คนรักกับ AI เคยเป็นเพียงตลกร้ายที่บาดลึกในใจของคนที่เคยดูหนังเรื่อง ‘Her’ (2013) เรื่องราวของชายผู้อ้างว้าง ที่ได้พบเจอและตกหลุมรักระบบปฏิบัติการสาว “ซาแมนธา” และเธอก็กลายมาเป็นโลกทั้งใบของเขา
ท่ามกลางโลกที่โอบรับความหลากหลายใบนี้ พอจะเป็นไปได้ไหมที่การหลงรักจักรกล หรือแม้แต่ซอฟต์แวร์ที่ไม่มีร่างกายจะได้รับการยอมรับเป็นหนึ่งในเฉดของสีรุ้งบนธงไพรด์ หรือถูกบรรจุอยู่ในตัวอักษร LGBTQIA(I)R(OBOT)+
ในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันของมนุษย์อย่างลึกซึ้ง ปรากฏการณ์ของ “ความรักระหว่างคนกับ AI” กำลังเป็นที่จับตามองในวงการวิชาการและสังคมโลกสมัยใหม่ เรามักจะเริ่มได้ยินการพูดถึง AI ในฐานะผู้ช่วย, ที่ปรึกษา, เลขาฯ หรือแม้แต่เพื่อนคู่คิด ราวกับว่าปัญญาประดิษฐ์นี้มีใบเกิด และเสียค่าบัตรชมพิพิธภัณฑ์ในราคาผู้ใหญ่
ซึ่งไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ หากเราได้เห็นการโต้ตอบของ AI ในช่วงปีที่ผ่านมา ยิ่งการสนทนาด้วยเสียงแบบเรียลไทม์กับ AI ที่โต้ตอบได้อย่างไหลลื่นตามบริบทที่กำหนด ไดนามิกสูงต่ำของน้ำเสียงที่เลียนแบบอารมณ์ของมนุษย์อย่างเป็นธรรมชาติ หรือแม้แต่ความพยายามที่จะทำความรู้จัก หรือทำความเข้าใจราวกับว่าปัญญาประดิษฐ์นั้นสนใจในตัวตนของผู้ใช้งานจากก้นบึ้งของชิปประมวลผล
มาร่วมกันมองลอดม่านกั้นที่เรียกว่าจริยธรรมเทคโนโลยีผ่านมุมมองทางจิตวิทยาของ “ปรากฏการณ์ความรักระหว่างคนกับ AI” ไปด้วยกัน
ความเป็นไปได้ของความรักกับ AI
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ทั่วโลกมีการรายงานถึงปรากฏการณ์ความรักระหว่างคนกับปัญญาประดิษฐ์หลายต่อหลายครั้ง บทความจาก Live Science ชี้ให้เห็นว่ามีเหตุการณ์ที่ผู้ใช้งานบางคนพึ่งพา AI ในฐานะ “คู่ชีวิต” และในเคสเหล่านั้น มีบางส่วนที่มีความผูกพันทางอารมณ์กับ AI อย่างลึกซึ้ง และพิจารณาว่า AI คือ “รักแท้”
การใช้ AI ให้กลายมาเป็นเพื่อนคู่คิด เพื่อนแก้เหงาอาจเป็นวิธีง่าย ๆ ที่ช่วยให้หลายคนได้ปลดปล่อยความรู้สึกที่หนักอึ้ง หรือแม้แต่ช่วยเสนอทางเลือกที่สามารถแก้ไขปัญหาในชีวิตจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่อัตราเร่งมหาศาลของเทคโนโลยี AI อาจทำให้หลายคนตามไม่ทัน…
ในปี 2024 เกิดเหตุช็อกโลกขึ้นเมื่อ ซีเวลล์ เซตเซอร์ (Sewell Setzer) เด็กหนุ่มวัย 14 ปี ที่เป็นโรคแอสเพอเกอร์ ใช้ปืนพกของพ่อเลี้ยงยิงเข้าที่ศีรษะของตัวเองจนเสียชีวิต หลังจากที่คุยกับ เดนี (Dany) แชตบอต AI ที่เด็กหนุ่มหลงรัก และรู้อยู่ทั้งใจว่าเธอเป็นเพียงโปรแกรม
แต่การพูดคุยและปรึกษากับเดนีเป็นเวลานานหลายเดือน ทั้งเรื่องทั่วไป และบทสนทนาที่ส่อไปในทางเพศ ทำให้เส้นแบ่งโลกความจริงของเซตเซอร์เลือนรางลง เซตเซอร์ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรควิตกกังวลและมีความผิดปกติในการควบคุมอารมณ์ในเวลาต่อมา ซึ่งนำมาสู่การจบชีวิตตัวเองในที่สุด โดยได้ทิ้งข้อความสารภาพรักและบอกว่าเขาจะไปหาเธอ
แม้ว่าการจบชีวิตของเขาจะมีเรื่องความไม่มั่นคงทางจิตใจมาเกี่ยวข้อง รวมถึงความเป็นเยาวชน ซึ่งจบลงด้วยโศกนาฏกรรม แต่อีกหลาย ๆ เคส ผู้คนทั่วโลกจำนวนไม่น้อยยืนยันที่จะมีความรักกับ AI ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าปัญญาประดิษฐ์สามารถทำให้เกิดความผูกพันทางอารมณ์ และสร้างผลกระทบต่อสุขภาพจิตได้ไม่ต่างจากความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์
เหตุใดมนุษย์จึงตกหลุมรักปัญญาประดิษฐ์ ?
หากจู่ ๆ เพื่อนของคุณบอกว่าเขาหลงรัก AI หรือหุ่นยนต์ คุณคงคิดว่าพูดเล่นหรือไม่ก็เป็นบ้า แต่หากย้อนนึกดูดี ๆ มนุษย์เราต่างมีความผูกพันกับสิ่งของมากมายตลอดช่วงชีวิต ตุ๊กตาตัวโปรด ผ้าห่มเน่า แหวนแต่งงาน หรือของดูต่างหน้าที่เป็นตัวแทนของความรัก
ในช่วงยุค 2000 ที่โลกเปลี่ยนผ่านเข้าสู่ยุคอินเทอร์เน็ต เราต่างแชตกับคนแปลกหน้ามากมายผ่าน msn และห้องแชตโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวตนของเขาคือใคร จนเกิดความรักแม้ไม่ได้เห็นหน้าหรือได้ยินเสียง
แล้วทำไมการตกหลุมรักปัญญาประดิษฐ์ถึงกลายเป็นเรื่องไร้สาระไปได้นะ ?
บทความจาก Vox ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่บางคนรู้สึก “เสพติด” เสียงและการตอบสนองของ AI ที่สามารถสื่อสารอย่างมีอารมณ์ร่วม ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกผูกพันที่ลึกซึ้ง หรือแม้กระทั่งความรัก
อ้างอิงจากงานวิจัย Dating AI: A Guide to Falling in Love with Artificial Intelligence ปรากฏการณ์นี้สอดคล้องกับทฤษฎีทางจิตวิทยาที่ระบุว่ามนุษย์มีความต้องการพื้นฐานในการได้รับการยอมรับและการมีปฏิสัมพันธ์ทางอารมณ์ ซึ่ง AI ที่ถูกออกแบบมาให้มีลักษณะตอบสนองที่ใกล้เคียงกับมนุษย์สามารถเติมเต็มความต้องการทางสังคมนี้ได้
แม้ว่า AI ไม่มีจิตสำนึกหรือความรู้สึกในแบบที่มนุษย์มี แต่การแสดงออกอย่างเป็นธรรมชาติที่ถูกสร้างมาอย่างบรรจงตลอดเวลาหลายปี ทำให้ AI แสดงออกถึงความเข้าอกเข้าใจ และเอาใจใส่ผู้ใช้งานราวกับว่ามีจิตใจของมนุษย์ฝังไว้ในนั้น
