เวลาเรียบจบ ต่างคนต่างมีความฝันที่แตกต่างกันออกไป บ้างก็อยากทำธุรกิจส่วนตัว บางคนก็อยากทำงานในบริษัทใหญ่ๆ และบางคนขอแค่เป็นบริษัทเล็กๆ ที่อบอุ่นก็พอแล้ว

วันนี้วีรภัทร คันธะ ผู้ที่เคยทำงานทั้งบริษัทใหญ่ระดับประเทศอย่างซีพี และเป็นปัจจุบันเป็นบรรณาธิการให้กับสตาร์ทอัพจากเนเธอร์แลนด์อย่าง Saleduck จะมาเปิดเผยข้อดีของบริษัทที่มีขนาดเล็กให้ทุกคนฟัง

1. ลดขั้นตอนยุ่งยาก ไม่ต้องผ่านหลายโต๊ะ

smallbiz1

ปกติแล้วการทำงานแบบออฟฟิศนั้น จะมีการแบ่งแยกแผนกกันอย่างชัดเจน เช่นฝ่ายบัญชี ฝ่ายการตลาด ฝ่ายบุคคล ฝ่ายขาย เป็นต้น โดยในบริษัทใหญ่หลายบริษัทนั้น อาจยกทั้งแผนกไว้ทั้งชั้นเลย ดังนั้นเวลามีปัญหาเรื่องเอกสาร หรืออะไรบางอย่างที่จำเป็นต้องติดต่อคนหลายแผนกนั้น คุณอาจต้องวิ่งวุ่นไปหลายแห่ง และบางครั้งถ้างานไม่สมบูรณ์ อาจต้องวกกลับไปหาคนแรกอีกครั้ง ซึ่งทำให้เสียเวลาเอามาก

แต่กลับกัน บริษัทขนาดเล็กเรียกได้ว่าอาจมีไม่กี่คนใน 1 แผนก และมักนั่งรวมกันอยู่ในห้องเดียว ดังนั้นหากมีปัญหาอะไรเรื่องเอกสาร หรือเรื่องต่างๆ ที่ต้องการคำปรึกษา คุณอาจจะแค่หันหลังไปถามหรือขอคำแนะนำได้ทันที เรียกได้ว่ารวดเร็วฉับไวแน่นอน ขออนุญาตยกตัวอย่างจากประสบการณ์ตรง มีครั้งหนึ่งที่มีข้อสงสัยในดีลจากแบรนด์เครื่องสำอางดังอย่าง Sephora (คลิกดูตัวอย่างดีลได้ที่นี่) ที่ต้องอาศัยการถามจากหลายๆคน สำหรับ Saleduck เพียงแค่เรียกทุกคนซึ่งอยู่รอบๆ โต๊ะมาปรึกษากัน ก็ได้คำตอบอย่างรวดเร็ว

2.ไม่มีพิธีรีตอง

smallbiz2

บางครั้งที่หลายคนสงสัยว่าคุณไปทำงานหรือไปเที่ยวกันแน่ เพราะบริษัทขนาดเล็กมักไม่เคร่งกับชุดที่ใส่มาทำงานซักเท่าไหร่ บางที่ขอแค่ใส่แล้วดูสุภาพแต่ไม่จำเป็นต้องเรียบร้อย ยิ่งสมัยนี้บริษัทไอทีของคนรุ่นใหม่ มักจะไม่เคร่งหรือยึดติดกับแบบฟอร์มเท่าไหร่

นอกจากนี้ส่วนใหญ่บริษัทขนาดเล็กมักอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่น มีการแบ่งปันซึ่งกันและกัน ทั้งเนื้อหางาน และการใช้ชีวิต (รวมถึงอาหารการกินด้วย)

ในบริษัทขนาดใหญ่ คุณอาจพบว่าCEO หรือประธานบริษัทบริษัทนั้นนั่งแยกอยู่ในห้องส่วนตัวคนเดียว และเวลาที่ต้องเข้าพบ บางคนอาจสั่นเกรงเลยด้วยซ้ำ แต่กับบริษัทขนาดเล็กนั้น CEO จะมีความเป็นมิตรและเป็นกันเองกว่ามาก โดยเฉพาะการลงมาทำงานอยู่ร่วมกับลูกน้องในสถานที่ทำงานเลย เพราะส่วนใหญ่ บริษัทขนาดเล็กนั้น พื้นที่ออฟฟิศจะไม่ได้มีขนาดใหญ่ ดังนั้นคุณอาจจะได้นั่งทำงานอยู่ติดกับประธานบริษัทเลยก็เป็นได้

