Nikon แบรนด์กล้องที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานมากว่า 107 ปี แม้จะอยู่คู่วงการถ่ายภาพมานานขนาดนี้ แต่ก็ไม่พ้นวิกฤตทางการเงินที่อาจทำให้ธุรกิจต้องสั่นคลอนอยู่เรื่อย ๆ แต่ด้วยการมาของกล้องซีรีส์ใหม่ในยุค Mirrorless อย่าง ‘Nikon Z’ ก็ทำให้ค่ายนี้ก้าวออกจากจุดเสี่ยงได้อย่างปลอดภัย แถมยิ่งใหญ่กว่าเดิม
และเร็ว ๆ นี้ Nikon เอง ก็ได้เดินก้าวใหญ่ครั้งสำคัญอีกครั้ง ที่สังเกตได้ชัดเจนเลยว่าบริษัทตอนนี้อยู่ในจุดที่ไม่ต้องกังวลเรื่องการเงินสักเท่าไร ด้วยการเข้าซื้อกิจการ RED Digital Cinema ค่ายกล้องภาพยนตร์ชื่อดังจากอเมริกา ในมูลค่ากว่า 85 ล้านเหรียญ (ประมาณ 3,118 ล้านบาท)
แม้จะดูเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ที่ผ่านมาต้องบอกว่ามีอะไรที่ซับซ้อนกว่านี้ครับ มีเรื่องให้ Nikon ขาดทุนอยู่ตลอดแม้ก่อนช่วงโควิด-19 ก็ตาม
จากสุดสูงสุด สู่จุดต่ำสุด
ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา Nikon เคยทำกำไรสูงสุดถึง 722 ล้านเหรียญ (26,381 ล้านบาท) ได้ในปี 2012 จนถึงระดับขาดทุน 324 ล้านเหรียญ (11,800 ล้านบาท) ในช่วงวิกฤตโควิด-19 ปี 2021 ที่เสี่ยงอาจทำให้บริษัทอาจต้องปิดตัวลงได้ แม้จะรุนแรงแต่ Nikon ก็สามารถผ่านพ้นมันมาได้
แต่ปี 2021 ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Nikon ติดตัวแดงนะครับ แต่ทั้งปี 2010 หรือ 2017 ก็เคยขาดทุน 66 ล้านเหรียญ (2,410 ล้านบาท) และ 136 ล้านเหรียญ (4,968 ล้านบาท) มาแล้วเช่นกัน
ความผิดพลาดของ Nikon ในศตวรรษที่ 21
แม้ว่าในปี 2010 จะอ้างได้ว่ามาจากภาวะเศรษฐกิจถดถอยครั้งใหญ่ แต่ในปี 2017 นั้นเกี่ยวข้องกับการเดินเกมตัดสินใจของ Nikon มากกว่าครับ ซึ่งถ้าย้อนไปในปี 2016 เราจะได้เห็นการเปิดตัว ‘Nikon KeyMission’ กล้องสาย Action ที่ออกมาด้วยกันถึง 3 รุ่น KeyMission 80, KeyMission 170 และรุ่นเรือธง KeyMission 360 ที่เป็นกล้อง 4K 360 องศา แต่ต้องบอกว่าในยุคนั้น 4K 360 ยังเป็นอะไรที่ใหม่เกินไปครับ ประสิทธิภาพเลยยังไม่เข้าที่เข้าทางซักเท่าไร ไม่ถึง 3 ปี ไลน์นี้ก็ได้ล้มหายจากไปตามระเบียบ…
หรือแม้แต่กล้องมิเรอร์เลสยุคแรก ๆ ของ Nikon ในปี 2013 กับไลน์ ‘Nikon 1’ ที่มีขนาดเซนเซอร์เพียง 13.2 x 8.8mm หรือเล็กกว่าเซนเซอร์ 4/3 เสียอีกออกมา (เล็กขนาดไหน ตัวคูณ 2.7x) แน่นอนว่าก็ไม่ได้รับกระแสตอบรับที่ดีซักเท่าไรครับ จนต้องเลิกผลิตไลน์นี้ไปในปี 2018
ก้าวแรกของยุคฟูลเฟรมมิเรอร์เลส
ด้วยกระแสของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป หลายค่ายต่างมุ่งเน้นพัฒนามิเรอร์เลสขึ้นมาแทน DSLR ที่เป็นระบบเก่า Nikon เองก็ได้หันหัวเรือออกกล้องซีรีส์ใหม่อย่าง Nikon Z ประเดิมด้วยรุ่น ‘Z6 และ Z7’ ในปี 2018 พร้อมเลนส์ Nikkor Z ยุคบุกเบิกอีก 3 รุ่น และอะแด็ปเตอร์ FTZ แปลงเลนส์จากยุค DSLR มาใช้บนบอดี้มิเรอร์เลส ให้เหล่าช่างภาพยุคเก๋าได้ย้ายมาใช้งานกัน ซึ่งนี่ก็ถือว่าตัดสินใจได้ถูกต้องครับ ทำให้สภาวะการเงินของบริษัทเริ่มกลับมาดีอีกครั้ง
แต่ในปี 2020 ก็เกิดวิกฤตขึ้นจนได้…กับการมาของโรคระบาดครั้งใหญ่ โควิด-19 ซึ่งจะโทษ Nikon ก็ไม่ได้ครับ เพราะคงไม่มีใครคาดการณ์ถึงเรื่องนี้ ทำให้ช่วงนั้นมีกล้องออกมาน้อยมาก เช่น D6 ในปี 2019, Z50 และ Z5 ปี 2020 และ Z6 II, Z7 II ในช่วงปลายปี 2021
แม้ตอนนี้ Nikon Z System จะมีตัวเลือกที่หลากหลายขึ้นมาก แต่ก็ยังขาดกล้องเรือธงจริง ๆ สำหรับมือโปรอยู่ครับ แฟน ๆ หลายคนจึงยังเลือกที่จะใช้ DSLR ต่อ เพื่อรอดูท่าทีว่า Nikon จะเอาอย่างไรกับระบบนี้ และอย่างที่กล่าวไป ปี 2021 Nikon ได้ขาดทุนไปกว่า 324 ล้านเหรียญ (11,800 ล้านบาท)
Nikon Z9 เรือธงที่แท้ทรู ก้าวใหม่ครั้งสำคัญในยุคมิเรอร์เลส
และแล้วเวลาก็เดินทางมาถึงปี 2022 ปีที่ยิ่งใหญ่ของแฟน ๆ ชาวนิค กับการเปิดตัวกล้อง ‘Nikon Z9’ เรือธงที่แท้ทรูของซีรีส์มิเรอร์เลส Nikon Z ซึ่งเจ้า Z9 นี่ล่ะ ที่เหมือนมาช่วย Nikon เอาไว้ได้อีกครั้ง เหมือนสมัยยุค D3 ไม่ว่าจะสเปกที่เด่นทั้งภาพนิ่ง และวิดีโอ เซนเซอร์ฟูลเฟรม Stacked CMOS 45.7 ล้านพิกเซล ความเร็วสูง ถ่ายรัวสูงสุดถึง 120fps กับวิดีโอ 8K แถม Nikon ยังกล้าตัด Mechanical Shutter ออกในรุ่นนี้อีกด้วย ทำให้กระแสกล้อง Nikon Z กลับมาพุ่งทะยานอีกครั้ง ทำกำไรในปีนี้ได้ถึง 380 ล้านเหรียญ (13,889 ล้านบาท) เลยทีเดียว
ก่อนจะตามมาด้วยรุ่น Z8 ในปี 2023 แม้จะทำผลงานได้ไม่ดีเท่าปีก่อนหน้า แต่ Nikon เองก็ยังสามารถทำกำไรที่ 333 เหรียญ (ประมาณ 12,170 ล้านบาท) เอาไว้ได้
บทส่งท้าย
เรียกว่าการกลับมาของ Nikon ในครั้งนี้เป็นเรื่องราวที่ค่อนข้างน่าทึ่งในวงการถ่ายภาพทีเดียวครับ แถมปัจจุบันในขณะที่ค่ายอื่นจะเน้นทำกลยุทธ์ใส่ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้กับกล้องรุ่นใหม่เท่านั้น แต่ Nikon กลับคิดมุมต่าง ใช้วิธีปรับปรุงตัวกล้องที่ดีอยู่แล้วด้วยการอัปเดตเฟิร์มแวร์พร้อมใส่ฟีเจอร์ใหม่ ๆ ให้ฟรี ซึ่งก็เป็นผลดีกับผู้ใช้ ทั้งด้านประสิทธิภาพ และมอบประสบการณ์การใช้งานที่สดใหม่อยู่เสมอ
ส่วนในปี 2024 Nikon จะรักษาระดับตอนนี้เอาไว้ได้หรือไม่ หรือมีอะไรให้เราได้เซอร์ไพรส์กันรึเปล่า อันนี้ก็ต้องรอติดตามกันล่ะครับ