ด้วยความสำเร็จและความต่อเนื่องในการสร้างงาน ทำให้จากที่เคยเป็นแค่ตัวละครในหนังสยองขวัญ เป็นซากศพเดินได้ไล่กัดฉีกทึ้งเนื้อคนเป็น ‘ซอมบี้’ กลายเป็นอีกแนวย่อยของหนังที่มีบทบาทไม่น้อยในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ มีงานที่ได้รับความนิยมเป็นระยะ ๆ รวมถึงงานที่ยกระดับแนวทางตัวเองไปอีกขั้น ทั้งเรื่องราวและรายละเอียดปลีกย่อยของตัวละคร
เหล่านี้คือหนังซอมบี้ที่ ‘ห้ามพลาด’ เพราะนอกจากความบันเทิงแล้ว ยังได้พบวิวัฒนาการของหนังแนวนี้ ที่นอกจากยังไม่ตายแต่ยังปรับเปลี่ยนตัวเองไปตามยุคสมัย อยู่ตลอดเวลา
มีเรื่องอะไรบ้าง จัดไป!
THE DEAD TRILOGY
ผู้กำกับ: จอร์จ เอ. โรเมโร (George A. Romero)
ไตรภาคของบิดาแห่งหนังซอมบี้ที่เริ่มด้วย ‘Night Of The Living Dead’ (1968), ‘Dawn of the Dead’ (1978) และ ‘Day of the Dead’ (1985) ถึงไม่ใช่หนังซอมบี้เรื่องแรก แต่หนังของโรเมโรคืองานที่พาซอมบี้หลุดพ้นมนตร์ดำแห่งวูดู และวางระบบกฏเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับซอมบี้ ไปถึงรูปแบบในการเล่าเรื่องที่เผยด้านมืดของมนุษย์ การใส่ประเด็นทางสังคม-การเมือง ‘Dawn’ เยี่ยมยอดที่สุดไม่ว่าจะกับหนังชุดนี้หรือในโลกของหนังซอมบี้ แต่ ‘Night’ ก็คือรากฐานของทั้งหนังชุดนี้และหนังซอมบี้ที่ตามมา ส่วน ‘Day’ เป็นการปิดท้ายได้อย่างน่าสนใจ คมในเรื่องมุมมองทางสังคม วิวัฒนาการของซอมบี้ที่เผยขอบเขตที่กว้างไกลของหนังแนวนี้
ห้ามพลาดเพราะ: ทุกอย่างในหนังซอมบี้ทุกวันนี้ เริ่มต้นที่หนังชุดนี้ ที่เป็นทั้งคัมภีร์และตำนาน
28 DAYS LATER (2002)
ผู้กำกับ: แดนนี บอยล์ (Danny Boyle)
ทางเทคนิคนี่ไม่ใช่หนังซอมบี้ เพราะผู้คนเพียงติดเชื้อจนคลั่ง แต่ท้ายที่สุดมันก็กลายเป็นการสร้างนิยามใหม่ให้กับซอมบี้และหนังแนวนี้ ทั้งการเคลื่อนไหวที่แคล่วคล่องว่องไว และประเด็นที่เปรียบเทียบพวกติดเชื้อกับเหล่าผู้รอดชีวิต ว่าที่สุดแล้วใครเลวร้ายกว่ากัน หนังเอาคนดูอยู่ตั้งแต่ฉากแรกที่ทำให้ลอนดอนกลายเป็นเมืองร้าง แสนพรั่นพรึง การใช้กล้องดิจิทัลที่คนทั่วไปใช้ บวกการแสดงที่เป็นธรรมชาติ ทำให้หนังดูดิบ และสมจริง ต่อให้เป็นช่วงเวลาที่เรื่องราวเกินจริงก็ตาม
