Our score
8.6

รีวิว PICO 4 ULTRA แว่น Mixed Reality ตัวล่าสุด ที่ทำได้มากกว่าเล่น

จุดเด่น

  1. สวมใส่สบาย ไม่ต้องซื้ออะไรเพิ่ม
  2. น้ำหนักเบา
  3. See Though ดีขึ้นมาก

จุดสังเกต

  1. แอป หรือฟีเจอร์ที่รองรับเจ๋ง ๆ บางอย่างใช้ไม่ได้ในไทย
  • ความสะดวกสบาย

    9.5

  • การแสดงผล และฟีเจอร์

    8.5

  • แอป และเกมที่รองรับแบบ Standalone

    6.5

  • ความคุ้มค่าต่อราคา

    10.0

ปี 2024 ทาง PICO เปิดตัวไลน์อัปต่อยอด PICO 4 ULTRA รุ่นแกร่ง อัปเกรดจาก PICO 4 ที่เปิดตัวเมื่อปี 2022 โดยในรอบนี้ถึงแม้หน้าตาจะคล้ายเดิม แต่ปรับปรุงไปจากเดิมมากพอสมควร ทั้งด้านใน และนอก และเน้นว่าเป็น Headset แบบ Mixed Reality ที่ผสานโลกของ Virtual Reality และ Augmented Reality มากขึ้น การแสดงผลแบบ See Through ที่ดีขึ้นจากการอัปเกรดชุดกล้อง และเซนเซอร์ที่เทพขึ้น

แกะกล่อง PICO 4 ULTRA + PICO Motion Tracker

กล่องของ PICO 4 ULTRA มาแบบเรียบง่าย ไม่เล็กไม่ใหญ่ ข้างในเปิดมาจะเจอกลับตัวแว่น + Controller ใหม่เลย สิ่งแรกที่สังเกตได้เลยทันทีคือ ตัว Controller นั้นไม่มี Sensor Ring แล้ว เลยทำให้ตัว Controller ดูเล็กลงกว่าเดิม ส่วนตัวแว่นดีไซน์คล้ายเดิม แต่ถูกปรับเปลี่ยนนิดหน่อย เช่นด้านหน้ามีแถบเซนเซอร์เพิ่มขึ้น และที่เหลือจะเป็นการเปลี่ยนแปลงด้านใน

ตัว Tracker กล่องเล็กมาก ภายในมีแค่อุปกรณ์อย่างตัว Tracker และสายสำหรับคาดขา เพียงแค่ 2 ตัวก็เพียงพอต่อกันทำ Full Body Tracking แล้ว

ของใหม่ใน PICO 4 ULTRA

PICO 4 ULTRA มาพร้อมกับชิปเซ็ตใหม่ Snapdragon XR2 Gen 2 แรงขึ้น เพื่อการประมวลผลแบบ Mixed Reality ที่พร้อมขึ้น และแน่นอนว่ามาพร้อมกับเซนเซอร์กล้องแบบสี 32MP สำหรับทำ See Through ที่ภาพชัดมากขึ้น และเป็นธรรมชาติมากขึ้น มาพร้อมกับแรมมากขึ้นกว่าเดิมถึง 4GB เป็น 12GB พร้อมให้ประมวลผลอะไรอย่างอื่นเพิ่มขึ้น พร้อมชิปเซ็ตที่แรงขึ้น

ส่วนอัปเกรดอื่น ๆ คือ WiFi 7 ที่รองรับแล้ว แต่ยังต้องรออยู่ในไทย และตัวจอแสดงผลที่สว่างขึ้นกว่าเดิมประมาณ 25% ให้สีที่ตรงมากขึ้น และด้วยชิปเซ็ตใหม่ สามารถทำให้ประมวลผลภาพได้ดีขึ้นกว่าเดิมด้วย

ประสบการณ์ใช้

ส่วนตัวไม่ได้ถือใช้ PICO 4 รุ่นก่อนมาสักเท่าไหร่ แต่ PICO 4 ULTRA เป็น HMD ที่มีน้ำหนักเบา และพร้อมใช้มากกว่าคู่แข่งอย่าง Meta Quest 3 เพราะตัว Strap ที่ให้มา มีความสะดวกสบายกว่าเยอะ และทำบาลานซ์น้ำหนักได้ดีกว่ากันเยอะด้วย ทำให้น้ำหนักไม่ลงไปที่ตรงด้านหน้า และจมูกอย่างเดียว เลยยกให้ความสะดวกสบายในการใส่ เป็นจุดเด่นหนึ่งของแว่นแบบนี้ในเรตราคานี้เลย

ส่วนเรื่องประสบการณ์ใช้ในโหมด VR / MR อาจจะไม่ได้แตกต่างจากอีกค่ายมาก แต่มีเรื่องของ connectivity อย่างเครื่องมือ PICO Connect ที่ทำให้การเชื่อมต่อไม่ว่าจะเป็น Mac, Windows, Android, iOS กับตัวแว่นทำได้สะดวกสบายมาก ไม่ว่าจะเป็นการต่อเพื่อเล่นเกม PCVR หรือ cast ภาพจากแว่นไปจอนอก หรือ cast ภาพจากจอ Mac / Windows มาในแว่น ซึ่งทำได้กระทั่งคุมจอมือถือของ Android / iOS เข้ามาในแว่นด้วย อันนี้เจ๋งมาก

