แม้ว่าโลกทุกวันนี้อาจทำให้เราต้องใช้ชีวิตและทำงานอยู่ในบ้านมากขึ้นจนอาจจะไม่ได้ออกไปเจอโลกภายนอกเท่าไหร่ แต่ในบางครั้งการทำงานในบ้านก็อาจทำให้ชาวประมง 3 คนรอดตายจากเหตุเรือล่มได้อย่างไม่น่าเชื่อ เหมือนเหตุการณ์นี้ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา เมื่อหญิงคนหนึ่งสามารถจับสังเกตเหตุเรือล่ม และแจ้งเจ้าหน้าที่ให้เข้าช่วยเหลือได้ทันท่วงที แม้ในขณะที่เธอกำลังประชุมออนไลน์อยู่ในโฮมออฟฟิศภายในบ้านของเธอเอง จนทำให้ลูกเรือรอดชีวิตได้อย่างหวุดหวิด
ช่วงบ่ายของวันอังคารที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เป็นวันที่อากาศแจ่มใส ‘แพม ฮาร์ต’ (Pam Harght) วัย 38 ปี กำลังนั่งทำงานอยู่ที่โฮมออฟฟิศอยู่บนชั้น 3 ของบ้านที่ตั้งอยู่ใกล้กับบริเวณชายทะเลซิทูเอต (Scituate) เมืองมาร์ชฟิลด์ (Marshfield) เขตพลีมัธ (Plymouth) รัฐแมสซาชูเซตส์ (Massachusetts) สหรัฐอเมริกา ซึ่งในระหว่างนั้นเธอกำลังนั่งประชุมออนไลน์กับเจ้านายของเธอด้วย Macbook ในขณะที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง ซึ่งสามารถมองเห็นทะเลได้ไกลสุดลูกหูลูกตา ชนิดที่ว่าเธอสามารถมองเห็นเมืองบอสตัน (Boston) ที่อยู่ห่างออกไปทางตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 30 ไมล์ได้สบาย ๆ
จนกระทั่ง 14:30 น. ในขณะที่แพมยังคงประชุมออนไลน์ผ่านทาง Zoom กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงานของเธอ เธอเหลือบไปมองที่ชายฝั่งทะเลที่ริมหน้าต่าง และพบเรือประมงลำหนึ่งที่อยู่ห่างจากบ้านของเธอประมาณ 1 ไมล์ ทันใดนั้น เธอสังเกตเห็นกลุ่มควันลอยขึ้นมาจากเรือลำนั้น และในที่สุด เรือประมงลำนั้นก็ค่อย ๆ จมหายไปทีละเล็กละน้อย เธอเล่าถึงเหตุการณ์ตอนนั้นว่า “ฉันละสายตาจาก Macbook ไปมองทะเลชั่วขณะ เมื่อฉันเห็นเรือลำนั้น ฉันจึงบอกเรื่องนี้กับเจ้านายและเพื่อนร่วมงาน แต่พวกเขาไม่ได้เอะใจอะไร 30 วินาทีต่อมา ฉันจึงเห็นเรือลำนั้นค่อย ๆ พลิกคว่ำและจมลงไปบางส่วน ตอนนั้นฉันนี่อ้าปากค้างเลย”
ณ ตอนนั้น เธอจึงคิดว่าน่าจะไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เธอจึงขอออกจากการประชุมและโทรหาตำรวจโดยทันที เธอคิดว่าน่าจะมีคนอื่นที่เห็นเหตุการณ์และติดต่อหน่วยกู้ภัยแล้ว เธอคิดแค่ว่า แม้จะมีคนโทรไปแจ้งแล้ว แต่ตอนนั้นก็จำเป็นต้องโทรไปย้ำเตือนกับตำรวจอีกที “ในความคิดของฉัน ยังไงฉันก็จะโทรไป แม้ว่าฉันจะเป็นสายที่ 10 หรือ 20 แต่อย่างน้อยก็ควรโทรให้แน่ใจว่าจะมีคนมาช่วยแน่ ๆ ” แต่กลายเป็นว่า เมื่อเธอโทรไปแจ้งตำรวจ เธอกลายเป็นสายแรกที่โทรมาแจ้งเรื่องนี้ โดยที่ยังไม่มีใครเห็นเหตุการณ์และโทรแจ้งตำรวจเลยแม้แต่สายเดียว
หลังจากที่ได้รับแจ้ง เจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้ประสานงานกับหน่วยยามฝั่ง และเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของซิทูเอตเพื่อเข้าไปช่วยเหลือเรือประมงลำนั้นที่กำลังจมลงทีละน้อย มีเปลวเพลิงลุกไหม้บนตัวเรือ และมีคราบน้ำมันรั่วไหลอยู่บนผิวน้ำให้เร็วที่สุด ในขณะที่ทะเลในเวลานั้นมีคลื่นสูงถึง 6 ฟุต ‘จอห์น เมอร์ฟี’ (John P. Murphy) หัวหน้าหน่วยดับเพลิงประจำชายฝั่งซิทูเอตกล่าวว่า เมื่อเราเดินทางไปถึงเรือประมงลำนั้น เราเห็นชายคนหนึ่งยกมือขึ้น นั่นแปลว่าคนในเรือยังมีชีวิตอยู่” จนกระทั่งในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สามารถช่วยลูกเรือประมง 3 ชีวิตได้เป็นผลสำเร็จ
เรือที่ล่มลำนี้ เป็นเรือประมงหาหอยของบริษัทปิงปิงคอร์ปอเรชัน (Bing Bing Corporation) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัทอินเตอร์เชลล์ อินเตอร์เนชันแนล คอร์ปอเรชัน (Intershell International Corporation) ซึ่งทำธุรกิจแปรรูปและจำหน่ายอาหารทะเล โดยเรือขนาด 55 ฟุตลำนี้แล่นออกไปจากอ่าวแมสซาชูเซสเพื่อออกไปหาหอย สาเหตุที่เรือล่ม อาจเป็นเพราะคราดสำหรับหาหอยอาจแล่นไปติดกับอะไรบางอย่างใต้ทะเลอย่างรุนแรง จึงทำให้เรือล่มอย่างรวดเร็วจนไม่มีโอกาสส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือหรือสวมชุดชูชีพ
ด้วยความที่ลูกเรือทั้งสามอยู่บนผิวน้ำที่มีคลื่นสูง 6 ฟุตนานถึง 45 นาที และอยู่ในทะเลที่มีคราบน้ำมันดีเซลลอยอยู่บนผิวน้ำ อีกทั้งร่างกายติดพันอยู่กับสายยางที่อยู่บนเรือ ทำให้การช่วยเหลือเป็นไปอย่างยากลำบาก แต่ในที่สุด เจ้าหน้าที่ก็สามารถระดมกำลังช่วยลูกเรือขึ้นมาได้สำเร็จ เจ้าหน้าที่หน่วยยามชายฝั่งกล่าวว่า ลูกเรือประมงทั้ง 3 คนมีอุณหภูมิร่างกายต่ำกว่าปกติ และสำลักน้ำมันดีเซลเข้าไปในปอด แต่โชคดีที่ทั้งสามคนยังปลอดภัยดี และได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หากการช่วยเหลือช้าไปเพียง 5 นาที ลูกเรือทั้งสามอาจไม่รอดชีวิตก็เป็นได้
‘โจ โรเดอร์ริก’ (Joe Roderick) คุณพ่อลูกสี่วัย 50 ปี หนึ่งในลูกเรือที่ได้รับการช่วยเหลือได้ให้สัมภาษณ์ว่า เรือลำนั้นค่อย ๆ เอียงไปทางกราบขวา ก่อนจะค่อย ๆ ล่มอย่างรวดเร็ว “ผมพูดกับกัปตันเรือว่า มันดูแปลก ๆ นะ ในขณะที่เขาเดินกลับเข้าไปในเรือ เรือก็พลิกคว่ำจนทำให้พวกเราตกลงไปในน้ำอย่างรวดเร็ว” โจเผยว่า เขารู้สึกเจ็บหน้าอกจากการถูกผิวน้ำกระแทก โพรงจมูกและปอดของเขาอักเสบเพราะสำลักน้ำมันดีเซล อีกทั้งข้าวของส่วนตัวของเขาจมหายไปกับทะเลทั้งหมด
“คงจะมีแต่พระเจ้าเท่านั้นแหละครับที่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เพราะเรือจมลงเร็วมาก ๆ ภายในไม่กี่นาที และอีก 3 นาทีต่อมา ทุกคนบนเรือก็ต้องว่ายน้ำเพื่อเอาชีวิตรอด มันเป็นเรื่องที่หนักหนาเหลือเกิน ฉะนั้น ชั่วเวลาแค่สองหรือสามนาทีนั้นมีความหมายมาก มันอาจหมายถึงความเป็นความตายได้เลย ผมคิดถึงลูก ๆ ของผมมาก ในความคิดผมตอนนั้นก็คือ ผมคงไม่มีวันได้กลับบ้านอีกแล้ว”
โจเผยว่า เขาจะได้ออกจากโรงพยาบาลภายในวันศุกร์นี้ และหวังว่าจะได้ติดต่อกับแพม ซึ่งถือเป็นคนแรกที่เห็นเหตุการณ์และแจ้งตำรวจเอาไว้ได้อย่างทันท่วงทีเพื่อเป็นการขอบคุณ “เธอคือคนที่ช่วยชีวิตพวกเราไว้ เพราะตอนนั้นไม่มีใครเห็นเราเลย ถ้าเธอไม่ได้โทรแจ้งตำรวจ คงไม่มีใครพบเห็นเรา”
แพมกล่าวว่า ในเวลานั้นช่างบังเอิญมาก ๆ ที่เธอเหลือบไปเห็นเรือลำนั้นผ่านทางหน้าต่างที่มองเห็นชายฝั่งทะเลได้อย่างพอดิบพอดี และไม่ได้ลุกออกไปทำอย่างอื่น ไม่เช่นนั้นเธออาจจะไม่ทันเห็นเรือก็ได้ เธอยังกล่าวแบบติดตลกด้วยว่า โชคดีที่เธอไม่ได้ซื้อคอมพิวเตอร์จอใหญ่กว่านี้ ไม่งั้นคงจะบดบังจนมองไม่เห็นเหตุเรือล่มเป็นแน่
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส