ถึงแม้ว่าบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีอย่าง Apple ดูจะได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากจากการชะลอตัวทางด้านเศรษฐกิจของจีนในช่วงนี้ แต่ไม่ใช่เพียงแค่ Apple เท่านั้น บริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกอีกหลายบริษัทก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน

แม้ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาเศรษฐกิจของจีนจะมีการเติบโตเฉลี่ย 9.5% แต่ภาพรวมของเศรษฐกิจก็เริ่มชะลอตัวลง และในปี 2019 ก็มีแนวโน้มที่จะเติบโตเพียงแค่ 6.3% เท่านั้น เนื่องจากจีนเป็นตลาดขนาดใหญ่ การชะลอตัวทางเศรษฐกิจเช่นนี้จึงอาจส่งผลกระทบต่อตลาดโลกได้ และเนื่องจากผลกระทบต่าง ๆ ทำให้ Tim Cook CEO ของ Apple กล่าวว่าเมื่อไตรมาสที่ 4 ของปี 2018 บริษัทไม่สามารถทำกำไรได้ตามเป้าหมาย ยอดขายในตลาดจีนลดลง การประกาศข่าวนี้ส่งผลให้หุ้นของบริษัทลดลง 8%

ส่วนทางด้านรถยนต์ จีนเป็นฐานการผลิตสำคัญสำหรับผู้ผลิตรถยนต์ทั่วโลก MarketLine รายงานว่า ในปี 2017 ตลาดรถยนต์ของจีนมีการขยายตัว 2.5% เพื่อให้ได้มูลค่า 408.6 พันล้านดอลลาร์ การเติบโตที่รวดเร็วเช่นนี้บ่งบอกถึงกำลังซื้อของชนชั้นกลางที่เต็มใจจะจ่ายให้รถยนต์นั้นมีมากขึ้น อย่างไรก็ตามบริษัทรถยนต์จากตะวันตกอย่างเช่น โฟล์คสวาเก้นและฟอร์ด ได้รายงานถึงยอดขายที่ลดลงในจีน เนื่องจากประชาชนในประเทศจีนหันมาใช้รถยนต์ที่ผลิตจากแบรนด์ภายในประเทศที่มีราคาถูกกว่า และการสูญเสียแรงผลักดันทางเศรษฐกิจ

แม้แต่กาแฟแบรนด์ดังอย่าง Starbucks ที่มีแนวโน้วจะตีตลาดจีนที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอเมริกาก็ต้องหยุดชะงักเนื่องจากเจอคู่แข่งจากแบรนด์ท้องถิ่นที่มีราคาถูกกว่า จึงสามารถดึงดูดลูกค้าได้มากกว่าทาง Starbucks

จากการเปิดเผยข้อมูลจาก Apple ในปัจจุบันแบรนด์ระดับโลกยังคงพึ่งพาตลาดจีน จึงส่งผลให้ต้องคอยจับตาดูความเปลี่ยนแปลงของตลาดอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผลิตภัณฑ์และแบรนด์ระดับสูงดูจะได้รับผลกระทบมากที่สุด ส่วนแบรนด์ค้าปลีกจำนวนมาก ดูเหมือนจะได้รับผลกระทบเล็กน้อยจากลูกค้าชาวจีน ตัวอย่างเช่น Adidas มียอดขาย 18% จากยอดขายทั้งหมดในจีน ในขณะที่แบรนด์เครื่องประดับอย่าง Tiffany และ Nike มียอดขาย 16% และ 15% ตามลำดับ

แม้ว่าสินค้าปลีกยังคงเติบโตได้ แต่การเติบโตที่ช้าลงเป็นเวลาหลายปีของตลาดจีน และข้อพิพาททางการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนในปัจจุบัน คงจะสร้างแรงกดดันต่อแบรนด์ต่าง ๆ ที่กำลังได้รับผลกระทบจากตลาดของจีนเพิ่มขึ้นไม่น้อยเลยทีเดียว

อ้างอิง