วันเวลาของการยุติการให้บริการ TikTok ในสหรัฐอเมริกาก็เกิดขึ้นจริง ๆ เนื่องจากคำตัดสินของศาลสูงที่ให้แบน TikTok ตามข้อเสนอของรัฐบาลและสภาคองเกรสที่มีผลแล้วในวันที่ 19 มกราคมที่ผ่านมา

TikTok Ban
ข้อความที่ปรากฏขึ้นมาสำหรับผู้ใช้ TikTok ในสหรัฐฯ ในวันที่ 19 มกราคม

สิ่งที่คนสนใจก็คงไม่พ้นคำถามที่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ? จะกระทบกับคนประเทศอื่นด้วยไหม ? แล้วชะตากรรมของ TikTok จะจากสหรัฐฯ ไปตลอดกาลแน่เหรอ ก่อนจะตอบคำถามนั้นได้ ก็คงต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจก่อนว่าทำไม TikTok ถึงถูกแบน แล้วการแบนจะมีผลอย่างไรในทางปฏิบัติ

ทำไมถึงโดนแบน ?

นักการเมืองและเจ้าหน้าที่รัฐในสหรัฐฯ แสดงความกังวลเกี่ยวกับภัยจาก TikTok ที่อาจเป็นเครื่องมือของรัฐบาลจีนเพื่อสอดแนม ล้วงข้อมูลชาวอเมริกัน และกระทบความมั่นคงแห่งชาติมาสักพักใหญ่แล้ว แม้ว่าการแบนจะเกิดขึ้นในยุคของรัฐบาล โจ ไบเดน (Joe Biden) แต่การผลักดันจริง ๆ เกิดขึ้นในยุคของ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ในการดำรงตำแหน่งสมัยแรก (2017 – 2021) ที่กดดันให้ ByteDance ขายกิจการของ TikTok ในสหรัฐฯ

TikTok เป็นแอปฯ สายลับคอมมิวนิสต์จีนที่ทำให้ลูกหลานเรามัวเมา…และแพร่กระจายโฆษณาชวนเชื่อแบบคอมมิวนิสต์

ทอม ค็อตตอน (Tom Cotton) ส.ว. รัฐอาร์คันซอ จากพรรครีพับลิกัน

สิ่งที่นำมาสนับสนุนข้อกล่าวอ้างนี้คือการที่ ByteDance ที่เป็นบริษัทแม่ของ TikTok ที่จีนมีความใกล้ชิดกับรัฐบาลคอมมิวนิสต์ของจีน อีกทั้งยังมีกฎหมายหลายฉบับที่มีอำนาจในการควบคุมข้อมูลของแพลตฟอร์มต่าง ๆ ที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจีน เช่น กฎหมายข่าวกรองแห่งชาติ ที่บังคับให้ธุรกิจจีนต้องร่วมมือกับรัฐบาลในงานด้านข่าวกรอง หรือกฎหมายอัลกอริทึม ที่บังคับให้บริษัทต่าง ๆ ต้องเปิดเผยข้อมูลให้รัฐบาล หรือกฎหุ้นทองคำ (Golden Share) ที่ต้องยอมให้รัฐบาลเข้าไปถือหุ้นและมีส่วนในการตัดสินใจของบริษัทก็ตาม

โดนัลด์ ทรัมป์ เป็นทั้งผู้ริเริ่มและคัดค้านการแบน TikTok

ในท้ายที่สุด ความกังวลนี้ก็นำมาสู่การที่พรรคการเมืองใหญ่ทั้ง 2 พรรคอย่างเดโมแครตและรีพับลิกันร่วมกันเสนอกฎหมายที่มีชื่อเต็มว่ารัฐบัญญัติการคุ้มครองอเมริกันชนจากแอปพลิเคชันที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐศัตรูต่างชาติ (Protecting Americans from Foreign Adversary Controlled Applications Act) ที่ให้ทางเลือก ByteDance ขายกิจการ TikTok สหรัฐฯ ไม่เช่นนั้นก็ต้องถูกแบน ก่อนที่ไบเดนจะรับลูกจากสภาลงนามในกฎหมายฯ เมื่อเดือนเมษายน และได้รับการรับรองโดยศาลสูงเมื่อวันที่ 27 ธันวาคมปีที่แล้ว

