ค่ำคืนในวันเหนื่อย ๆ การจะนั่งแท็กซี่กลับบ้านคงไม่อยากเจอคำถามกวนใจหรือถูกรบกวนจากเสียงวิทยุที่ดังสนั่นแบบไม่สนใจผู้โดยสาร หรือที่แย่ที่สุดคือถูกพาไปไหนก็ไม่รู้

คงจะดีไม่น้อยหากมีรถโดยสารในแบบที่ทั้งเป็นส่วนตัวและขับเคลื่อนตัวมันเองได้แบบในภาพยนตร์ไซไฟอย่าง ‘Fifth Element’ หรือเกมอย่าง ‘Cyberpunk 2077’

เพียงแต่ที่จริงแล้วแท็กซี่แบบไร้คนขับไม่ได้มีอยู่ในแค่นิยายวิทยาศาสตร์อีกต่อไป

Robotaxi แพร่หลายแค่ไหน

แท็กซี่ขับเคลื่อนตัวเองกลายเป็นสิ่งที่บริษัทเทคโนโลยีพยายามก่อร่างขึ้นให้กลายทางเลือกใหม่ในการเดินทางในเมือง ในหลายประเทศเริ่มนำมาใช้

Robotaxi มีการนำเทคโนโลยี AI มาใช้ในการควบคุมรถ มีกล้อง ระบบเรดาร์ และลิดาร์ (LiDAR) หรือระบบวัดระยะและตรวจจับแสง ทั้งหมดนี้เพื่อให้ Robotaxi สามารถสำรวจรอบรถ 360 องศาประกอบการตัดสินใจ

Zoox บริษัทลูกของ Amazon ถือเป็นเจ้าแรกที่นำรถยนต์ขับเคลื่อนตนเองไฟฟ้ามาให้บริการเชิงพาณิชย์ในสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2020

เจ้าอื่นก็ไม่น้อยหน้า General Motors ก็เปิดตัว Cruise ขณะที่ Alphabet (บริษัทแม่ Google) ก็เข็น Waymo ออกมาแข่ง ซึ่งได้รับการอนุมัติจากหน่วยงานกำกับดูแลของเมืองให้ออกวิ่งแต่จำกัดช่วงเวลา

ไม่จำกัดอยู่ในสหรัฐฯ เท่านั้น ธุรกิจ Robotaxi ในหลายประเทศทั้ง Didi จากจีน EasyMile จากฝรั่งเศส และ Robot Taxi จากญี่ปุ่น ก็ทยอยเข้าร่วมตลาดแห่งอนาคตนี้ ถึงขั้นว่ามีความร่วมมือข้ามชาติกันแล้ว

หน้าตา Robotaxi ของ Zoox (ที่มา Zoox)

การออกแบบ Robotaxi ของแต่ละเจ้ามีหน้าตาแตกต่างกันออกไป บางแบบจะเป็นรถยนต์ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากันดีที่ใส่เทคโนโลยีขับเคลื่อนอัตโนมัติ แต่บางรายอย่าง Zoox ที่ออกรถหน้าตาเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมติดล้อที่ไม่มีพวงมาลัยหรือที่นั่งคนขับ

ตลาด Robotaxi ยังค่อนข้างใหม่ที่ยังมีอนาคตอีกยาวไกล นักวิเคราะห์การตลาดชี้ว่าว่าอัตราการเติบโตรายปีแบบทบต้นของมูลค่าตลาด Robotaxi ทั่วโลกจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ อาจแตะถึง 20,000 – 40,000 ล้านเหรียญ (ราว 700,000 ล้าน – ราว 1,400,000 บาท) ภายในสิ้นปี 2028

ทางเลือกแห่งอนาคต

ข้อดีหลักของ Robotaxi นอกจากจะเป็นทางเลือกการเดินทางที่เป็นส่วนตัวแล้ว ยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะส่วนใหญ่ใช้พลังงานไฟฟ้า 100%

Robotaxi ยังเป็นทางเลือกให้กับผู้พิการจำนวนมากที่หลายคนรู้สึกว่าระบบการขนส่งสาธารณะในปัจจุบันมันไม่สะดวกเอาซะเลย

ถึงขั้นว่าผู้พิการทางสายตาเคยถูกคนขับ Uber ปฏิเสธไม่ให้สุนัขบริการที่ช่วยนำทางขึ้นรถ จนมีการเรียกร้องให้นำ Robotaxi มาใช้ คิวรอที่จะใช้บริการแห่งอนาคตเหล่านี้ยาวเหยียด

ยิ่งไปกว่านั้น หากระบบทุกอย่างของ Robotaxi ทำหน้าที่เต็มประสิทธิภาพ จะยังเพิ่มความปลอดภัยในการเดินทาง ไม่ต้องกลัวรถหมด และไม่ต้องกลัวคนขับที่เป็นมนุษย์พาหลงอีกต่อไป

ที่สำคัญคือช่วยลดการจราจรที่ติดขัด เพราะจะลดเหตุการณ์ที่แท็กซี่ไปรอรับผู้โดยสารจนแถวยาวเหยียด

