ย้อนกลับไปในช่วงปลายทศวรรษ 1990 โลกอินเทอร์เน็ตกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ยังถือว่าอยู่ในช่วงเริ่มต้นเพียงเท่านั้น เว็บไซต์ต่าง ๆ ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดหลังฤดูฝน ผู้คนเริ่มค้นพบว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงข้อมูลมากมายได้จากปลายนิ้วสัมผัส แต่มีปัญหาหนึ่งที่เริ่มปรากฏชัดมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นก็คือการค้นหาข้อมูลที่ต้องการในทะเลแห่งข้อมูลนี้เป็นเรื่องยุ่งยากพอสมควร
Yahoo! โตพร้อมอินเทอร์เน็ต
Yahoo! เริ่มต้นขึ้นในปี 1994 จากไอเดียของนักศึกษาปริญญาเอกสองคนที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Jerry Yang และ David Filo ทั้งคู่เป็นศึกษาด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและระหว่างที่ทั้งคู่กำลังมองหาว่าธุรกิจไหนน่าสนใจและอยากลองทำ ก็เริ่มเข้าไปยุ่มย่ามในโลกของอินเทอร์เน็ตมากขึ้น เหมือนกับคนอื่น ๆ ที่ชื่นชอบเทคโนโลยีในสมัยนั้น
แต่สิ่งที่ต่างออกไปก็คือ Jerry ไปเห็นว่า David นั้นเก็บลิสต์ของเว็บไซต์ที่เขาเข้าบ่อย ๆ เอาไว้เป็นไฟล์ แบ่งตามหมวดหมู่ต่าง ๆ ตอนนั้นก็เลยเกิดเป็นไอเดียว่าจะสร้างบางอย่างขึ้นมาเพื่อจะคอยเก็บเว็บไซต์เหล่านี้เอาไว้ในที่เดียวกัน
Jerry เลยไปเอาลิสต์ของ David มาแล้วก็เปลี่ยนให้เป็น HTML (ภาษาคอมพิวเตอร์ชนิดหนึ่ง) แล้วก็สร้างเป็นเว็บไซต์เพื่อให้คนอื่น ๆ สามารถเข้ามาใช้ได้ด้วย ตอนแรกพวกเขาเรียกมันว่า “Jerry’s Guide to the World Wide Web” ซึ่ง Jerry หัวเราะระหว่างที่สัมภาษณ์ในสารคดีของ Stanford “โชคดีมากที่เราไม่ได้ใช้ชื่อนี้”
มันเป็นเหมือนความฝันที่ไม่น่าเชื่อ ไม่กี่เดือนหลังจากที่เริ่มปล่อยออกไป มีผู้ใช้งานเข้ามาจากกว่า 40 ประเทศทั่วโลกประมาณวันละพันกว่าคน ตอนนั้นเองที่พวกเขาเริ่มเห็นแล้วว่า “Jerry’s Guide to the World Wide Web” นั้นควรถูกเปลี่ยนชื่อ แต่จะเอาชื่ออะไรดี ?
ทั้งสองคนรู้แค่ว่ามันต้องเริ่มต้นด้วย “ya” ที่ย่อมาจาก “yet another” ที่แปลว่า “อีกอันหนึ่ง“ แล้วหลังจากนั้นก็เริ่มเปิดพจนานุกรมแล้วไปเจอ “Yahoo” แล้วเติม “!” เพื่อให้มันดูน่าสนใจขึ้นไปอีก
และนั้นคือจุดเริ่มต้นของ Yahoo! อดีตราชาแห่งโลกอินเทอร์เน็ต
ในปี 1995 Yahoo! ได้รับเงินลงทุน 2 ล้านดอลลาร์จาก Sequoia Capital ซึ่งเป็นบริษัทร่วมลงทุนที่มีชื่อเสียง Yahoo! เปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนมีนาคม 1995 โดยมีพนักงานเพียง 49 คน และในเดือนเมษายน 1996 บริษัทได้เสนอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) โดยระดมทุนได้ 33.8 ล้านดอลลาร์ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนในอนาคตของบริษัท
โมเดลธุรกิจเริ่มต้นของ Yahoo! อาศัยรายได้จากการโฆษณาบนเว็บไซต์ โดยเฉพาะแบนเนอร์โฆษณา นอกจากไดเรกทอรีแล้ว Yahoo! ยังขยายบริการอื่น ๆ กลายเป็นหนึ่งในพอร์ทัลอินเทอร์เน็ต (ศูนย์รวมของข้อมูลทุกอย่างบนโลกออนไลน์) ที่ใหญ่ที่สุดในช่วงปลายทศวรรษ 1990 การเติบโตอย่างรวดเร็วนี้ทำให้ Yahoo! สามารถขยายการให้บริการไปทั่วโลก โดยเปิดตัวเวอร์ชันภาษาต่าง ๆ และตั้งสำนักงานในหลายประเทศ
Google โอกาสที่ Yahoo! พลาดไป
ในยุคนั้น Yahoo! เป็นผู้นำในการจัดระเบียบข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต โดยใช้วิธีการจัดหมวดหมู่เว็บไซต์แบบไดเรกทอรี ซึ่งทำด้วยมือโดยทีมบรรณาธิการ แม้ว่าจะมีประสิทธิภาพในตอนแรกที่จำนวนเว็บไซต์มีไม่มาก แต่เมื่อเว็บไซต์มีจำนวนเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณ วิธีนี้ก็เริ่มไม่ทันการณ์
Yahoo! ครองตลาดการค้นหาสูงหรือ Search Engine มากถึง 50-60% ในช่วงปลายทศวรรษ 1990 และเป็นหนึ่งในเว็บไซต์ที่มีผู้เข้าชมมากที่สุดในโลกในปี 2002 ด้วยผู้ใช้งานเข้ามาค้นหาข้อมูลกว่า 2,000 ล้านครั้งต่อเดือน
ในช่วงนี้เองที่สองนักศึกษาปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด Larry Page และ Sergey Brin ได้เริ่มโครงการวิจัยที่จะเปลี่ยนโฉมหน้าของอุตสาหกรรม Search Engine บนอินเทอร์เน็ตไปตลอดกาล
Page และ Brin มีแนวคิดที่แตกต่างออกไปจาก Yahoo! แทนที่จะพยายามจัดหมวดหมู่เว็บไซต์ทั้งหมดด้วยมือ พวกเขาพัฒนาอัลกอริทึมที่ชื่อว่า PageRank ซึ่งจัดอันดับความสำคัญของเว็บเพจโดยพิจารณาจากจำนวนและคุณภาพของลิงก์ที่ชี้มายังเว็บเพจนั้น
แนวคิดนี้อยู่บนพื้นฐานที่ว่า เว็บเพจที่มีคุณภาพสูงมักจะได้รับการลิงก์จากเว็บไซต์อื่น ๆ มากกว่า
ในปี 1998 Google (ชื่อที่มาจากคำว่า “googol” ซึ่งหมายถึงเลข 1 ตามด้วยศูนย์ 100 ตัว) ถือกำเนิดขึ้นในโรงรถของ Susan Wojcicki อดีตซีอีโอของ YouTube (2014-2023) เว็บไซต์สำหรับการค้นหาข้อมูลแห่งใหม่นี้โดดเด่นด้วยหน้าตาที่เรียบง่าย สะอาดตา ต่างจาก Yahoo! ที่มีหน้าแรกแน่นไปด้วยข้อมูลและลิงก์มากมาย
แต่สิ่งที่ทำให้ Google แตกต่างอย่างแท้จริงคือคุณภาพของผลการค้นหา ในขณะที่ Yahoo! และเครื่องมือค้นหาอื่น ๆ มักให้ผลลัพธ์ที่ไม่เกี่ยวข้องหรือล้าสมัย Google สามารถนำเสนอผลลัพธ์ที่ตรงประเด็นและทันสมัยได้อย่างน่าทึ่ง
อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จไม่ได้มาโดยง่าย ในช่วงแรก หลายคนไม่เชื่อว่า Google จะสามารถสร้างรายได้จากการค้นหาได้ นักลงทุนหลายรายปฏิเสธที่จะลงทุนในบริษัทเกิดใหม่นี้ แต่ Page และ Brin ยังคงมุ่งมั่นกับวิสัยทัศน์ของพวกเขา
ขนาดที่ว่าในปี 1998 เมื่อ Larry Page และ Sergey Brin เสนอขาย Google ให้กับ Yahoo! ในราคาเพียง 1 ล้านดอลลาร์ แต่ Yahoo! ปฏิเสธ
ในเวลานั้น Google เพิ่งเริ่มต้น และ Page กับ Brin ต้องการเงินทุนเพื่อกลับไปเรียนต่อปริญญาเอก พวกเขาเชื่อว่า Yahoo! จะสามารถพัฒนาเทคโนโลยีการค้นหาของ Google ได้ดีกว่า แต่ Yahoo! ปฏิเสธข้อเสนอนี้ โดยให้เหตุผลว่าต้องการให้ผู้ใช้อยู่บนเว็บไซต์ของตนนานที่สุด (เพราะสร้างรายได้จากแบนเนอร์ ยิ่งมีคนเห็นมากและนานมากเท่าไหร่ยิ่งได้เงินเยอะ) และเชื่อว่าการค้นหาที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ผู้ใช้ออกจากเว็บไซต์เร็วเกินไป
นี่คือหนึ่งในความผิดพลาดครั้งแรก ๆ ของ Yahoo! เลย
จุดเปลี่ยนสำคัญมาถึงในปี 2000 เมื่อ Google เปิดตัวโปรแกรมโฆษณา AdWords ซึ่งอนุญาตให้นักโฆษณาซื้อคำค้นหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของพวกเขา โฆษณาเหล่านี้จะปรากฏเป็นลิงก์ที่ได้รับการสนับสนุนข้าง ๆ ผลการค้นหาปกติ นี่เป็นวิธีที่ชาญฉลาดในการสร้างรายได้โดยไม่รบกวนประสบการณ์การใช้งานของผู้ใช้
ในขณะเดียวกัน Yahoo! ยังคงพึ่งพารายได้จากแบนเนอร์โฆษณาแบบดั้งเดิมเป็นหลัก ซึ่งมักจะรบกวนผู้ใช้และมีประสิทธิภาพน้อยกว่า นอกจากนี้ Yahoo! ยังตัดสินใจใช้เทคโนโลยีการค้นหาจากบริษัทอื่น แทนที่จะพัฒนาเองเหมือน Google ซึ่งเป็นการตัดสินใจที่พิสูจน์แล้วว่าเป็นความผิดพลาดในระยะยาว
ปี 2002 เมื่อ Yahoo! มีโอกาสอีกครั้งในการซื้อ Google ในราคา 5,000 ล้านดอลลาร์ แต่ Terry Semel ซีอีโอของ Yahoo! ในขณะนั้น เห็นว่าราคานี้สูงเกินไป พยายามต่อรองราคาลงมาเหลือ 3,000 ล้านดอลลาร์ แต่ Page และ Brin ปฏิเสธเพราะเชื่อมั่นในศักยภาพของ Google และต้องการราคาที่สูงกว่านั้น
นี่เป็นการตัดสินใจที่ผิดพลาดอีกครั้งของ Yahoo! แสดงให้เห็นถึงการขาดวิสัยทัศน์และความเข้าใจในศักยภาพของเทคโนโลยีการค้นหาแบบใหม่ Yahoo! ยังคงยึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิมที่เน้นการเป็นพอร์ทัลและการโฆษณาแบบแบนเนอร์ ในขณะที่ Google มองเห็นโอกาสในการปฏิวัติวิธีการที่ผู้คนใช้อินเทอร์เน็ต
ความผิดพลาดนี้ของ Yahoo! ไม่เพียงแต่ทำให้พวกเขาพลาดโอกาสในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่จะเปลี่ยนแปลงโลกเท่านั้น แต่ยังทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับคู่แข่งที่แข็งแกร่งในอนาคต ภายในไม่กี่ปีต่อมา Google กลายเป็นยักษ์ใหญ่ในวงการเทคโนโลยี มีมูลค่าตลาดสูงกว่า Yahoo! หลายเท่า และในที่สุดก็แซงหน้า Yahoo! ในฐานะผู้นำตลาด Search Engine ไปได้
