โลกนี้ไม่มี อะไรฟรี ในเมื่อ facebook เขาทำ social platform ที่ใหญ่ และคนนิยมได้ขนาดนี้
เขาก็ต้องลงทุนไปมากไม่น้อย ทั้งเรื่องคนที่มาทำ ทั้งเรื่อง server ที่จะรองรับสมาชิกจำนวนมหาศาล
ในเมื่อลงทุนไป ก็ต้องหาเงินกลับมา ทำให้ facebook มีภาคธุรกิจสำหรับบริษัท ห้างร้านต่าง ๆ และหนึ่งในนั้นคือ โฆษณาประเภทต่าง ๆ ไว้สามกลุ่มด้วยกัน
ตัวแรกคือ Voice of business หรือ “เสียงจาก brand” ads ชนิดนี้ จะเป็นข้อความจาก brand ส่งถึง ผู้ใช้จัดว่าเป็น ads ประเภทหลัก ๆ ที่เราจะเจอกันบ่อย ๆ
ทั้งในหน้า web และใน mobile app เช่น การ promote status ของ brand
feed ที่ไหลมาแนะนำให้เรากด like page feed ที่บอกว่า เพื่อนของเรากี่คน กด like page นี้
หรือ status fake ๆ ที่บอกว่า เพื่อนของเราคนนี้ กด like page ไหน เมื่อ สามนาทีก่อน ซึ่งจริง ๆ แล้ว ๆ กดมานานแล้ว แค่มาขึ้นเตือนให้เรากดอีกครั้ง
บางทีก็จะเป็น event ที่ facebook เด้งมาบอกเราว่า “คุณน่าจะสนใจอันนี้นะ”
หรืออาจจะมี offer เด้งมาบอกเราว่า “ร้านนี้จะลด 50% นะ กดรับ coupon ได้เลย” อะไรประมาณนั้น
คือที่เราเห็นเกือบทั้งหมดนี่แหละครับ ที่เรียกว่า ads ประเภท Voice of Business
แบบที่สองคือ Sponsor Storied หรือ Voice of friend ที่เป็นตัวปัญหา และ จะโดน Facebook
ปิดการให้บริการอย่างสมบูรณ์ในวันที่ 9 เมษายน 2557 ที่จะถึงนี้นี่เอง แล้วปิดรับผู้ใช้ใหม่แล้ว
Sponsored Stories ทุกคนคงเคยจะเห็นกันบ้างนะครับ มันเป็นกรอบเล็ก ๆ ทางขวาสุดของ หน้า facebook
เวลาเราเข้าผ่าน computer เป็น ads ตัวแรก ๆ ที่เกิดขึ้น และ ได้รับความนิยมอย่างมากจากนักการตลาด
ด้วยเหตุผลว่า มีการตอบรับที่ดี เพราะในยุคแรก ๆ ยังเป็นแค่ แนะนำ page ให้กด Like กัน
และพัฒนาต่อมาเป็นเพื่อนเรามีปฏิสัมพันธ์อะไรกับ page นั้น เพื่อดึงดูดให้เราไปกด like
อย่างเช่น ผมขี่จักรยาน แล้ว post เกี่ยวกับ page ร้านจักรยานเจ้าประจำของผมว่า
“ร้านดี ราคาถูก บริการเยี่ยม” ถ้าร้านจักรยานนั้นซื้อ sponsor stories ของ facebook ไว้
มันก็จะไปขึ้นที่ พื้นที่โฆษณา ให้เพื่อน ๆ ผม ได้เห็น เพื่อเพิ่มโอกาสการกด like เช่น พิธีกรแบไต๋คนอื่น
ที่ขี่จักรยานเหมือนกัน เห็นผมชมร้านนี้ ด้วยตัวเอง มีหรือ จะไม่กด like ร้านนั้นไปด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้วมันเป็นอะไร ที่สร้างสรรค์ และตอบโจทย์ของร้านค้ามาก เพราะ ว่า
เป็นการโฆษณาจากคำพูดจริง ๆ ของลูกค้า ทำให้มีความน่าเชื่อถือกว่า โฆษณาปรกติ และ บอกต่อไปยังเพื่อนของลูกค้าคนนั้น ทำให้ ความน่าสนใจยิ่งเพิ่มขึ้นไปอีก
แต่ทว่า ปัญหามันมีอยู่สองข้อครับ ข้อแรกคือ มันเป็น algorithm ของ facebook ไม่ได้เป็นคนมานั่งเลือกว่าอันไหนจะขึ้น ทำให้มีทั้งที่ดี และ
แย่ปนกันไป จึงส่งผลต่อข้อที่สอง คือ มันเป็นการละเมิดสิทธิส่วนบุคคล เพราะต่อให้เราชมร้านนั้นจริง ๆ ก็ไม่ได้หมายความว่า จะให้ใครเอา
คำพูด หรือข้อเขียนขอเรา ไปทำอะไรต่อได้ ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา หรือ หารายได้ใด ๆ
ในเรื่องนี้ก็มีกรณีตัวอย่างของนาย Nick Burgus ที่ เขียน มุขตลกเกี่ยวกับน้ำมันหล่อลื่น ที่ขายใน Amazon
แล้วผ่านไปหนึ่งสัปดาห์ เพื่อน ๆ ก็ cap รูปมาบอก นายนิคว่า “เฮ้ย กรูเห็นมึงอยู่ใน sponsored stories หว่ะ แล้วมันไม่ฮาแล้วด้วย”
ซึ่ง Nick เองก็ไม่พอใจในเรื่องนี้ เนื่องจาก ข้อความที่โผล่ไป ไม่ครบ ขาดตอน จากมุขตลก
กลายเป็นภาพลักษณ์แย่ ๆ ให้เขาแทน นอกจากนี้ยังมีผู้ได้รับผลกระทบนี้แบบชัดเจนอีกสี่ราย
ส่งผลไปถึงการฟ้องร้องต่อในชั้นศาล จน facebook แพ้คดี และต้องจ่ายค่าเสียหายราว 20 ล้าน $
ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบ นำรูปและข้อความของตัวเองไปใช้ใน sponsored sotries
แน่นอนว่า Facebook เองก็พยายามยื้อเต็มที่ โดยคิดที่จะให้ผู้ใช้สามารถตั้งค่า privacy ว่า
ไม่อนุญาตให้ใช้กับ Sponsored Stories ได้ แต่ก็มีปัดตกข้อตกลงนี้ไป ทำให้ Sponsored Stories
ต้องบอกลา จาก Facebook ไปอย่างถาวรแน่นอนแล้ว
จริง ๆ แล้ว เรื่องนี้ก็น่ากลัวนะครับ เพราะเราใช้บริการของเขา แน่นอนว่าตอนสมัครใช้
เขาจะมีข้อตกลงมาบอกให้อ่าน แล้วยอมรับอยู่แล้ว แต่ถามจริง ๆ ครับ มีใครอ่านบ้าง?
ยิ่งคนในยุคนี้หลายๆคน อ่านออก อ่านไม่ออก เรื่องสำคัญ ไม่สำคัญกด next อย่างเดียวนี่ไม่ต้องพุดถึงเลย
หมายความว่า เขาจะทำอะไรกับเราก็ได้ จะเก็บข้อมูล หรือ เอาข้อมูลเราไปแปรผันเพื่อยิงโฆษณามาก็ได้
เพราะเราดันไปยอมรับแล้วนั่นแหละแต่ถ้าเราไม่ยอมรับ เราจะเล่น facebook ได้อย่างไร?