3. ไม่ต้องประชุมกันบ่อย

smallbiz3

ถ้าคุณเคยทำงานกับองค์กรยักษ์ใหญ่มา คุณจะรู้ว่าการประชุมนั้นเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะต้องอธิบายและทำความเข้าใจร่วมกันระหว่างแต่ละแผนก รวมถึงมีวาระที่ต้องแจ้งความคืบหน้าอะไรต่างๆมากมาย ซึ่งยิ่งบริษัทมีขนาดใหญ่มากเท่าไหร่ ก็ต้องมีการประชุมบ่อยมากขึ้นเท่านั้น หลายคนอาจรู้สึกเอียนการประชุมไปเลยด้วยซ้ำ

ในขณะที่บริษัทขนาดเล็กนั้น อย่างที่กล่าวก็คือปริมาณคนนั้นมีไม่มาก ประกอบกับทุกคนนั้นอยู่ใกล้ชิดกันตลอดเวลา หลายๆเรื่องเวลาอัพเดตจากโต๊ะ ทุกคนก็แทบรับรู้พร้อมกันอยู่แล้ว ดังนั้นความถี่เรื่องการประชุมนั้นอาจน้อยกว่าบริษัทใหญ่อย่างเห็นได้ชัด และการประชุมของบริษัทขนาดเล็กนั้นจะประชุมเฉพาะคนที่เกี่ยวข้องและรับผิดชอบอย่างเดียว บางคนที่ไม่เกี่ยวก็ไม่จำเป็นต้องเข้าประชุมแต่อย่างใด

4. การอนุมัติต่างเป็นไปอย่างรวดเร็ว

smallbiz4

ตัวอย่างบริษัท Saleduck เป็นบริษัทไอทีขนาดเล็ก แต่มีชื่อเรื่องคูปองส่วนลดออนไลน์ โดยเฉพาะส่วนด้านที่พักและตั๋วเครื่องบินที่ปรากฎใน Saleduck Thailand การปรึกษาเพื่อขออนุมัติคำสั่งซื้อขาย หรือการยอมรับข้อตกลงต่างๆจากบริษัทพาร์ทเนอร์อย่าง Agoda หรือ Ctrip นั้นเป็นไปอย่างรวดเร็ว ไม่จำเป็นต้องผ่านหลายคน หลายขั้นตอน รวมถึงไม่จำเป็นต้องทำตามรูปแบบเสนอข้อพิจารณาเพื่อการอนุมัติแบบเป็นทางการอย่างเช่นหน่วยงานรัฐ หรือเอกชนทั่วๆไป

ซึ่งข้อดีที่ตามมาก็คือทำให้การทำงานต่างๆมีความคล่องตัว และตอบสนองแต่คู่ค้าได้อย่างรวดเร็ว ทันเหตุการณ์เสมอ ทำให้การดำเนินธุรกิจกับคู่ค้านั้นมีภาพลักษณ์ที่ดี

5. ความเครียดน้อยกว่าองค์กรใหญ่

smallbiz5

สิ่งที่สำคัญที่สุดซึ่งเป็นความแตกต่างระหว่างบริษัทเล็กและบริษัทใหญ่ก็คือ เรื่องของความเครียดจากการทำงาน ซึ่งหากว่าทำงานในองค์กรที่ใหญ่นั้น ด้วยขอบเขตเนื้อหางานที่สเกลค่อนข้างใหญ่ และคนที่ทำงานด้วยมีความเยอะ (ทั้งในแง่ของปริมาณและนิสัย) ซึ่งก็เป็นไปตามสำนวนที่ว่า “มากคนย่อมมากความ” ทำให้เกิดความกดดันสูงมาก และคนที่ช่วยรับฟัง หรือพอจะช่วยเหลือได้นั้นแทบจะไม่มีเลย

ผิดกับบริษัทขนาดเล็กที่หากมีปัญหาเกิดขึ้นแล้วสามารถพูดคุยเปิดอกให้จบได้ง่าย อีกทั้งหัวหน้างานและเพื่อนร่วมงานก็มีลักษณะรับฟังและเป็นมิตรมากกว่า หลายครั้งที่คุณเครียดคุณอาจจะขอลากลับไปพักผ่อนเลยก็ได้ เรียกได้ว่ามีอะไรคุยกันได้ง่ายๆ ไม่มีปัญหา

ทั้งหมด 5 ข้อนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของข้อดีของการทำงานในออฟฟิศขนาดเล็กที่ได้รวบรวมไว้ อย่างไรก็ตามการทำงานไม่ว่าจะเป็นออฟฟิศขนาดเล็กหรือว่าบริษัทขนาดใหญ่ ล้วนแล้วแต่มีข้อดี ข้อเสียอยู่ในตัว การนำเสนอเรื่องนี้จึงเป็นประสบการณ์ส่วนบุคคลของคุณวีรภัทร คันธะที่ได้มีโอกาสทำงานกับองค์กรขนาดเล็กและนำมาเล่าสู่กันฟังเท่านั้น