บทเรียนหลัง Yahoo! พ่ายแพ้
บทเรียนสำคัญจากเหตุการณ์นี้คือความสำคัญของการมองการณ์ไกลและการประเมินศักยภาพของเทคโนโลยีใหม่ ๆ อย่างถูกต้อง บริษัทต้องพร้อมที่จะลงทุนในนวัตกรรมที่อาจเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรม แม้ว่าจะดูเหมือนมีความเสี่ยงในระยะสั้น การยึดติดกับโมเดลธุรกิจเดิมและการปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงอาจนำไปสู่การสูญเสียความได้เปรียบทางการแข่งขันอย่างรวดเร็ว
Google ยังคงสร้างนวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง เปิดตัวบริการใหม่ ๆ เช่น Google News, Gmail และ Google Maps ซึ่งทั้งหมดนี้เชื่อมโยงกับบริการค้นหาหลัก ทำให้ผู้ใช้มีเหตุผลมากขึ้นที่จะอยู่ในระบบนิเวศของ Google รวมถึงเป็นเจ้าของระบบปฏิบัติการบนมือถือที่คนใช้มากที่สุดอย่าง Android ซึ่งเกิดได้เพราะความเปลี่ยนแปลงที่ทันท่วงทีต่อกระแส iPhone
กลยุทธ์นี้ประสบความสำเร็จอย่างท่วมท้น ภายในไม่กี่ปี Google กลายเป็นชื่อที่เป็นสามัญที่เราเรียกกันติดปาก คำว่า “google” กลายเป็นคำกริยาที่หมายถึงการค้นหาข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต ในขณะที่ Yahoo! เริ่มตามหลังและไม่สามารถปรับตัวได้ทันกับการเปลี่ยนแปลงของตลาด
ถึงตอนนี้ผ่านมายี่สิบกว่าปี Google ครองตลาด Search Engine อยู่ที่ราวๆ 91% ส่วน Yahoo! นั้นจากครองตลาดเหลือเพียงแค่ 1.1% เท่านั้น
ในยุคที่เทคโนโลยีและพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เรื่องราวของ Google และ Yahoo! เป็นบทเรียนสำคัญสำหรับธุรกิจทุกขนาด การมุ่งเน้นที่นวัตกรรม การให้ความสำคัญกับประสบการณ์ของผู้ใช้ และความสามารถในการปรับตัวกับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้
Google เองตอนนี้ก็ต้องปรับตัวเพื่อสู้กับคู่แข่งอย่าง Perplexity ที่เป็น AI Search เช่นกัน
นอกจากนี้ ความผิดพลาดที่ Yahoo! ไม่ได้ซื้อ Google ยังเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของความสำคัญในการประเมินมูลค่าของบริษัทเทคโนโลยีที่มีนวัตกรรม การมองเพียงตัวเลขทางการเงินในปัจจุบันอาจทำให้พลาดโอกาสในการลงทุนที่มีศักยภาพสูงในอนาคต ในกรณีของ Google มูลค่าของบริษัทไม่ได้อยู่ที่รายได้ในขณะนั้น แต่อยู่ที่ศักยภาพของเทคโนโลยีและแนวทางที่โฟกัสอย่างชัดเจน
ในโลกเทคโนโลยี ที่หนึ่งไม่ได้การันตีว่าจะชนะตลอดไป ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว การตัดสินใจที่ถูกต้องในช่วงเวลาสำคัญอาจเป็นจุดเปลี่ยนระหว่างการเป็นผู้นำตลาดและการตามหลังคู่แข่ง
ปัจจุบัน เรื่องราวของ Yahoo! และ Google ถือเป็นกรณีศึกษาที่สำคัญในโรงเรียนธุรกิจทั่วโลก เตือนใจผู้บริหารและนักลงทุนให้ตระหนักถึงความสำคัญของการมองการณ์ไกล การเปิดรับนวัตกรรมใหม่ ๆ และที่สำคัญคือต้องไม่ยึดติดกับความสำเร็จที่ผ่านมา จนไม่กล้าลองทำอะไรใหม่ ๆ ที่ต่างออกไปจากเดิม