แต่อย่างไรก็ตาม ระบบ See Through ภาพมีความใสอย่างมาก พอที่จะอ่านเนื้อหาบนจอมือถือได้เลย โดยที่ไม่ต้องถอดแว่น หรือส่องผ่านช่องตรงจมูก แต่ก็ยังมีข้อจำกัดนิดหน่อยตรงที่ หากใช้งานในห้องปิดทึบ มีแค่หลอดไฟห้อง อาจจะได้คุณภาพภาพที่ไม่ได้ดีมากเท่ากับการใช้ในห้องที่เปิดหน้าต่างสว่างจ้า

ส่วนตัว Controller ใหม่ แอบคิดว่ามันเล็กลงไปยังไงชอบกล (แต่ลองเช็กขนาดแล้ว มันเท่า ๆ เดิม แค่ Ring มันหาย) มันเลยทำให้มีฟีลว่าจับไม่ค่อยกระชับ แล้วกลัวจะหลุดมือตลอดเวลา ต้องพยายามใช้ตัวเชือกคล้องให้กระชับ

เน้นความเป็น Mixed Reality ที่จับต้องได้ + See Through ใหม่

ในโหมด Mixed Reality ใหม่ ตัวแว่นจะสามารถใช้ในโหมด See Through ได้ตลอดเวลา พร้อมกับ Paranomic Screen ที่สามารถวางหน้าต่างแอปต่าง ๆ ได้รอบตัว มันเลยเป็นแว่นตัวนึงที่คนทำงานแนว ๆ multitasking น่าจะชอบ ด้วยการเข้ามาของ Pico Connect ด้วย

แต่เสียดายอย่างเดียว แต่ PICO Connect ไม่ค่อยมีอะไรให้ตั้งค่าในเรื่องจอที่แชร์ และไม่สามารถเพิ่มจอพิเศษ หรือปรับอัตราส่วนให้กว้างขึ้นได้ สมมติว่าถ้าเราต่อกับ MacBook อัตราส่วน 16:10 เราก็จะได้จอ 16:10 ในแว่นเหมือนกัน ซึ่งส่วนตัวว่ามันแคบ

แต่ใด ๆ คือยังดีที่เปิดแอปต่าง ๆ ของแว่นพร้อมกับใช้ตัว Connect ไปได้ด้วย เลยทำให้เราสามารถเพิ่มการทำงานที่หลากหลายเข้าไปได้อีก

Spatial

ตัวแว่นรองรับ Format การอ่านภาพแบบ Spatial ของ iPhone และ Vision Pro ด้วย กล่าวคือ ถ้าเรามีไฟล์ภาพที่ถ่ายด้วยโหมด Spatial มาเล่นบน PICO 4 Ultra เราจะสามารถใช้งานได้เลย ตัวแว่นสามารถอ่านได้ นั่นเอง ถือว่าเจ๋งดี และแน่นอนว่า ตัวแว่นเองก็สามารถถ่ายภาพ และวิดีโอแบบ Spatial เองได้ด้วย และสามารถนำมาเล่นแบบ Spatial ได้อีกที เช่นเดียวกัน

Motion Tracker รุ่นใหม่ เข้าถึงกว่าเดิม ใช้ง่ายกว่าเดิม

Motion Tracker รุ่นใหม่ เป็นอะไรที่ผมชอบมาก สำหรับสายที่เล่น VR แล้วอยากลองไปเปิดโลกของ Full Body Tracking เป็นอะไรที่ต้องจ่ายคอสต์สูงมากในเมื่อก่อน แต่เดี๋ยวนี้ ด้วยแค่เจ้า Motion Tracker ของ PICO ตัวเดียว สามารถทำได้เหมือนกันแล้ว ในราคาไม่กี่พันบาท ความเจ๋งคือ ตัว Tracker ใช้งานเพียงแค่ขา 2 ข้าง และใช้การคำนวณด้วยข้อมูลที่เทรนมาอย่างดี ว่าเอวจะขยับอย่างไร และมันสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำ เหมือนมี Tracker ที่เอวจริง ๆ

แถมตัว Motion Tracker ยังสามารถทำงานร่วมกับ PICO 4 รุ่นเก่าได้อีกด้วย งานนี้ใครถือ PICO 4 ตัวเก่าอยู่ อยากอัปเกรดมาลอง FBT ก็ทำได้เลย แถมยังทำงานกับ Steam VR ได้เลยทันทีด้วย โดยที่ไม่ต้องตั้งค่า Third Party อะไร

โดยรวม

PICO 4 Ultra เป็นการอัปเกรดที่สำคัญ ในเมื่อเทรนด์ของยุค HMD ใหม่จะเข้าไปทาง Mixed Reality มากกว่า Virtual Reality มากขึ้น การ blend โลกความจริง และโลกเสมือนเข้าด้วยกัน ก็เป็นอีกหนึ่งรูปแบบในการเสพคอนเทนต์ที่ดีกว่าแบบจอแบนแน่นอน แต่มันก็นำพามาซึ่งความยุ่งยากในเมื่อก่อน รวมถึงน้ำหนัก แต่ PICO 4 Ultra ปรับปรุงในเรื่องนี้มาให้ผู้ใช้งานสะดวกสบายกับจุดนี้ให้มากที่สุด จึงเป็นอีกหนึ่ง HMD ที่แนะนำให้คนอื่นต่อได้ไม่ยาก ทั้งความที่พร้อมกว่าในเรื่องการพร้อมใช้งานเลยหลังแกะด้วย

PICO 4 ULTRA วางจำหน่ายในประเทศไทยในราคา 19,990 บาท และ Motion Tracker ในราคา 2,990 บาท สามารถสั่งซื้อจาก Official Store หรือร้านค้าชั้นนำได้แล้ววันนี้