YASHICA แบรนด์กล้องญี่ปุ่นในความทรงจำของใครหลายๆ คนในยุคกล้องฟิล์ม ที่หายจากตลาดกล้องไปพักใหญ่ ตอนนี้ได้กลับมาเปิดตัว YASHICA digiFilm Y35 กล้องดิจิทัลที่มีลูกเล่นเปลี่ยนชนิดฟิล์มได้ เพื่อผลลัพธ์ของภาพที่แตกต่างไป แต่มันจะดีแค่ไหนกันนะ

YASHICA digiFilm Y35 นั้นออกแบบในรูปทรง Rangefinder แบบเดียวกับ YASHICA Electro 35 กล้องตัวแรกของโลกที่ควบคุมด้วยไฟฟ้าที่วางจำหน่ายในช่วงยุค 60s ปัจจุบัน Electro 35 ก็ยังมีขายตามร้านกล้องคลาสสิก ซึ่งก็ยังทำงานได้ดีอยู่ถ้าสามารถหาแบตเตอรี่ให้มันได้ แล้วก็หน้าตาคลาสสิกพอจะไปอยู่ในหนัง Amazing Spider-Man ปี 2012 ด้วย

(คลิกอ่าน) ตำนาน YASHICA แบรนด์กล้องที่หายไป
เรื่องราวของ YASHICA นั้นเริ่มต้นที่เมือง Nagano ในญี่ปุ่นเมื่อปี 1949 ในชื่อแบรนด์ Yashima และเริ่มผลิตกล้องตัวแรกคือ Yashimaflex ในรูปแบบ twin-lens reflex (TLR) ในปี 1953

ต่อมาในปี 1957 จึงได้มีการตั้งบริษัท Yashica ขึ้นมาเป็นบริษัทลูกเพื่อเน้นงานขายในสหรัฐอเมริกา ซึ่งกล้อง TLR ของ Yashica ก็ได้รับเสียงตอบรับในตลาดเป็นอย่างดีจนเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น Yashica อย่างเป็นทางการในปี 1958 และเริ่มพัฒนากล้องที่ใช้ฟิล์ม 35 mm

Yashica Electro 35

และกล้องที่ทำให้ Yashica ประสบความสำเร็จอย่างสูงคือ Electro 35 ที่ออกในปี 1965 ซึ่งกวาดยอดขายไปได้กว่า 8 ล้านตัวทั่วโลก ต่อมาในปี 1973 Yashica เริ่มทำงานร่วมกับ Carl Zeiss ผู้ผลิตเลนส์ชื่อก้องจากเยอรมันเพื่อผลิตกล้องในแบรนด์ Contax

YASHICA เริ่มหายไปจากตลาดกล้องในช่วงยุค 80s ตั้งแต่ถูก Kyocera (Kyoto Ceramics) ซื้อบริษัทไปในปี 1983 และพัฒนากล้องให้ตามเทคโนโลยี Autofocus ไม่ทัน ถึงจะผลิตกล้องที่มีโฟกัสอัตโนมัติออกมาได้แต่ก็ราคาแพงเกินไป จนต้องลงมาเล่นในตลาด point-and-shoot (กล้องถูกๆ ที่ถ่ายอย่างเดียว ไม่ต้องปรับอะไรเยอะแยะ) ซึ่งไม่ได้มีมูลค่ามากนัก

Contax RTS

จนปี 2005 Kyocera สั่งยุติการผลิตกล้องในแบรนด์ Contax, Yashica และ Kyocera ทั้งหมด และขายสิทธิ์ชื่อ YASHICA ให้กับ MF Jebsen Group จากฮ่องกง เพื่อนำไปผลิตเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ต่อไป กล้อง digiFilm จึงออกแบบในฮ่องกงครับ

จุดเด่นของกล้องตัวนี้คือส่วนที่เรียกว่า digiFilm กลักเล็กๆ ใส่ลงไปในกล้องเหมือนฟิล์ม เพื่อกำหนดลักษณะภาพถ่ายที่จะออกมา ก็เหมือนตัวฟิล์มในกล้องฟิล์มเมื่อก่อน ที่เป็นส่วนสำคัญในการกำหนดลักษณะภาพที่ออกมา ถ้าต้องการภาพสีจัดก็ใช้ฟิล์ม Slide หรืออยากได้ภาพนวลๆ ก็ใช้ฟิล์ม Negative เป็นต้น