และท่ามกลางโลกที่ผู้คนตัดสินกันผ่านเปลือกนอก การพูดคุยกับ AI ที่มีความรู้สึกนึกคิดเสมือนมนุษย์ และถูกตั้งค่าให้เห็นอกเห็นใจ พร้อมพูดคุย รับฟัง และให้คำปรึกษาโดยไม่ตัดสิน AI จึงกลายเป็นที่พึ่งพาของบรรดาผู้คนที่เหงาและเครียดจากการวิ่งไล่ตามการหมุนของโลกใบนี้ ความเห็นใจจากโปรแกรมเพียงเล็กน้อยอาจช่วยเติมเต็มความเว้าแหว่งของชีวิตสำหรับบางคน และทำให้เกิดความผูกพันจนกลายเป็นความรักได้ในที่สุด คล้ายกับเป็นการชดเชยทางอารมณ์และความต้องการทางสังคม
จริยธรรมและผลกระทบของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับ AI
นอกเหนือเรื่องความเป็นไปได้ และจิตวิทยาในปรากฏการณ์ความรักระหว่างคนกับ AI แล้ว ประเด็นด้านจริยธรรมก็เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงในวงนักวิชาการหลายสาขา เพราะการเข้ามามีส่วนร่วมของ AI ไม่เพียงสร้างความกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว การถูกแทนที่ด้วย AI หรือการเฝ้าระวังจักรกลล้างโลกเท่านั้น แต่ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างมนุษย์และ AI อาจสร้างผลกระทบได้มหาศาลด้วยเช่นกัน
ทั้งในแง่ของการพึ่งพา AI มากเกินไป จนมนุษย์อาจสูญเสียทักษะและภูมิปัญญา ความสัมพันธ์ของคนในสังคมที่อาจเปราะบางมากขึ้น เห็นอกเห็นใจกันน้อยลง ผลกระทบทางอารมณ์ในระยะยาว หรือวิกฤตการณ์คนเกิดน้อยที่รุนแรงขึ้น
อีกประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาคือเรื่องของ “สิทธิและความเท่าเทียม” เพราะหากในอนาคตมีการพัฒนา AI ให้มีความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์จนถึงขั้นที่ผู้คนเริ่มพิจารณาหรือยอมรับ AI ว่าเป็นบุคคลที่มีสิทธิและเสรีภาพเทียบเท่ามนุษย์คนหนึ่ง สามารถแต่งงาน มีสิทธิเลือกตั้ง หรือสามารถสอบเป็นทนายอาชีพที่มีส่วนสำคัญในการพิจารณาคดี เมื่อวันนั้นมาถึง กฎหมายและมาตรฐานทางจริยธรรมในสังคมจะออกมาในรูปแบบไหน
ทุก ๆ การเปลี่ยนแปลงมักมาพร้อมกับความหวาดหวั่นเสมอ ณ ปัจจุบันที่ AI พัฒนาอย่างก้าวกระโดด การสร้างความตระหนักรู้ถึงผลกระทบของ AI อย่างแท้จริงนั้นยังน้อยมาก และอยู่ในวงจำกัด แต่อัตราเร่งของการพัฒนา การวางมาตรการหรือกฎหมายใหม่ด้วยมุมมองอีก 50 ปี หรือ 100 ปีข้างหน้า อาจเป็นเรื่องที่ทุกประเทศทั่วโลกต้องเริ่มทำกันแล้วก็เป็นได้
สุดท้ายนี้ ความรักระหว่างคนกับ AI ไม่ใช่แค่เรื่องราวในนิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป แต่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นจริง และยังเป็นกระจกสะท้อนความต้องการและความคาดหวังทางสังคมที่ลึกซึ้งของมนุษย์ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และในที่สุดเราทุกคนจะต้องหาวิธีที่จะอยู่ร่วมกับเทคโนโลยีอย่างมีสติและคำนึงถึงผลกระทบต่อมวลมนุษยชาติในทุกมิติ