ห้ามพลาดเพราะ: นอกจากสร้างนิยามใหม่ให้หนังซอมบี้ หนังยังเล่าเรื่องได้น่าติดตาม เล่นกับอารมณ์ผู้ชมอย่างมีชั้นเชิง มีความนุ่มนวลในความน่าหวาดหวั่น และเผยความน่ากลัวของมนุษย์ได้อย่างน่าขนลุก
DAWN OF THE DEAD (2004)
ผู้กำกับ: แซ็ก สไนเดอร์ (Zack Snyder)
การรีเมกงานคลาสสิกไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ผู้กำกับหน้าใหม่คนนี้ทำได้ โดยอาศัยความช่วยเหลือจากบทของเจมส์ กันน์ ผู้กำกับ ‘Guardians of the Galaxy‘ ที่มากไปด้วยลูกล่อลูกชนกับอารมณ์คนดูและตัวละคร โดยกล้าที่จะเมินประเด็นทางสังคมแบบต้นฉบับ และเลี่ยงไปเป็นหนังซอมบี้แอ็กชัน จนกลายเป็นเรื่องเล่าซอมบี้ยุคใหม่ แม้หลาย ๆ อย่างทำให้นึกถึง ‘28 Days Later’ ทั้งซอมบี้ที่เร็วอย่างกับนักวิ่งร้อยเมตร ทั้งฉากเปิดเรื่องที่น่าจดจำไม่แพ้กัน แต่ยังมีความน่าตระหนกที่แตกต่าง เมื่อผู้หญิงท้องแก่ใกล้คลอดโดนกัด ตัวละครก็มีพัฒนาการตามสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป
ห้ามพลาดเพราะ: แม้จะแทนที่หนังต้นฉบับไม่ได้ แต่ก็เป็นงานที่รับช่วง แล้วส่งต่อได้อย่างสวยงาม
SHAUN OF THE DEAD (2004)
ผู้กำกับ: เอ็ดการ์ ไรท์ (Edgar Wright)
หนังซอมบี้ไม่จำเป็นต้องหม่นมืดหรือน่ากลัว และหนังก็มากไปด้วยอารมณ์ขันแบบอังกฤษจ๋า ถึงไม่มีฉากโหด ๆ สยดสยอง แต่มีสถานการณ์ระทึกปนขำ ทำให้หัวเราะ ยิ้ม และลุ้นกับตัวละครอยู่เพียบ แล้วก็เสียดสีชีวิตผู้คน ความเป็นไปในสังคมได้สนุก หนังถูกนิยามว่าเป็นงานรอม-ซอม-คอม หรือเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของโรเมโรและริชาร์ด เคอร์ติส (Richard Curtis – ผู้เขียนบท ‘Notting Hill’ และผู้กำกับ ‘Love Actually’)
ห้ามพลาดเพราะ: เป็นงานล้อเลียนที่นำโครงสร้างของหนังซอมบี้มาเล่น โดยบรรยากาศและลักษณะเฉพาะอยู่ครบ เป็นอีกครั้งที่พบว่า หนังซอมบี้แตกหน่อต่อยอดไปได้ไกลขนาดไหน
[REC] (2008)
ผู้กำกับ: ฆัวเม บาลากูเอโร (Jaume Balaguero) และ พาโค พลาซา (Paco Plaza)
หนังเจอฟุตเตจจากสเปน ที่ถูกรีเมกเป็นหนังอเมริกัน ’Quarantine’ กับเรื่องของนักข่าวสาวและตากล้องที่เกาะติดพนักงานดับเพลิง และติดอยู่ในตึกที่ผู้คนกลายเป็นพวกกระหายเลือด นี่คืองานที่พาหนังซอมบี้ไปสู่อีกรูปแบบหนึ่งของการเล่าเรื่อง ทั้งยังได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในงานเจอฟุตเตจที่ ‘ดี’ เมื่อนำเสนอได้อย่างมีพลัง โดยเฉพาะการปราศจากดนตรีประกอบ ทำให้รู้สึกราวกับกำลังชมคลิปจากเหตุการณ์จริง ที่สถานการณ์น่าตระหนกไม่รู้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่ ตรงไหน