ยังต้องใช้เวลาปรับปรุง

การให้บริการ Robotaxi ต้องใช้และเก็บข้อมูลมหาศาล ซึ่ง NVIDIA ชี้ว่าข้อมูลที่เซนเซอร์ของ Robotaxi ใช้นั้นมากกว่ารถยนต์ที่ก้าวหน้าที่สุดในปัจจุบันถึง 100 เท่า นั่นเพราะว่าต้องใช้ข้อมูลเหล่านี้ทดแทนการตัดสินใจของมนุษย์

และด้วยความที่เป็น AI นี่แหละ จึงมีโอกาสทำงานผิดพลาดเวลาเกิดเหตุการณ์ที่มันไม่คาดฝัน จนก่อให้เกิดอันตรายต่อการจราจรหรือสังคมโดยรอบ

สิ่งที่เกิดขึ้นบ่อย ๆ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมาคือการที่ Robotaxi มักจะหยุดอยู่กับที่ หรือขับตัวมันเองเข้าไปในสถานที่ต่าง ๆ

ประชาชนจำนวนหนึ่งบ่นเป็นเสียงเดียวกันว่า Robotaxi ชอบเข้าไปออกันอยู่หน้าบ้านคน จนทำให้การจราจรในชุมชนติดขัด

การหยุดชะงักของ Robotaxi ทำให้กีดขวางการจราจร บางกรณีก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุรุนแรง และขัดขวางการทำงานของเจ้าหน้าที่ในเหตุวิกฤต

ในเดือนกรกฎาคม 2023 มีเหตุรถดับเพลิงที่กำลังปฏิบัติหน้าที่ชนเข้ากับ Robotaxi ของ Cruise กลางสี่แยกในซานฟรานซิสโกเมื่อเดือนสิงหาคม 2023 บริษัทยอมรับว่าระบบ AI ของรถตรวจเจอความเสี่ยงของรถที่จะชนท้าย จึงตัดสินใจเบรกตามระบบที่ตั้งไว้

Cruise ยังเคยก่อวีรกรรมที่ Robotaxi 8 คันไปหยุดชะงักกลางถนนในช่วงที่มีงาน Outside Lands Music Festival เหตุเพราะการที่มีคนเข้างานจำนวนมาก ทำให้ระบบเครือข่ายขัดข้อง Robotaxi ไม่สามารถรับข้อมูลอย่างถูกต้องได้

นี่ยังไม่ต้องนึกถึงว่าหากเกิดเหตุวิกฤต เช่นเหตุไฟป่าที่เกาะเมาวี ของรัฐฮาวาย เหตุสึนามิถล่มในญี่ปุ่น หรือแม้แต่เหตุสงครามในยูเครน การที่มีรถยนต์ขับเคลื่อนด้วย AI ที่ทำงานไม่ตามสั่งพร้อม ๆ กันจำนวนมากจะส่งผลกระทบได้ถึงขนาดไหน

ทั้งหมดที่กล่าวมา ยังไม่รวมถึงภัยไซเบอร์ที่อาจทำให้การทำงานของ AI ใน Robotaxi ทำงานผิดพลาดอย่างจงใจให้ไปก่ออาชญากรรม หรือสร้างอันตรายต่อคนอื่นได้ ที่ผ่านมาเคยมีการทดลองแล้วว่าแม้แต่รถยนต์ธรรมดายังถูกแฮกได้

แย่งงาน

การมาของแท็กซี่แบบไร้คนขับแน่นอนว่าจะกลายเป็นทางเลือกแทนการนั่งแท็กซี่ที่มีคนขับ ซึ่งจะกระทบต่อผู้ขับแท็กซี่ในรูปแบบเดิม ๆ แน่นอน

อย่างไรก็ดี ผู้คนจำนวนมากยังรู้สึกสบายใจกับการโดยสารแท็กซี่ที่มีมนุษย์ขับอยู่ ทั้งจากความคุ้นเคยกับการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมนุษย์ และความไม่มั่นใจว่าระบบ AI ของ Robotaxi จะทำงานได้อย่างสมบูรณ์ เพราะอย่างที่เห็นว่าระบบการทำงานยังมีข้อผิดพลาดเยอะอยู่

ทางเลือกมากกว่าทดแทน

Robotaxi จึงอาจกลายเป็นทางเลือก มากกว่าที่จะทดแทนแท็กซี่แบบเดิมไปทั้งหมด

แต่สำหรับคนที่ต้องการความเป็นส่วนตัวในวันอันแสนเหนื่อยหน่าย Robotaxi ก็อาจกลายมาเป็นทางเลือกใหม่ที่ไม่ได้อยู่แค่ในนิยายไซไฟอีกต่อไป

เพียงแต่ยังต้องการพัฒนาอีกมาก เวลาในการพิสูจน์ตัวเองของ Robotaxi ยังอีกนานเกินกว่าที่จะบอกได้ว่าจะเป็นไปแบบไหน

ที่มา CNBC, Reuters, CNN Business, Hyundai Motor Europe, Automation Switch, Fortune Business Insights, NVIDIA, The Verge

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส