VMware ผู้นำด้านระบบเวอร์ช่วลไลเซชั่นและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ประกาศความมุ่งมั่นในการช่วยให้องค์กรธุรกิจในประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Software-defined enterprise ด้วยการใช้ซอฟต์แวร์จัดการการทำงานภายในองค์กร พร้อมเปิดตัวโซลูชั่นใหม่สำหรับการใช้งานด้านไอทีในยุคโมบายคลาวด์ ประกอบไปด้วย ระบบการจัดการคลาวด์ใหม่ล่าสุด และโซลูชั่นต่างๆ สำหรับพนักงานในองค์กร (End-user computing solutions)
วีเอ็มแวร์ ที่เผยว่าภาพรวมขององค์กรธุรกิจไทยกว่า 30% มีการเวอร์ช่วลไลซ์ภายในองค์กรไปแล้วถึง 30-60% และอีก 35% คาดว่าจะเวอร์ช่วลไลซ์องค์กรถึง 60-90% ภายในเวลา 2 ปี โดยองค์กรธุรกิจกว่า 897 องค์กร ประกอบไปด้วยผู้จัดการด้านไอทีและผู้บริหาร ได้ร่วมให้ความเห็นผ่านการวิจัยสำรวจความคิดเห็นในประเด็นความสำคัญด้านไอทีสำหรับองค์กรธุรกิจในปี 2558 รวมถึงบทบาทของเวอร์ช่วลไลเซชั่นและการใช้ซอฟต์แวร์จัดการดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทย
วีเอ็มแวร์ เชื่อว่าการเพิ่มการรับรู้และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีดังกล่าวในประเทศไทยจะมีส่วนช่วยให้ประเทศสามารถจัดการค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่ามากยิ่งขึ้น โดยไอดีซีร่วมกับวีเอ็มแวร์ เผย “ดรรชนีทางเศรษฐกิจของดาต้าเซ็นเตอร์ (Data Center Economies Index – DEI)” ซึ่งคาดว่าองค์กรธุรกิจในประเทศไทยจะสามารถลดค่าใช้จ่ายได้ถึง 1390 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 45,454 ล้านบาท) ระหว่างปีพ.ศ. 2546-2563 จากการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นบนเครื่องประมวลผล สตอเรจ และเน็ตเวิร์ก ฮาร์ดแวร์ และใช้ประโยชน์จากการใช้ซอฟต์แวร์ในการจัดการด้านไอที จากรายงาน ยังระบุด้วยว่าค่าใช้จ่ายที่ลดลงมาจากการประหยัดค่าใช้จ่ายในสี่ส่วนสำคัญคือ
- ค่าใช้จ่ายด้านฮาร์ดแวร์ (640 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 21,000 ล้านบาท)
- ค่าใช้จ่ายสำหรับพื้นที่ใช้สอยและการบำรุงรักษา (14 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 454 ล้านบาท)
- ค่าใช้จ่ายด้านการบริหารจัดการ (455 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 15,000 ล้านบาท)
- และค่าใช้จ่ายบนระบบพาวเวอร์และคูลลิ่ง (284 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ประมาณ 9,000 ล้านบาท)
ดร. ชวพล จริยาวิโรจน์ ผู้จัดการประจำประเทศไทยและอินโดจีน วีเอ็มแวร์ กล่าวถึงผลสำรวจดังกล่าวว่า “การเดินหน้าผนวกการใช้เวอร์ช่วลไลเซชั่นในองค์กรธุรกิจไทยเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องและจะส่งผลประโยชน์ต่อธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะประเทศไทยเป็นตลาดสำคัญที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคนี้ ค่าใช้จ่ายที่สามารถประหยัดได้จากการใช้งานเทคโนโลยีที่ถูกต้องจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและช่วยให้องค์กรสามารถใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ในการเพิ่มความแข็งแกร่งและพัฒนาทักษะด้านอื่นๆ ที่ขาดหายไปในองค์กร”
“โมเดลไอทีแบบเก่าไม่เพียงพอสำหรับการใช้งานไอทีในยุค ซอฟต์แวร์ ดีฟาย (software defined era) ในปัจจุบันที่ทุกอย่างถูกจัดการด้วยซอฟต์แวร์ เพราะองค์กรธุรกิจแบบเดิมๆ ถูกท้าทาย และไอทีจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อความต้องการธุรกิจให้ทันท่วงที ในประเทศไทยเรากำลังอยู่ในยุคถัดไปของเทคโนโลยีที่ไอทีต้องปรับตัวให้ทันกับความรวดเร็วของธุรกิจโดยใช้ซอฟต์แวร์ในจัดการ (software defined enterprise) เพื่อช่วยสร้างผลลัพธ์ที่ดีให้กับองค์กร จากความมุ่งมั่นในการช่วยองค์กรธุรกิจไทยในการประหยัดค่าใช้จ่ายตามผลสำรวจ วีเอ็มแวร์ เดินหน้าอย่างต่อเนื่องในการลงทุนวิจัยเพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชั่นต่างๆ ที่จะช่วยตอบสนองการใช้งานภายในองค์กรธุรกิจได้อย่างเหมาะสม” ดร. ชวพล กล่าวเสริม
องค์กรธุรกิจเผย ความต่อเนื่องทางธุรกิจ ค่าใช้จ่าย และความปลอดภัย คือสามประเด็นหลักที่องค์กรธุรกิจให้ความสำคัญในปี 2558
องค์กรธุรกิจไทยเผยความสำคัญด้านไอทีสามลำดับแรกที่จะให้ความสำคัญในปีหน้า ได้แก่ ความต่อเนื่องทางธุรกิจ 33% ลดค่าใช้ภายในจ่ายองค์กร 27% และความปลอดภัยด้านไอทีและการปกป้องข้อมูล 25%
การให้ความสำคัญกับการเปลี่ยนมาใช้งานเวอร์ช่วลไลเซชั่นและใช้ซอฟต์แวร์จัดการดาต้าเซ็นเตอร์ (Software-Defined Data Centers) คาดว่าส่งผลมาจากประโยชน์ที่จะได้รับจากการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่น ภายใต้สภาพแวดล้อมทางการเมืองในประเทศไทยที่มีความไม่แน่นอนในปัจจุบัน องค์กรที่จะประสบความสำเร็จ คือ องค์กรที่สามารถจัดหาการบริการรูปแบบใหม่ๆ ได้อย่างรวดเร็ว ปลอดภัย ใช้งานได้อย่างต่อเนื่อง รวมถึงสามารถขยายขนาดตามการเติบโตของธุรกิจ ภายใต้การใช้งบประมาณอย่างมีประสิทธิภาพ
องค์กรธุรกิจไทยมองว่าการใช้ซอฟต์แวร์จัดการดาต้าเซ็นเตอร์(Software-Defined Data Centers) จะช่วยให้องค์กรใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการ
เหตุผลสำคัญที่องค์กรธุรกิจจะหันมาให้ใช้ซอฟต์แวร์จัดการดาต้าเซ็นเตอร์(Software-Defined Data Centers) เพราะช่วยให้สามารถใช้ทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่า (38%) และพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการ (32%)
องค์กรธุรกิจมีความคาดหวังด้านไอทีที่เปลี่ยนแปลงไป จากแต่ก่อนที่ให้ความสำคัญในแง่ประสิทธิภาพและประสิทธิผลของการใช้งาน แต่ปัจจุบันไอทีต้องช่วยเป็นตัวเร่งในการผลักดันให้เกิดผลลัพธ์ทางธุรกิจที่ดีได้ โดยประสิทธิภาพจากการทำเวอร์ช่วลไลเซชั่นจะช่วยลดความจำเป็นขององค์กรในการซื้อสตอเรจ นอกจากนี้จากการที่ประเทศไทยกำลังวางแผนสู่การเป็นฮับของอาเซียน รวมถึงการใช้จ่ายของภาคอุตสาหกรรมการเงินและการผลิตที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น องค์กรธุรกิจในประเทศไทยจึงหันมาให้ความสำคัญกับการใช้งานทรัพยากรไอทีให้คุ้มค่า การพัฒนาประสิทธิภาพในการดำเนินการ รวมถึงการลดค่าใช้จ่ายด้านไอที ซึ่งนอกจากเวอร์ช่วลไลเซชั่นจะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายฮาร์ดแวร์แล้ว ยังช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระบบพาวเวอร์และคูลลิ่ง พื้นที่การใช้สอยดาต้าเซ็นเตอร์ และการบริหารจัดการสตอเรจ จากการใช้งานสตอเรจที่ลดลง
ค่าใช้จ่ายและวัฒนธรรมองค์กร คืออุปสรรคสำคัญต่อการใช้งาน
ค่าใช้จ่าย (46%) และวัฒนธรรมองค์กร (24%) คืออุปสรรคสำคัญต่อการใช้งาน ซอฟต์แวร์ ดีฟาย ดาต้าเซ็นเตอร์ (Software-Defined Data Centers)
จากผลสำรวจดรรชนีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของไอดีซี (IDC Asia/Pacific Transformative Infrastructure Index) ชี้ให้เห็นว่าองค์กรธุรกิจสนใจที่จะใช้งานเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น มากกว่าการให้ความสำคัญกับการดำเนินการโครงการไอทีในปัจจุบัน แต่ปัญหาท้าทายองค์กรที่ต้องการใช้งานเทคโนโลยีใหม่ คือประเด็นด้านทัศนคติ ซึ่งเกิดจากงบประมาณที่ไม่เพียงพอ โดยองค์กรจะสามารถจัดสรรทุนได้เพิ่มมากขึ้นหากมีตัววัดที่สามารถวัดได้ว่าโครงการด้านไอที ส่งผลดีต่อธุรกิจได้
เมื่อไม่นานมานี้ วีเอ็มแวร์ประกาศเปิดตัวโซลูชั่นใหม่สำหรับพนักงานในองค์กร (End-user computing) รวมถึงโซลูชั่นในการจัดการไฮบริด คลาวด์ ประกอบไปด้วย VMware Horizon® FLEX™, VMware vRealize™ Suite 6, VMware vRealize Code Stream™ และ VMware vRealize Air™ Compliance เพื่อสนับสนุนวิสัยทัศน์องค์กรธุรกิจในการปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานและค่าใช้จ่าย
โดยภายในงาน วีเอ็มแวร์ โซลูชั่น ซิมโพเซียม (VMware Solutions Symposium) หรือการประชุมสัมมนาครั้งใหญ่สุดในรอบปีของวีเอ็มแวร์ในประเทศไทยเพื่อโชว์เคสเทคโนโลยีและโซลูชั่นล่าสุดในปีนี้ อันประกอบไปด้วย
ซอฟต์แวร์ ดีฟาย ดาต้าเซ็นเตอร์ (Software Defined Data Center): เป็นยุทธศาสตร์และภาพแห่งอนาคตขององค์กรธุรกิจไทยในการก้าวสู่เป็น “ซอฟต์แวร์ ดีฟาย เอ็นเตอร์ไพรซ์” แพลตฟอร์มดังกล่าวคือโครงสร้างพื้นฐานในอุดมคติที่ทรัพยากร ทุกอย่างถูกเวอร์ช่วลไลซ์ ทำให้ใช้งานได้ผ่านคลาวด์ส่วนตัว คลาวด์สาธารณะ หรือไฮบริดคลาวด์ โดยใช้งานได้อย่างสะดวกสบาย มีประสิทธิภาพ คล่องตัว ควบคุมได้ และตอบโจทย์ทั้งไอทีและธุรกิจ
โครงสร้างพื้นฐานแบบไฮเปอร์ คอนเวิร์จ (Hyper Converged Infrastructure): วีเอ็มแวร์ อีโว่ เรลล์ (VMware EVO: RAIL) จะช่วยให้ลูกค้าสามารถขยายและติดตั้งโครงสร้างไอทีแบบ ซอฟต์แวร์ ดีฟาย สู่ธุรกิจได้เร็วขึ้น โดยการใช้งานอุปกรณ์ฮาร์ดแวร์ใดก็ได้ที่ผนวกมากับซอฟต์แวร์ของวีเอ็มแวร์จะช่วยลดปัญหาในการใช้งานในแง่การติดตั้ง ทดสอบ จัดการ อัพเกรดและควบคุมโดยทีมไอที ทำให้ใช้งานได้อย่างคุ้มค่าและสะดวกมากยิ่งขึ้น
เน็ตเวิร์ก เวอร์ช่วลไลเซชั่น (Network Virtualization): วีเอ็มแวร์ เน็นเอสเอ็กซ์ (VMware NSX) คือแพลตฟอร์มสำหรับเน็ตเวิร์ก เวอร์ช่วลไลเซชั่น สำหรับ Software Defined Data Center ได้อย่างปลอดภัย โดย NSX จะช่วยเวอร์ช่วลไลซ์ เน็ตเวิร์กขององค์กรธุรกิจทำให้การปฎิบัติการด้านเน็ตเวิร์กและค่าใช้จ่ายเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
ซอฟต์แวร์ ดีฟาย สตอเรจ (Software Defined Storage): วีเอ็มแวร์ เวอร์ช่วล แซน (VMware Virtual SAN) ช่วยจับคู่ความต้องการในการใช้งานสตอเรจภายใต้ทรัพยากรที่มีอยู่หลากหลายอย่างอัตโนมัติ ทำให้สามารถใช้งานโมเดลปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าเงินลงทุน
เทคโนโลยี โอเพ่น คลาวด์: วีเอ็มแวร์ โอเพ่นสแต็ค โซลูชั่น (OpenStack solution) ช่วยให้ไอทีสามารถสร้าง OpenStack APIs และเครื่องมือที่เป็นมิตรกับนักพัฒนาได้อย่างรวดเร็วและคุ้มค่าการลงทุนบนโครงสร้างพื้นฐานของวีเอ็มแวร์ที่มีอยู่แล้ว โดยสามารถสร้างโครงสร้างพื้นฐาน API สำหรับนักพัฒนาในองค์กร และย้ายเวิร์กโหลดจากคลาวด์สาธารณะที่ไม่ปลอดภัยและไม่สามารถจัดการได้ โดยไอทีสามารถจัดการและแก้ปัญหาบน OpenStack cloud ด้วยเครื่องมือของวีเอ็มแวร์ที่ใช้งานอยู่แล้วเป็นประจำจึงช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการปฏิบัติการได้เป็นจำนวนมากและทำงานได้อย่างรวดเร็วขึ้น