หลังจากที่ ลิปบู ทัน (Lip-Bu Tan) ชายชาวอเมริกันเชื้อสายจีน-มาเลเซีย ได้รับตำแหน่ง CEO คนใหม่ของ Intel ซึ่งเป็นบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำระดับโลกที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุปกรณ์คอมพิวเตอร์และชิปต่าง ๆ ยิ่งทำให้เห็นชัดเจนว่าทวีปเอเชียของเรามีผู้นำด้านเทคโนโลยีที่โด่งดังมากมาย และมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนการพัฒนาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้คนใช้กันอย่างแพร่หลายทั่วโลก ไม่ว่าจะในชีวิตประจำวันหรือการทำธุรกิจ

ด้วยโอกาสนี้ เรามาทำความรู้จักกับผู้นำสายเทคโนโลยีชาวเอเชีย ผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนนวัตกรรมและเปลี่ยนแปลงโลกเทคโนโลยีในระดับสากลกันดีกว่า

เริ่มกันที่ CEO คนใหม่ล่าสุดของ Intel เลยละกัน กับคุณลิปบู ทัน (Lip-Bu Tan)
ลิปบู ทัน (Lip-Bu Tan)

ลิปบู ทัน เกิดที่มาเลเซีย แต่เติบโตในสิงคโปร์ จบการศึกษาด้านฟิสิกส์จาก Nanyang Technological University จากนั้นได้ทุนไปศึกษาต่อปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา สาขาวิศวกรรมนิวเคลียร์ที่ MIT

ชีวิตหลังวัยเรียนของเขานั้นเรียกได้ว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลังธุรกิจสตาร์ตอัปสำคัญ ๆ ระดับโลกมาแล้วมากมาย ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Walden International ซึ่งเป็น Venture Capital ที่นำเงินไปลงทุนในบริษัทสตาร์ตอัปต่าง ๆ นอกจากนี้ เขายังเป็นหนึ่งในบุคคลที่อยู่ในวงการชิปเซตและเซมิคอนดักเตอร์มาโดยตลอด

บทบาทของเขาใน Intel นั้น เริ่มต้นขึ้นเมื่อปี 2022 เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของ Intel เพื่อทำหน้าที่พลิกฟื้นสถานการณ์วิกฤติในช่วงที่ผ่านมา แต่เขาก็ตัดสินใจลาออกจากบอร์ดบริหารของ Intel เมื่อเดือนสิงหาคมปีที่แล้ว เพราะความเห็นไม่ตรงกับ CEO ของ Intel คนก่อนหน้า แต่ในครั้งนี้หลังจากที่ CEO คนเก่าโดนบีบให้ออกไป เพราะไม่สามารถฟื้นฟู Intel กลับมาตามแผนที่วางไว้ได้ ก็ถึงเวลาของ ลิปบู ทัน แล้วว่าจะจัดการกับความท้าทายนี้อย่างไร

ต่อกันที่ หนึ่งในบุคคลสำคัญของวงการเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai) CEO ของ Google และ Alphabet Inc.
ซันดาร์ พิชัย (Sundar Pichai)

ซันดาร์ พิชัย เป็นชาวอินเดียโดยกำเนิด เขาเรียนจบปริญญาตรีด้านวิศวกรรมโลหการ จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย หลังจากนั้นได้รับทุนไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา ในระดับปริญญาโทสาขาวิศวกรรมวัสดุ และต่อด้วยการศึกษาปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจ (MBA) จาก Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย

เขาเริ่มต้นเส้นทางใน Google เมื่อปี 2004 ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายการจัดการผลิตภัณฑ์ เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ที่กลายเป็นหัวใจของ Google ไม่ว่าจะเป็น Google Chrome, Chrome OS, Google Drive, Gmail และ Google Maps

ด้วยผลงานที่โดดเด่นและศักยภาพที่พิสูจน์ตัวเองได้ตลอดหลายปี ในเดือนสิงหาคม 2015 เขาจึงได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ Google และต่อมาในเดือนธันวาคม 2019 เขาก็ขยับขึ้นมารับตำแหน่ง CEO ของ Alphabet Inc. ซึ่งเป็นบริษัทแม่ของ Google อีกด้วย

ชานทานู นาราเยน (Shantanu Narayen) CEO ของบริษัท Adobe Inc. เจ้าของโปรแกรมดังอย่าง Photoshop และ Acrobat ที่คนทั่วโลกใช้งานกัน
ชานทานู นาราเยน (Shantanu Narayen)

นาราเยน เกิดที่ประเทศอินเดีย เส้นทางการศึกษาของเขาเริ่มต้นจากปริญญาตรีด้านวิศวกรรมอิเล็กทรอนิกส์ที่มหาวิทยาลัยออสมาเนียในอินเดีย จากนั้นบินลัดฟ้าไปเรียนต่อปริญญาโทด้านวิทยาการคอมพิวเตอร์ที่มหาวิทยาลัยโบว์ลิงกรีนสเตต รัฐโอไฮโอ และปิดท้ายด้วยปริญญาโท MBA จากมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เบิร์กลีย์

ก่อนจะก้าวเข้ามาเป็นหัวเรือใหญ่ของ Adobe เขาเคยผ่านงานในบริษัทชั้นนำอย่าง Apple Inc. และ Silicon Graphics และยังเคยเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง Pictra Inc. บริษัทที่บุกเบิกแนวคิดการแบ่งปันภาพถ่ายดิจิทัลผ่านอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ๆ ด้วย

เขาเข้าร่วมกับ Adobe เมื่อปี 1998 ในตำแหน่งรองประธานอาวุโสฝ่ายวิจัยผลิตภัณฑ์ระหว่างประเทศ และด้วยความสามารถที่โดดเด่น ทำให้เขาก้าวขึ้นเป็น CEO ของ Adobe ในปี 2007

เขาได้พลิกโฉม Adobe ครั้งใหญ่ ด้วยการผลักดันให้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ อย่าง Photoshop, Premiere Pro, Acrobat และ PDF เปลี่ยนจากการใช้งานบนเดสก์ท็อปไปสู่ระบบ Cloud ทำให้ผู้ใช้เข้าถึงบริการได้ง่ายขึ้นจากทุกที่ทั่วโลก นอกจากนี้ยังขยายตลาดด้วยการเข้าซื้อกิจการบริษัท Omniture ในปี 2009 เพื่อบุกตลาดเทคโนโลยีดิจิทัลแบบเต็มตัว

เจนเซน หวง (Jensen Huang) ผู้ก่อตั้ง และ CEO ของ NVIDIA Corporation หนึ่งในบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำของโลกที่เป็นผู้นำในด้านการผลิตกราฟิกการ์ด (GPU) และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)
เจนเซน หวง (Jensen Huang)

เจนเซน หวง เกิดที่เมืองไทเป ประเทศไต้หวัน ก่อนที่ครอบครัวของเขาจะย้ายไปสหรัฐอเมริกาเมื่อเขายังเด็ก เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยออริกอนสเตต และต่อด้วยปริญญาโทด้านวิศวกรรมไฟฟ้า จากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด

ในปี 1993 เมื่อเขาอายุได้ 30 ปี เขาได้ร่วมกับ เคอร์ติส พรีม (Curtis Priem) และคริส มาลาโชวสกี้ (Chris Malachowsky) ร่วมกันก่อตั้ง NVIDIA โดยจุดเริ่มต้นคือการพัฒนาและผลิต กราฟิกการ์ด ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเกมและกราฟิกคอมพิวเตอร์

การมองการณ์ไกลของเขาทำให้ NVIDIA กลายเป็นผู้นำในอุตสาหกรรม GPU โดยไม่เพียงแค่เน้นการใช้งานในเกม แต่ยังขยายการใช้งานไปสู่การคำนวณที่มีประสิทธิภาพสูง (High-Performance Computing) และปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงสำคัญที่ทำให้ NVIDIA กลายเป็นหัวหอกในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อีกด้วย

ตามมาติด ๆ กับค่ายคู่แข่งอย่าง AMD นั่นก็คือ ลิซา ซู (Lisa Su) CEO หญิงชาวเอเชียของ AMD (Advanced Micro Devices) ผู้ที่ได้รับการยอมรับในวงการเทคโนโลยีจากการนำพา AMD กลับมาสู่ความสำเร็จอีกครั้ง
ลิซา ซู (Lisa Su)

ลิซา ซู เกิดที่ประเทศไต้หวัน ก่อนที่จะย้ายไปสหรัฐอเมริกาตั้งแต่อายุยังน้อย เธอเติบโตในนิวยอร์ก และได้ศึกษาที่สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT : Massachusetts Institute of Technology) โดยได้ปริญญาตรีในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้าและปริญญาโทในสาขาเดียวกันจาก MIT

ก่อนที่จะเข้าร่วมกับ AMD เธอเคยทำงานที่ IBM มาก่อนโดยที่เธอได้ทำงานในแผนกวิจัยและพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ ซึ่งช่วยให้เธอได้สั่งสมประสบการณ์ด้านเทคโนโลยีที่หลากหลาย ก่อนจะย้ายมาร่วมงานกับ AMD ในปี 2012 ในตำแหน่งรองประธานฝ่ายวิจัยและพัฒนา

ในปี 2014 เธอได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ AMD เธอเข้ามานำบริษัทในช่วงที่ AMD กำลังเผชิญกับความท้าทายทางการเงินและการแข่งขันที่รุนแรงจาก Intel และ NVIDIA โดยที่ AMD ต้องการการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เพื่อกลับมาประสบความสำเร็จ