ห้ามพลาดเพราะ: ไม่ใช่แค่พาผู้ชมไปพบกับฝันร้าย จนยากจะปิดไฟชม ยังทำให้เห็นว่า หนังซอมบี้กับการเล่าเรื่องแบบงานเจอฟุตเตจนั้น มันลงตัวและเข้ากันได้ดีขนาดไหน
ZOMBIELAND (2009)
ผู้กำกับ: รูเบน ไฟลสเชอร์ (Rueben Fleischer)
หนังซอมบี้รวมดาวที่เหมือนเป็นคำตอบของฮอลลีวูดต่อหนังอังกฤษอย่าง ‘Shaun of the Dead’ ที่สามารถผสมผสานอารมณ์ขันและความสยองขวัญได้ดีไม่แพ้กัน แต่เล่นใหญ่กว่า เมื่อหนังจะพาไปกับกลุ่มคนที่ใคร ๆ ก็ไม่คบ ต้องรวมตัวกัน เพื่อเดินทางข้ามประเทศที่เต็มไปด้วยซอมบี้ หนังเล่นกับเรื่องการยอมรับความจริงในชีวิต และเล่นมุกกับกฏเกณฑ์ต่าง ๆ ที่หากเป็นคอหนังซอมบี้ก็จะสนุกไปอีกระดับ นอกจากอารมณ์ขันแสบ ๆ หนังยังมีดีพอจะทำให้ต้องแอบปาดน้ำตาได้ด้วยซ้ำ
ห้ามพลาดเพราะ: หนังเต็มไปด้วยมุกที่ซุกซ่อนเอาไว้มากมาย มีนักแสดงที่ปรากฏตัวแบบคามีโอเป็นเซอร์ไพรส์ ส่วนเคมีที่เข้ากันของเหล่านักแสดงหลัก ก็คืออีกเสน่ห์สำคัญของหนัง
DEAD SNOW (2009)
ผู้กำกับ: ทอมมี เวอร์โคลา (Tommy Wirkola)
จากซอมบี้ที่เป็นคนธรรมดา ๆ หนังสยอง-เบาสมองเรื่องนี้ยกระดับไปอีกขั้น เมื่อเป็นซอมบี้นาซี ซึ่งเป็นอีกความพยายามที่จะฉีกจากกรอบเดิม ๆ ของหนังแนวนี้ และสามารถสร้างลักษณะเฉพาะให้กับตัวเองได้ โดยเฉพาะการไล่ล่าท่ามกลางหิมะสีขาวโพลน ที่ช่วยให้หนังดูแปลกตา รวมถึงมีความสดในตัว ภายใต้บรรยากาศคุ้นชินเดิม ๆ ของหนังซอมบี้
ห้ามพลาดเพราะ: ทั้งสนุก เลือดท่วมจอ เมื่อความรุนแรงถูกจับคู่กับอารมณ์ขันแปลก ๆ แบบเดียวกับที่เห็นใน ‘Evil Dead’ ที่ปรากฏทั่วทั้งเรื่อง จนเป็นความบันเทิงแบบสุดขั้ว ไม่ต้องสนเหตุผลไปจนถึงฉากสุดท้าย
PARANORMAN (2012)
ผู้กำกับ: แซม เฟลล์ (Sam Fell) และ คริว บัตเลอร์ (Chris Butler)
