เมื่อคืนวันที่ 6 ตุลาคมตามเวลาประเทศไทย facebook ได้จัดงาน Oculus Connect 3 ขึ้นเพื่อแนะนำเทคโนโลยีเกี่ยวกับโลกเสมือนจาก Oculus บริษัทลูกของเฟซบุ๊กที่ซื้อเข้ามาเมื่อปี 2014 ด้วยมูลค่ากว่า 2 พันล้านเหรียญ ซึ่งตอนนี้เราเห็นภาพชัดขึ้นแล้วว่าทำไมเฟซบุ๊กต้องทุ่มเงินขนาดนี้เพื่อเข้าสู่โลก VR
Social VR รูปแบบการสื่อสารในยุคหน้า
งาน Oculus Connect 3 เริ่มต้นด้วยการคีย์โน้ตของเหล่าผู้บริหารเฟซบุ๊กและ Oculus นำโดยพี่มาร์ค ซัคเคอร์เบิร์กคนเดิมคนนี้นี่เอง ทำให้เราได้เห็น Social VR รูปแบบการสื่อสารกับเพื่อนแบบใหม่ ที่ผู้ใช้สวมแว่น Oculus Rift พร้อมถือจอย Oculus Touch จากคนละสถานที่กัน แต่มาอยู่ในโลกเสมือนบริเวณเดียวกัน แล้วพูดคุยกันผ่านร่างอวาตาร์ที่สร้างขึ้น
โดยร่างอวาตาร์เหล่านี้สามารถเลียนแบบสีหน้า ท่าทางได้เสมือนจริง ทำให้ได้อารมณ์ของการสื่อสารที่คล้ายจริง และเหนือกว่าโลกจริงด้วยความสามารถแปลกๆ มากมาย ทั้งการเสกเกมต่างๆ อย่างไพ่หรือหมากรุกมาเล่นตรงหน้าพร้อมเพื่อน หรือเปลี่ยนสถานที่พูดคุยไปเรื่อยๆ จากแหล่งวิดีโอ 360 องศาต่างๆ ทำให้ได้พูดคุยกันถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หรือจะนั่งดูทีวีเสมือนไปพร้อมๆ กัน แล้วมีปฏิสัมพันธ์ร่วมกัน และที่ผู้ชมในฮอลล์ทึ่งคือสามารถรับโทรศัพท์ผ่าน facebook messenger ได้ในโลกเสมือนเลย เห็นเป็นวิดีโอคอลล์กันสดๆ ภายในนั้น แถมยังมีก้าน selfies ไว้ให้ถ่ายรูปหมู่กันอย่างฮาๆ อีก
นอกจากนี้ในงาน Oculus Connect 3 ยังมีการพูดถึงอุปกรณ์ VR ใหม่ๆ ที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนา อย่างแว่น VR แบบที่สามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องเพิ่ง PC ที่จะทำให้ผู้คนใช้ได้ง่ายขึ้น หรือประกาศวันวางขายจอย Oculus Touch อย่างเป็นทางการในวันที่ 6 ธันวาคมนี้ในราคา $199 พร้อมกับแนะนำเนื้อหาใหม่ๆ ที่จะอยู่ในโลก VR ของ Oculus ด้วย
อย่ากลัว แต่จงเข้าใจมัน เพราะอนาคต VR มาแน่
การสื่อสารในโลกเสมือนแบบนี้มีอยู่ในภาพยนตร์ นิยาย การ์ตูน มาหลายทศวรรษแล้วนะครับ แต่พวกเรานี่แหละที่ได้รับสิทธิ์ที่โชคดี (รึเปล่า) ในการเป็นมนุษย์ยุคแรกที่เผชิญหน้ากับความเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลมากขนาดนี้ เราเจอคลื่นคอมพิวเตอร์พัดสร้างความเปลี่ยนแปลงเมื่อ 25 ปีก่อน เจอสึนามิอินเทอร์เน็ตสร้างวิถีชีวิตใหม่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว เจอพายุสมาร์ทโฟนสร้างวัฒนธรรมใหม่ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และต่อจากนี้อีก 5 ปีโลกจะปรับตัวต่อเนื่องอีกครั้งจาก VR ที่เทคโนโลยีค่อยๆ ถูกลงจนทุกคนเข้าถึงมันได้เหมือนสมาร์ทโฟน และทุกคนก็จะสื่อสารกันในโลกเสมือนอีกใบ ที่จำลองการพบเจอกันได้สมจริงที่สุดตั้งแต่มนุษย์เคยสร้างกันมา
มาถึงตรงนี้หลายคนอาจจะกลัวว่าโลกจะเป็นเหมือนภาพยนตร์หลายเรื่องที่มนุษย์เอาแต่มุดอยู่ในบ้าน แล้วลุ่มหลงอยู่กับโลกเสมือนที่จัดจ้าน ดีพร้อมไปทุกอย่าง จนไม่อยากกลับมาในโลกความเป็นจริง ซึ่งเรามองจากจุดนี้มันก็เป็นไปได้ทั้งหมดแหละครับว่าโลกอนาคตจะเป็นแบบนั้น หรือจะยังพบปะเจอกันกันจริงๆ เหมือนเดิม แล้วใช้ VR เพื่อช่วยให้ทำงาน หรือมีปฏิสัมพันธ์กับคนไกลได้ง่ายขึ้นก็เป็นได้
ซึ่งที่ผ่านมาเราก็เห็นแล้วว่าเด็กยุคใหม่ที่เกิดหลังเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตและสมาร์ทโฟนสามารถจัดการความสัมพันธ์ต่างๆ ได้อย่างไร แถมยังมีภูมิคุ้มกันต่อเรื่องใหม่ๆ ดียิ่งกว่าผู้ใหญ่ที่ตามการเปลี่ยนแปลงไม่ทันเสียอีก อนาคตของมนุษยชาติคงไม่ล่มสลายเพราะ VR หรอกนะครับ