ภายใต้การนำทัพของเธอ AMD ได้ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และเปิดตัว ชิป Ryzen ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ซึ่งสามารถแข่งขันกับ Intel ได้อย่างสูสี และยังมี ชิปกราฟิก ที่ได้รับความนิยมในตลาดอีกด้วย การเปิดตัวของ Ryzen ทำให้ AMD สามารถดึงลูกค้ากลับมาได้ และฟื้นฟูสถานะทางการเงินของบริษัทให้กลับมาแข็งแกร่งอีกครั้งได้สำเร็จ


ปิดท้ายด้วย สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella) CEO ของ Microsoft ผู้นำที่ได้รับการยอมรับในฐานะผู้พลิกฟื้นบริษัทให้กลับมาประสบความสำเร็จอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีและตลาดมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
สัตยา นาเดลลา (Satya Nadella)

สัตยา นาเดลลา เกิดที่ประเทศอินเดีย เขาจบการศึกษาระดับปริญญาตรีด้านวิศวกรรมไฟฟ้าจากสถาบันเทคโนโลยีมณีปาล ในอินเดีย จากนั้นเขาได้ไปศึกษาต่อที่สหรัฐอเมริกาและได้รับปริญญาโทในสาขาวิศวกรรมศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน-มิลวอกี และต่อด้วย MBA จาก University of Chicago Booth School of Business

เขาเข้าร่วมงานกับ Microsoft ในปี 1992 และเริ่มต้นในตำแหน่งวิศวกรซอฟต์แวร์ เขามีบทบาทสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีของบริษัทในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะในส่วนของ Cloud computing และ Enterprise software และเป็นหนึ่งในผู้ขับเคลื่อนสำคัญที่ทำให้ Microsoft กลายเป็นผู้นำในตลาดคลาวด์ โดยเฉพาะจากการพัฒนา Microsoft Azure

ในปี 2014 เขาก็ได้รับการแต่งตั้งเป็น CEO ของ Microsoft หลังจาก สตีฟ บอลเมอร์ (Steve Ballmer) ผู้บริหารคนก่อนประกาศเกษียณ และเป็น CEO คนที่ 3 ในประวัติศาสตร์ของ Microsoft ต่อจากบิล เกตส์ (Bill Gates) และสตีฟ บอลเมอร์ เขาเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่ Microsoft กำลังประสบปัญหาท้าทายในหลาย ๆ ด้าน เช่น การเสียส่วนแบ่งตลาดในธุรกิจ PC และความผิดพลาดในตลาดโทรศัพท์มือถือ

ภายใต้การนำทัพของเขา Microsoft ได้เปลี่ยนแปลงกลยุทธ์ของบริษัทอย่างสิ้นเชิง เขาเน้นการทำงานร่วมกับ Open-source software และมุ่งไปที่การพัฒนา Cloud services เช่น Azure และการรวมการทำงานของผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ของบริษัท เช่น Office 365 และ Windows เขายังผลักดันให้ Microsoft ลงทุนใน AI ซึ่งทำให้บริษัทกลับมาเติบโตและประสบความสำเร็จอย่างมาก และในปี 2021 Microsoft กลายเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีมูลค่าตลาดสูงสุดในโลก นอกจากนี้ เขายังได้รับการยอมรับจากหลายสื่อและองค์กรในฐานะผู้นำที่สามารถพลิกฟื้นบริษัทจากยุคเก่ามาสู่ยุคใหม่ได้สำเร็จ

นอกจากพวกเขาเหล่านี้แล้วยังมี CEO คนเอเชีย ของบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำอีกหลายคนที่มีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น

  • มาร์ค หลิว (Mark Liu) CEO ของ TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่ตั้งอยู่ในไต้หวัน
  • ดารา คอสราวชาฮี (Dara Khosrowshahi) CEO ของ Uber
  • เหลย จุน (Lei Jun) CEO ของ Xiaomi
  • หยวนชิง หยาง (Yuanqing Yang) CEO ของ Lenovo
  • จาง อี้หมิง (Zhang Yiming) CEO ของ ByteDance ซึ่งเป็นบริษัทเจ้าของแอปพลิเคชันชื่อดัง TikTok

การที่เอเชียมีผู้นำที่โดดเด่นในด้านเทคโนโลยีเช่นนี้ นับเป็นการยืนยันถึงความสามารถและศักยภาพของทวีปเราในการนำพาโลกไปสู่อนาคตที่เต็มไปด้วยนวัตกรรมและการเปลี่ยนแปลง ซึ่งไม่เพียงแต่สร้างผลกระทบต่อธุรกิจ แต่ยังมีอิทธิพลต่อชีวิตประจำวันของเราทุกคนอีกด้วย