คิดง่ายๆ digiFilm คือรูปแบบการตั้งค่ากล้อง และฟิลเตอร์ภาพดิจิทัลแบบที่หยิบจับได้ โดย YASHICA digiFilm เปิดตัวมาพร้อม digiFilm 4 แบบคือ

ISO200 Ultra Fine – ให้ภาพคมชัด สีสันธรรมชาติ
ISO400 B&W film – ภาพขาว-ดำแบบคลาสสิก มีเกรนสวยๆ
ISO1600 Hi-Speed color film – ให้ภาพ Contrast จัด มีเกรนเยอะ ถ่ายภาพในที่แสงน้อย และสามารถใช้ความเร็วชัตเตอร์สูงได้
120 format 6×6 color film –
ให้ภาพสี่เหลี่ยมจัตุรัส ISO 200

สเปกของ YASHICA digiFilm Y35

  • 1/3.2-inch CMOS sensor ความละเอียด 14 ล้านพิกเซล
  • มีช่องมองภาพในตัว
  • ความยาวโฟกัส 35 mm รูรับเแสง f/2.8
  • ระยะโฟกัสตั้งแต่ 1 เมตร – ระยะอนันต์
  • เลือกความเร็วซัตเตอร์ได้ 5 ระดับคือ 1s, 1/30s, 1/60s, 1/250s, 1/500s
  • บันทึกภาพลง SD Card (รองรับการ์ด Wifi)
  • มีพอร์ต microUSB สำหรับการเชื่อมข้อมูล
  • มีช่องเสียบขาตั้ง
  • ใช้แบต AA 2 ก้อน

YASHICA digiFilm Y35 กล้องดิจิทัลที่คิดแบบฟิล์ม

เมื่อโลกดิจิทัลทำให้ทุกอย่างเร็วขึ้น digiFilm จึงเป็นความพยายามในการดึงเสน่ห์ในการถ่ายรูปกลับมา ผ่านความลำบากของการถ่ายรูปในยุคก่อนคือ

  • ไม่มีจอด้านหลังกล้อง ถ่ายรูปต้องดูจาก Viewfinder และจะไม่เห็นรูปจนกว่าจะเอา SD Card มาเปิด
  • ไม่มีปุ่มลบรูป
  • เปลี่ยนรูปแบบภาพจากการเปลี่ยนกลัก digiFilm

แต่จากสเปกจะเห็นจุดสังเกตหลายอย่างคือ

  • กล้องทำจากพลาสติกที่เลียนแบบโลหะ (ก็หวังว่าจะทำเนี๊ยบๆ จะได้เอามาห้อยคอหล่อๆ ได้)
  • เซนเซอร์มีขนาดแค่ 1/3.2-inch หรือเท่ากับเซนเซอร์ของกล้อง iPhone 5 คุณภาพภาพจึงจำกัดมากๆ
  • ดูแนวโน้มแล้ว ไม่น่าจะมีโฟกัสอัตโนมัติ น่าจะเป็นกล้องแบบ Fix focus และปรับรูรับแสงไม่ได้
  • ใช้ไฟจากถ่าน AA 2 ก้อน ไม่ใช่แบตลิเธียม
  • บันทึกภาพลง SD Card ไม่ใช่บันทึกลง digiFilm (เผลอๆ มันเป็นแค่กล่องเปล่าๆ แค่มีสัญลักษณ์ให้กล้องรู้ว่าต้องปรับอะไรยังไง)

ราคาของ YASHICA digiFilm Y35

YASHICA digiFilm Y35 เริ่มต้นระดมทุนแล้ววันนี้ใน Kickstarter ซึ่งราคาเริ่มต้นที่อยู่ 1108 เหรียญฮ่องกง สำหรับชุดที่มาพร้อม digiFilm 2 แบบ ซึ่งเมื่อรวมค่าส่งมาเมืองไทยอีก 100 เหรียญฮ่องกง จะมีราคาเริ่มต้นที่ 5,200 บาท ซึ่งก็ถือว่าราคาไม่แพงนักสำหรับกล้องของเล่นที่มีกิมมิกแบบนี้ โดยคาดว่าจะได้รับของในเดือนเมษายน 2018