หลายคนน่าจะเคยประสบเหตุการณ์ทำอุปกรณ์กล้องหายกันมาบ้าง หลายครั้งก็อาจโชคไม่ดีไม่ได้ของเหล่านี้คืน แต่เรื่องราวครั้งนี้ถือว่ามีโชคอยู่ครับ เมื่อช่างภาพชาวต่างประเทศที่กำลังจะบินไปถ่ายมวยไทยที่ภูเก็ต แต่กลับเกิดเหตุไม่คาดฝันกระเป๋ากล้องที่มีอุปกรณ์มากมายในนั้นทั้งกล้อง, เลนส์, SD Card, SSD, Macbook Pro ติดไปกับรถแท็กซี่ รวมมูลค่าเกือบ 800,000 บาท เรื่องราวเป็นยังไงเรามาติดตามกันครับ

เมื่อช่วงต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ช่างภาพกีฬาต่อสู้ชาวอังกฤษ ลามีน เมอร์ช (Lamine Mersch) ได้เรียกแท็กซี่จากโรงแรมในกรุงเทพฯ ไปสนามบินดอนเมือง เพื่อเดินทางไปถ่ายการแข่งขันมวยไทยในภูเก็ต แต่ด้วยความที่ปักหมุดผิดแถมสื่อสารกันผิดพลาดแท็กซี่จึงมาส่งเขาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งแทนที่จะเป็นสนามบินอย่างที่เขาเข้าใจ

เหตุการณ์มันเริ่มจากจุดนี้นี่ล่ะครับ ตอนที่เมอร์ชยังไม่รู้ตัวว่าตัวเขาเองมาผิดที่ เขาก็ได้เดินลงจากรถมาหยิบกระเป๋าเดินทางที่ใส่ไว้ที่ท้ายรถ คนขับก็ทำหน้าที่อย่างดีครับ ลงมาช่วยเปิดปิดประตูให้เรียบร้อย แต่โชคร้ายตรงที่ตอนนั้นมันค่อนข้างมืด ทำให้แท็กซี่ไม่ทันเห็นว่ายังเหลือกระเป๋ากล้องอยู่ที่นั่งเบาะหลังแล้วขับออกไป…

จังหวะนั้นบอกเลยว่าเป็นใครก็ต้องตกใจแน่นอน อุปกรณ์ในนั้นก็มูลค่าไม่ใช่น้อย ๆ แถมต้องใช้ทำมาหากินอีก มีทั้งกล้อง Sony a7S III, a7 IV, FE 24-70mm F2.8 GM, SIGMA 50mm F1.4 DG DN | Art และของสำหรับการถ่ายภาพอื่น ๆ ตั้งแต่ SSD, SD Card ไปจนถึง Macbook Pro ซึ่งก็มีมูลค่ารวมถึง 21,850 เหรียญ (ประมาณ 790,000 บาท) เลยทีเดียว

เมอร์ชที่กำลังตกใจ เริ่มคิดว่าจะทำอย่างไรกับสถานการณ์ตอนนี้ดี ติดต่อคนขับแท็กซี่ก็ไม่ได้ ภาษาก็ไม่เป็น แถมอยู่ต่างประเทศอีก ไม่ต้องพูดถึงเรื่องเงิน เพราะถ้าไม่มีกล้องก็ไม่สามารถทำงานได้ งานล่าสุดที่ทำก็อยู่ในนั้นทั้งหมดอีก

แต่ในโชคร้ายก็ยังมีเรื่องดี ๆ ครับ เมื่ออาสาสมัครกลุ่ม ‘สายไหมต้องรอด‘ ได้เข้ามาเจอเมอร์ชที่กำลังนั่งร้องไห้อยู่ที่สนามบินดอนเมือง และเสนอที่จะช่วยเหลือเขาในครั้งนี้ ซึ่งเขาเองก็ได้ติด AirTag ไว้ในกระเป๋าด้วย เขากับกลุ่มสายไหมต้องรอดจึงตระเวนขับรถทั่วกรุงเทพฯ เพื่อหาแท็กซี่คันนั้นกันยกใหญ่เป็นเวลากว่า 2 ชั่วโมง

แต่สุดท้ายก็ยังหาไม่เจออยู่ดีครับ กลุ่มสายไหมต้องรอดเลยติดต่อไปยังสถานีตำรวจแทน และในที่สุดก็สามารถติดต่อคนขับแท็กซี่คนดังกล่าวได้ และเอากระเป๋ากล้องของช่างภาพชาวอังกฤษคนนี้มาคืน

เมอร์ชเล่าว่า ตอนที่ไปถึงสถานีตำรวจเขาได้แจ้งชื่อคนขับกับตำรวจไป โชคดีที่ยังหาชื่อเจอจากแอปฯ เรียกรถแท็กซี่ จากนั้นตำรวจจึงดำเนินการเรียกคนขับที่มีชื่อเดียวกันมาหลายคน ซึ่งพอถึงคนที่ 3 ก็พบว่าเป็นคนเดียวกันจริงครับ ตอนนั้นเขาถึงกับกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่ด้วยความดีใจและโล่งใจ ก่อนที่ 30 นาที หลังจากนั้น คนขับคนดังกล่าวจะนำกระเป๋ามาคืนให้ที่สถานี

เมอร์ช กล่าวว่าเขาเพิ่งมาทำอาชีพนี้แบบเต็มตัวได้เพียง 1 ปีเท่านั้น และรู้สึกขอบคุณกลุ่มอาสาสมัครจากกลุ่มสายไหมต้องรอดมาก ๆ ที่ช่วยเหลือเขาในครั้งนี้ แถมรู้สึกโล่งใจมากที่รูปถ่ายของลูกค้าและไฟล์ทั้งหมดยังอยู่ครบ

ก็จริงอยู่ที่เหตุการณ์ในครั้งนี้สามารถอธิบายกับลูกค้าได้ว่าเกิดอะไรขึ้น และยังสามารถชดเชยเงินให้ลูกค้าได้ก็ตาม แต่การที่ต้องเสียเงินมหาศาลทั้งค่าอุปกรณ์รวมถึงการไม่มีประกันเข้ามาช่วยเป็นอะไรที่หนักเกินไปสำหรับเขาครับ

เหตุการณ์ครั้งนี้ยังเป็นการเปิดมุมมองดี ๆ ของคนไทยเราที่เข้าไปช่วยเหลือนักท่องเที่ยวแปลกหน้าทั้งที่ไม่รู้จักกันมาก่อน และที่สำคัญยังเป็นบทเรียนให้ช่างภาพหลายคนระมัดระวังเรื่องอุปกรณ์มากขึ้น การติด AirTag ก็ช่วยได้ แต่ถ้ามีประกันด้วยก็จะปลอดภัยมากกว่า Backup ไฟล์ไว้หลาย ๆ ที่ก็เป็นสิ่งจำเป็น และเหนือสิ่งอื่นใดคือความไม่ประมาทนั้นเองครับ