หนังซอมบี้เรื่องเดียวในลิสต์ที่เด็ก ๆ ดูได้ โดยเป็นงานสต็อปโมชันชั้นดีจากสตูดิโอ Laika เจ้าของงานอย่าง ‘Coraline’ และ ‘Kubo and the Two Strings’ กับเรื่องราวที่มีพลิกด้าน เมื่อนอร์แมน (Norman) เด็กที่เข้ากับคนไม่ได้แต่สื่อสารกับซอมบี้ได้ กลายเป็นคนสำคัญเมื่อคำสาปแม่มด ปลุกซากศพในสุสานของเมืองขึ้นมาจนชาวเมืองแตกตื่น แต่ซอมบี้ ปีศาจ ไม่
ห้ามพลาดเพราะ: ซอมบี้ในหนังเป็นมากกว่าองค์ประกอบของความหลอน ดูน่าเห็นใจ และเป็นตัวแทนในการนำเสนอปัญหาทางสังคม ซึ่งเป็นสิ่งที่อยู่ในหนังของโรเมโรมาตลอด รวมถึงประเด็นเรื่องการให้อภัยและการทำความเข้าใจที่แก้ไขปัญหาได้ทุกอย่าง
WORLD WAR Z (2013)
ผู้กำกับ: มาร์ก ฟอสเทอร์ (Marc Foster)
หนังบล็อกบัสเตอร์เรื่องเดียวในลิสต์ที่ใช้ทุนสร้าง 270 ล้านเหรียญ มีแบรด พิตต์ (Brad Pitt) แสดงนำ และเป็นหนังซอมบี้ที่ทำเงินสูงสุด 550 ล้านเหรียญ การเดินทางไปทั่วโลกของเจอร์รี เลน (Gerry Lane – พิตต์) เจ้าหน้าที่สหประชาชาติ เพื่อหาสาเหตุของไวรัสที่ทำให้คนเป็นซอมบี้ในหนัง ทำให้เขาเป็นเหมือนสายลับ อย่าง อีธาน ฮันต์ (Ethan Hunt) ใน ‘Mission: Impossible’ หรือ เจมส์ บอนด์ (James Bond) หนังไม่ได้เล่าเรื่องตามหนังสือ หากทำได้สนุกและเข้าถึงง่ายกว่า เป็นทั้งงานสืบสวน แอ็กชัน แล้วปิดท้ายด้วยความตื่นเต้นแบบงานสยองขวัญ
ห้ามพลาดเพราะ: นอกจากเป็นงานทุนสูง หนังยังเป็นความบันเทิงแท้ ๆ มีฉากจำที่แสนเร้าใจมากมาย ตั้งแต่ฉากเปิดไปจนถึงฉากซอมบี้บุกเยรูซาเล็ม และไคลแม็กซ์ในตอนท้าย
WARM BODIES (2013)
ผู้กำกับ: โจนาธาน เลอวีน (Jonathan Levine)
ใครที่มองว่าหนังซอมบี้ไม่มีทางเป็นงานรอม-คอมได้ ต้องดูหนังเรื่องนี้ที่สร้างจากนิยายชื่อเดียวกัน ซึ่งจะพาไปพบอาร์ (R) ซอมบี้หนุ่ม (นิโคลาส โฮลท์ – Nicholas Hoult) ที่พบรักกับสาวเทเรซา พาล์มเมอร์ (Teresa Palmer) ที่รับบทโดย จูลี กริกิโอ (Julie Grigio) ในโลกที่เต็มไปด้วยซอมบี้ครองเมือง ซึ่งช่วยให้ฝ่ายชายค่อย ๆ มีวิวัฒนาการ มีชีวิตชีวามากขึ้นเรื่อย ๆ
ห้ามพลาดเพราะ: นอกจากจะเป็นแนวทางที่ไม่น่าข้องเกี่ยวกับซอมบี้ได้ หนังยังผสมผสานเรื่องหวาน ๆ, ความน่าตื่นเต้น และสถานการณ์น่าพรั่นพรึง เข้าเป็นหนึ่งเดียวกันได้ดี
THE GIRL WITH ALL THE GIFTS (2016)
ผู้กำกับ: คอล์ม แม็กคาร์ธี (Colm McCarthy)
งานเล็ก ๆ ที่เรื่องราวถือเป็นการปฏิวัติหนังซอมบี้ ในอนาคตมนุษย์เผชิญเชื้อโรคร้ายที่เปลี่ยนคนเป็นพวก ‘ไอ้ตัวหิว’ ซึ่งมีเด็กกลุ่มนี้จำนวนหนึ่งถูกนำมาดูแลและทดลองในค่ายทหาร โดยเมลานี (Melanie) ที่มีความพิเศษกว่าคนอื่น ๆ ตกเป็นเป้าหมายสำคัญในการทดลอง หนังเล่าเรื่องได้อย่างจริงจังและน่าเชื่อถือ ก่อนจะปิดท้ายด้วยเหตุการณ์หักมุม ที่ทำให้สถานภาพของตัวละคร และเรื่องราวกลับตาลปัตรที่ทำให้โลกไม่เหมือนเดิมตลอดกาล
ห้ามพลาดเพราะ: เป็นหนังซอมบี้ที่มาพร้อมมุมมองที่แตกต่าง ช่วยให้หนังมีความสดใหม่ โดยเฉพาะการให้เจเนอเรชันที่ 2 ของซอมบี้เป็นศูนย์กลาง เรียนรู้ได้และมีความคิดอ่าน
TRAIN TO BUSAN (2016)
ผู้กำกับ: ยอนซังโฮ (Yeon Sang Ho)
หนังซอมบี้บนรถไฟ ในงานโปรดักชั่นที่ประณีต และสอดแทรกประเด็นทางสังคมแบบงาน ซอมบี้ในห้างของโรเมโร รวมถึงปัญหาในสังคมตัวเอง การพาตัวละครไปอยู่ในพื้นที่ใหม่ ๆ และเงื่อนไขที่แตกต่าง ทำให้หนังแนวนี้มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง โดยเฉพาะการสร้างสมดุลของฉากแอ็กชัน ความระทึกขวัญ และเหตุการณ์สะเทือนอารมณ์ ได้อย่างลงตัว รวมถึงทำให้ตัวละครสมทบขึ้นจอได้อย่างน่าจดจำ
ห้ามพลาดเพราะ: นอกจากจะทำให้หนังซอมบี กลับมาเป็นงานร่วมสมัย หนังยังเป็นงานที่ทำให้โลกรู้จักกับหนัง เค-ซอมบี (K-Zombie) อย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรก
ONE CUT OF THE DEAD (2019)
ผู้กำกับ: ชินอิชิโร อูเอดะ (Shin’ichiro Ueda)
งานที่มองไปถึงการเป็นหนังคัลต์ คลาสสิก (Cult Classic) ได้เลย เมื่อกองถ่ายหนังซอมบี้ทุนต่ำต้องเจอซอมบี้จริง ๆ จนทีมงานบางคนกลายเป็นซากศพเดินได้ หากคิดว่านั่นคือจุดหักมุม หรือพลิกผันของหนังแล้ว ยังมีอะไรแบบนั้นให้ได้เซอร์ไพรส์กันอีกซ้ำแล้วซ้ำเล่า ไปจนถึงเอนด์เครดิต (End Credit) ในขณะเดียวกันหนังก็ถ่ายทำแบบหนังคัตเดียว ว่ากันยาว ๆ ซึ่งเป็นเสน่ห์เฉพาะของหนัง ที่นอกจากความบันเทิงแล้ว ก็เป็นจดหมายรักถึงหนังสยองของผู้กำกับตัวจริงด้วยเช่นกัน
ห้ามพลาดเพราะ: เป็นหนังซอมบี้ที่เล่าเรื่องได้สนุก ทั้งสด แปลก และแตกต่าง รวมถึงตอกย้ำอีกครั้งว่า แม้จะมีกฏเกณฑ์มากมายสำหรับหนังซอมบี้ แต่วิธีเล่าเรื่องนั้น มันขยับขยายไปได้ไกลไม่รู้จบ
อ้างอิง 1 อ้างอิง 2 อ้างอิง 3 อ้างอิง 4
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส