังไงดีล่ะ เป็นหนังที่คงเสน่ห์ของความเป็นหนัง GDH ไว้ได้มากที่สุดใน 3 ตอน มุกมาถี่มาก มีฉากซึ้ง ๆ ชวนอิน ถ้าใครประทับใจฉากโรแมนซ์จาก I’m Fine Thank You Love You ที่มีไฟสวย ๆ เพลงเพราะ ๆ พระนางสวยหล่อล่ะก็ ตอนนี้มีแบบนั้นเลยล่ะ และถ้าใครชื่นชอบ นาย ณภัทร เป็นทุนเดิมอยู่แล้วล่ะก็ รับรองว่าตายไปเลย ผมเป็นผู้ชายปกติก็ยังชื่นชมว่า นาย มันหล่อจริง แล้วเรื่องนี้ก็จงใจขายมาก ๆ ด้วย บีมเป็นหนุ่มหน้าหล่อแถมยังรู้จักการบริหารเสน่ห์บวกกับมาดกวนตีนน่าจะทำให้นายได้แฟนคลับมากขึ้นแน่จากบทนี้ แต่พอมาจับคู่กับ วีโอเล็ต ซึ่งเป็นสาวตัวเล็กก็เลยดูขนาดตัวห่างกันมาก วีโอเล็ต ดูมีพัฒนาการในการแสดงมากขึ้นทุกเรื่อง แม้ที่ผ่านมาเธอจะได้รับบทสมทบ แต่บท “แป้ง” ในเรื่องต้องร้องเพลงด้วย วี ก็เลยได้เลื่อนขั้นเป็นนางเอกเต็มตัวซะที แม้เรื่องนี้จะดูเป็นงานคอมมีดี้สบาย ๆ แต่ก็มีฉากยาก ๆ ให้วีได้โชว์ฝีมือเหมือนกัน วีต้องโชว์ร้องเพลง “ยามเย็น” ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม แต่เธอเพิ่งเจอเรื่องเสียใจมาก็เลยร้องเพลงไปน้ำตาก็ไหลอาบแก้มไป ถือว่าเป็นฉากยากนะ เพลง “ยามเย็น” ถูกนำมาเรียบเรียงใหม่ให้ฟังดูทันสมัยมากขึ้น ด้วยเสียงร้องประสานประกอบกับ Body Percussion ที่ใช้มือตบไปตามร่างกาย ทำให้เป็นอีกเวอร์ชั่นที่ฟังแล้วติดหูยิ้มตามไปได้ เป็นตอนเปิดที่น่ารักและได้ใจคนดูแน่ ๆ ครับ
“Still On My Mind” ตอนที่ดราม่าที่สุดในเรื่องนี้
ผลงานของ ต้น นิธิวัฒน์ ธราธร (Seasons Change เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย , คิดถึงวิทยา) ได้ มิว นิษฐา และ ซันนี่ รับบทนำ แต่บทจะหนักไปที่ มิว เสียมากกว่า เธอรับบทเป็น “ฟา” สาวที่ลาออกจากงานมาดูแลพ่อที่ป่วยเป็นอัลไซเมอร์ และแม่ก็เพิ่งตายไป พ่อก็ยังร้องเรียกหาแต่แม่อยู่เรื่อย ๆ ทำให้ ฟ้า แทบสติแตกอยู่บ่อยครั้ง แม่ฟ้าเป็นคนที่รักดนตรีมาก มีความสามารถในการเล่นเปียโน ที่บ้านจึงมีเปียโนเก่า ๆ อยู่หนึ่งตัว เมื่อ ฟา รื้อฟื้นความทรงจำด้วยการเล่น “Still On My Mind” พ่อก็จะเดินมาหาเพราะนึกว่าแม่ฟ้ากำลังเล่นเปียโนอยู่ ความทรงจำดี ๆ เกี่ยวกับแม่ฟ้าก็จะกลับมา แล้วพ่อก็จะยิ้มมีความสุข ทำให้ ฟา ตามช่างเอ้มาจูนเปียโนอีกครั้งและลงมือฝึกเพลง “Still On My Mind” อย่างจริงจัง บทหนักของตอนนี้อยู่ที่ลุงป้อม ผมพยายามเสิร์ชหาชื่อนักแสดงแล้วก็ไม่เจอ กลายเป็นตอนที่ดราม่าสุด มุกตลกน้อย ซันนี่ กลายเป็นตัวประกอบมาก ๆ กว่าจะโผล่มาก็ปาไปครึ่งเรื่องแล้ว ประเด็นที่จะเน้นขับเพลง “Still On My Mind” ก็ดูเบาบางไม่โดดเด่น ด้วยเหตุที่ว่า “Still On My Mind” เป็นเพลงพระราชนิพนธ์ที่เป็นเพลงบรรเลง จึงไม่ค่อยเป็นที่รู้จักนัก ทุกครั้งที่เพลงนี้ขึ้นมาจึงไม่สะดุดหู ประเด็นหลักของเรื่องเน้นไปที่ความรักความผูกพันของพ่อและแม่ และความรักของพ่อกับลูก บท เอ้ ของซันนี่จึงดูเป็นบทที่ยัดเยียดเข้ามาและไม่ชวนให้ลุ้นไปกับการลงเอยของ “ฟา” และ “เอ้”
“พรปีใหม่” เป็นตอนที่ถือเป็นจุดกำเนิดโปรเจ็คท์เรื่องนี้
ผลงานกำกับของ เก้ง จิระ มะลิกุล จาก “มหาลัยเมืองแร่” เหตุจากพี่เก้ง หลงใหลในดนตรีเครื่องเป่า ถึงขั้นไปเรียนเป่าทรอมโบนมา พี่เก้งรู้สึกมีความสุขกับการเล่นดนตรี ผสมกับแรงบันดาลใจจากบทเพลง “พรปีใหม่” เลยนึกอยากทำหนังเกี่ยวกับคนกลุ่มใหญ่ ๆ เล่นดนตรีด้วยกัน กลายเป็นที่มาของ “หลง” บทของ เต๋อ ฉันทวิชย์ ที่โดนจับมาเปลี่ยนลุคเป็นร็อคเกอร์ หลงเบื่อหน่ายกับวงดนตรีร็อคที่ไม่ประสบความสำเร็จสักที เลยออกจากวงแล้วมาสมัครทำงานธนาคารในตำแหน่ง “เจ้าหน้าที่วิเคราะห์การเงิน” แล้วก็บังเอิญพอดีที่ว่าเหล่าพนักงานที่นี่หลาย ๆ คนล้วนรักเสียงเพลง และแอบซ้อมดนตรีกันหลังเลิกงานเป็นประจำโดยมี คิม พนักงานสาวเป็นผู้นำแก๊ง แต่ทั้งหมดต้องหลบ ๆ ซ่อน ๆ เล่นกันเพราะ เจ๊สุพรรณนิการ์ นายใหญ่ไม่เห็นดีเห็นงามด้วยกับเรื่องนี้ หลง เห็นความรักในดนตรีของเหล่าเพื่อนร่วมงานเลยเข้าร่วมวงด้วยและกลายเป็นหัวหอกในการผลักดันให้คิม เสนอเรื่องขอเงินทุนจากบอร์ดบริหารมาสร้างห้องซ้อมดนตรี เป็นอีกตอนที่เดินหน้าไปด้วยเสียงฮา สีสันของตอนนี้คือการรวบรวมสมาชิกวงที่มากหน้าหลายตา แต่ละคนมีบุคลิกที่ดูแล้วไม่ชั้ยไม่ใช่นักดนตรีเลย ข้อมูลเบื้องหลังเล่าว่าบรรดานักแสดงที่มารับบทนักดนตรีล้วนแล้วแต่เล่นดนตรีเป็นกันจริง ๆ โดยเลือกแต่คนที่ดูเป็นพนักงานบริษัทจริง ๆ ฉากเล่นดนตรีแต่ละครั้งที่เต็มไปด้วยเครื่องสาย เครื่องเป่า และนักร้องเสียงดี ที่แต่ละคนดูจัดเต็ม บวกกับอารมณ์ร่วมจากเพื่อนร่วมงานที่มาเป็นกองเชียร์ เป็นฉากที่ดูแล้วสนุกยิ้มไปด้วยได้จริง ๆ สำหรับคนที่คิดถึงคู่ขวัญจาก กวนมึนโฮ ก็ได้เห็น เต๋อ กับ หนูนา มาร่วมงานกันอีกครั้ง แต่รอบนี้บทวางทั้งคู่ไว้ในฐานะเพื่อนร่วมงาน ไม่ได้ออกแนวโรแมนติกแต่อย่างใด
ที่ประทับใจจาก “พรจากฟ้า”
คือบทที่ดูลื่นไหลหยอดมุกได้ประปรายที่ถือเป็นเสน่ห์และเป็นเอกลักษณ์ที่คงอยู่มาตั้งแต่เป็นยี่ห้อ GTH ผมยังชอบการเชื่อมต่อแต่ละตอนโดยใช้ตัวละครเป็นจุดเชื่อมโยง ไม่ต้องมีชื่อตอนขึ้นมาบอกชัดเจนแต่ก็ดูแล้วเข้าใจว่าขึ้นตอนใหม่แล้ว การเอาตัวละครตอน 3 มาโผล่แจมในตอน 2 พอมาถึงตอน 3 ก็มีตัวละครจากตอน 1 โผล่มาแจม กลายเป็นการเชื่อมโยงเรื่องราวได้อย่างมีสีสัน
นักแสดงทุกคนมีความตั้งใจ ด้วยเหตุทีเ่ป็นหนังเกี่ยวกับบทเพลง ในบทจึงต้องมีฉากที่เล่นดนตรีกัน อย่างมิว และ ซันนี่ ก็ต้องทำเวิร์คชอปด้วยการฝึกเล่นเปียโนก่อนเข้าฉากจริง ด้านดนตรีประกอบหนังก็ใช้วง ไทยแลนด์ ฟิลฮาร์โมนิก ออเคสตร้า มาทำเพลงให้
ที่ชื่นชมอย่างมากคือเจตนาดีในการทำหนังเทิดพระเกียรติในแง่มุมที่ยังไม่เคยมีใครทำ คือเลือกเล่าผ่านบทเพลงพระราชนิพนธ์ ตลอดเวลา 2 ชั่วโมง 15 นาที ไม่มีการเอ่ยถึงในหลวงหรือมีพระบรมฉายาลักษณ์โผล่มาให้เห็นเลย แต่ดูแล้วคนดูก็ระลึกถึงพระปรีชาสามารถและพระมหากรุณาธิคุณกันได้เองผ่านสารและนัยยะที่แฝงมาภายใต้ความสนุกสนานของหนังฟีลกู๊ดสไตล์ดั้งเดิมของแกรมมี่ ซึ่งตรงนี้จำเป็นต้องเน้นยำเพราะภาพลักษณ์ของหนังเทิดพระเกียรติที่ผ่านมาหลายเรื่องมักจะ “น่าเบื่อ” และ “ยัดเยียด” สาระกันแบบอัดแน่น แล้วอาจทำให้หลายคนมองผ่านไป แต่สำหรับ “พรจากฟ้า” คือหนังขายความบันเทิงที่เต็มไปด้วยมุกที่ยิงติด ภาพสวย เพลงเพราะตามสไตล์หนังแกรมมี่เช่นเดิม แต่ดูแล้วก็จะซาบซึ้งอินไปกับเพลงพระราชนิพนธ์ทั้ง 3 เพลงนี้มากขึ้นครับ หนังเข้าฉายวันที่ 1 นี้ และเฉพาะเรื่องนี้ค่าตั๋วอยู่ที่ 99 บาท รายได้จากบัตรทุกใบหลังจากหักค่าใช้จ่ายแล้วสมทบให้มูลนิธิชัยพัฒนาฯ เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแก่ในหลวง เป็นหนังที่ดูสนุกและได้บุญครับ ชูจั๊กกะแร้เชียร์ครับ