กฎหมายขีดเส้นตายให้ ByteDance ขาย TikTok ในสหรัฐฯ ภายในวันที่ 19 มกราคม ซึ่งดูเหมือนว่า TikTok และ ByteDance จะยืนกรานในความบริสุทธิ์ของตัวเอง ไม่ยอมขายจนวินาทีสุดท้าย โดยบอกว่าการขายเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ทั้งในทางธุรกิจและเทคโนโลยี นำไปสู่การตัดสินใจยุติการให้บริการที่สุด

ปัจจุบัน มีชาวอเมริกันมากถึง 170 ล้านคนที่เข้าใช้งาน TikTok และมีผู้ที่ใช้งานเป็นประจำต่อเดือนถึง 102 ล้านคน ถือเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียที่ได้รับความนิยมมากที่สุดเป็นอันดับ 5 ในประเทศ รองจาก YouTube, Facebook, Instagram และ Pinterest ตามลำดับ จึงทำให้การแบนกระทบกับผู้ใช้จำนวนมาก

การแบนจะมีผลทางกฎหมายยังไง

กฎหมายฉบับนี้บังคับแบนแอปพลิเคชันที่ควบคุมโดย ‘ศัตรูต่างชาติ’ (foreign adversary) ได้แก่ ByteDance หรือ TikTok ซึ่งรวมถึงบริษัทลูกที่อยู่ภายใต้การควบคุมทั้งทางตรงทางอ้อมของทั้ง 2 บริษัท ซึ่งอย่างที่เห็นกันว่า CapCut และ Lemon8 ก็โดนด้วย ตัวกฎหมายแบน TikTok ยังมีผลครอบคลุมไปถึงบริษัทโซเชียลมีเดียที่ถูกควบคุมและได้รับการตัดสินโดยประธานาธิบดีแล้วว่าเป็นภัยสำคัญต่อความมั่นคงแห่งชาติ แต่ก็มีข้อยกเว้นให้แก่แอปฯ ที่ใช้สำหรับการโพสต์รีวิวสินค้า ให้คะแนนธุรกิจ หรือข้อมูลเกี่ยวกับการท่องเที่ยว

สิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังผ่านพ้นเส้นตายในวันที่ 19 มกราคม TikTok จะหยุดให้บริการเข้าถึงแอปฯ ในสหรัฐฯ ซึ่งผู้ใช้ก็จะใช้งานไม่ได้แล้ว และถึงแม้ TikTok จะไม่หยุดให้บริการ ร้านค้าแอปฯ ของทุกเจ้าก็ต้องถอด TikTok ออกไปตามกฎหมาย รวมถึงจะไม่มีการออกตัวอัปเดตผ่านทั้ง App Store และ Play Store อีกต่อไป

กระทรวงยุติธรรมได้รับมอบหมายตามกฎหมายให้เป็นผู้บังคับใช้กฎหมายแบน TikTok โดยการสั่งปรับผู้ให้บริการในสหรัฐฯ ที่ยังให้บริการเข้าถึงแอปฯ TikTok ในสหรัฐฯ ไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง เป็นเงิน 5,000 เหรียญ (ราว 172,554 บาท) ต่อจำนวนผู้ใช้งาน ตัวอย่างคือ Oracle ที่ให้บริการเซิร์ฟเวอร์กับ TikTok ในสหรัฐฯ ก็อาจจะต้องยุติการให้บริการในส่วนนี้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี รัฐบาลของไบเดนออกมาบอกว่าจะยกให้เรื่องการบังคับใช้กฎหมายแบน TikTok เป็นอำนาจตัดสินใจของรัฐบาลทรัมป์ที่เข้ามาทำงานวันแรกในวันที่ 20 มกราคม ซึ่งก็คือวันจันทร์นี้

ทิม วอลซ์ (ที่มา รัฐบาลมินเนโซตา)

ซึ่งในประเด็นนี้ ทิม วอลซ์ (Tim Walz) ว่าที่รองประธานาธิบดีของทรัมป์ออกมาบอกว่า ทรัมป์ให้ความสำคัญกับ TikTok ในฐานะแพลตฟอร์ม “ที่ดีเยี่ยม” ที่ชาวอเมริกันใช้และช่วยให้ทีมหาเสียงของเขาในช่วงการแข่งขันในสนามประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้วเชื่อมกับผู้ลงคะแนนเสียงรุ่นใหม่ได้อย่างดี แต่ในขณะเดียวกันก็ให้ความสำคัญกับการปกป้องข้อมูลชาวอเมริกันด้วย ถือเป็นการเปลี่ยนท่าทีจากในอดีตชนิดหน้าเป็นหลังมือเลยทีเดียว

คนจะทยอยหนีไปแอปฯ ใหม่

TikTok ไม่ได้เป็นเพียงแค่พื้นที่ในการสื่อสารและติดตามเนื้อหาใหม่ ๆ ของชาวอเมริกันเท่านั้น แต่ยังเป็นตลาดขนาดใหญ่สำหรับทำมาหากินทั้งชาวอเมริกันและผู้คนจำนวนมาก ทำให้ต่างก็พยายามไปตามหาแอปฯ ใหม่ที่ฟังก์ชันทั้งในด้านโซเชียลและตลาดออนไลน์ที่คล้าย ๆ กับ TikTok

ตอนนี้ก็เริ่มเห็นชาว TikToker ในสหรัฐฯ ที่ทยอยไปแอปฯ จีนอื่นอย่าง RedNote (หรือชื่อในจีนคือ Xiaohongshu) พร้อมขนานนามให้ว่าเป็นพื้นที่ลี้ภัยของผู้ใช้ TikTok ซึ่งผู้ใช้เดิมที่เป็นชาวจีนก็ดูจะต้อนรับเป็นอย่างดี

#elonmusk #mayemusk #rednote
#elonmusk #mayemusk #rednote

นอกจากผู้ใช้ในสหรัฐฯ แล้ว บรรดาคนดังอย่าง ทอม เดลีย์ (Tom Daley) นักดำน้ำจากสหราชอาณาจักร และ bbno$ แรปเปอร์จากแคนาดา รวมถึงผู้ใช้ในประเทศอื่น ๆ ก็ย้ายไปแอปฯ ใหม่เพื่อสื่อสารกับผู้ใช้ชาวอเมริกัน บางรายอย่าง เมย์ มัสก์ (Maye Musk) แม่ของ อีลอน มัสก์ (Elon Musk) ก็ล่วงหน้าไปเปิดบัญชีไว้ก่อนแล้ว จนผู้ติดตามทะลุ 600,000 คน !

แต่ผู้ใช้ชาวจีนก็เตือนเพื่อนใหม่ชาวอเมริกันว่า การมาของกลุ่มผู้ใช้จากโลกตะวันตกก็จะต้องทำให้รัฐบาลพยายามหาทางออกเพื่อมาควบคุมเนื้อหาภาษาอังกฤษแน่นอน เพราะ RedNote ต่างกับ TikTok ตรงที่ผู้ใช้ทุกคนมาอยู่ในแพลตฟอร์มเดียวกันหมด ส่วน TikTok จะมีแบ่งเวอร์ชันจีนในชื่อ Douyin แยกจากเซิร์ฟเวอร์อื่นของโลก ซึ่งรัฐบาลจีนขึ้นชื่ออยู่แล้วในเรื่องการเซนเซอร์เนื้อหาละเอียดอ่อนบนโลกออนไลน์ โดยเฉพาะเรื่องการเมือง

ใครจะเข้ามาซื้อ TikTok ?

มีกลุ่มธุรกิจหลายรายที่ให้ความสนใจมาซื้อ TikTok จากมือของ ByteDance เช่น แฟรงก์ แม็กคอร์ต (Frank McCourt) นายทุนอสังหาริมทรัพย์ที่แสดงความสนใจร่วมกับ เควิน โอเลียรี (Kevin O’Leary) นักลงทุนจาก Shark Tank ที่มีข้อเสนอรวมกันมากกว่า 20,000 ล้านเหรียญ (ราว 690,219 ล้านบาท)

แม็กคอร์ตชี้ว่าหากดีลนี้สำเร็จจะมีการปรับโครงสร้าง TikTok และให้สิทธิกับผู้ใช้ในการเข้าจัดการข้อมูลตัวเองมากขึ้น โดยการย้ายแพลตฟอร์มไปยังอินเทอร์เน็ตโปรโตคอลแบบโอเพนซอร์สที่มีความโปร่งใส

นอกจากนี้ สตีเวน มนูชิน (Steven Mnuchin) อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังในยุคทรัมป์ 1 เช่นเดียวกับ จิมมี่ โดนัลด์สัน (Jimmy Donaldson) หรือ MrBeast, บ็อบบี โคทิก (Bobby Kotick) อดีตผู้บริหาร Activision Blizzard และมัสก์ ก็ได้แสดงความสนใจเข้าซื้อด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี TikTok ชี้ว่าการขายบริษัทไปพร้อมกับอัลกอริทึมเป็นไปไม่ได้ ซึ่งจะทำให้ TikTok ในสหรัฐฯ ถูกตัดขาดจากเซิร์ฟเวอร์อื่น ๆ และถึงอยากขาย แต่ด้วยข้อจำกัดทางด้านกฎหมายและนโยบาย รัฐบาลจีนก็คงไม่มีทางปล่อยให้การขายเกิดขึ้นแน่นอน

ความสัมพันธ์สหรัฐฯ – จีน จะเป็นไงต่อ ?

TikTok เป็นหนึ่งในศูนย์กลางความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่กำลังเดือดได้ที่ สองมหาอำนาจขับเคี่ยวกันในด้านเทคโนโลยี การแบน TikTok ในสหรัฐฯ ที่เป็นตลาดใหญ่ก็ถือเป็นการลดช่องทางทำมาหากินของธุรกิจยักษ์ใหญ่จากจีนอย่าง ByteDance อีกทั้งยังเป็นการประกาศศึกกับแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียจีนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของสหรัฐฯ ด้วย

ขณะที่ฝั่งรัฐบาลจีนก็มาปฏิเสธตลอดว่าข้อกล่าวหาเรื่องการเก็บข้อมูลของพลเมืองอเมริกันนั้นไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด อีกทั้งมีการวิจารณ์จากกระทรวงการต่างประเทศจีนว่าการแบน TikTok เป็นการใช้ข้ออ้างด้านความมั่นคงแห่งชาติที่เกินเลยในการกำจัดธุรกิจของประเทศคู่แข่ง และเป็นวิธีคิดแบบ “หัวขโมย” ที่พร้อมช่วงชิงสิ่งที่คู่แข่งมีอยู่

หลายฝ่ายวิเคราะห์ว่าจีนอาจใช้การแบน TikTok เป็นเครื่องมือทางการเมืองระหว่างประเทศในการวิจารณ์สหรัฐฯ มากขึ้น และออกมาตรการที่ให้ผลเสียกับสหรัฐฯ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและการเมืองมากขึ้นเช่นกัน

ด้าน TikTok แม้จะตกเป็นจำเลยเบอร์ 1 แต่ก็ได้ออกมาแสดงความเห็นโจมตีรัฐบาลและองค์กรทางการเมืองอเมริกันในลักษณะที่ยิ่งทำให้สถานการณ์แย่ลงไปอีก ทั้งการวิจารณ์ว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ไม่มีความชัดเจน การบอกว่าบริษัทพยายามต่อสู้เพื่อคุ้มครองสิทธิทางรัฐธรรมนูญของประชาชน และการพยายามสื่อสารกับผู้ใช้งานในสหรัฐฯ ให้ลุกขึ้นมาต่อต้านแนวทางของรัฐบาล ซึ่งหลายฝ่ายมองว่ามันข้ามขอบเขตของแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียไปล้ำในส่วนของพื้นที่ทางการเมืองแล้ว

โจว โซ่วจือ (Shou Zi Chew) ซีอีโอของ TikTok ออกมาแสดงความเห็นว่า “เราจะต่อสู้เพื่อคุ้มครองสิทธิในการแสดงความคิดเห็นตามรัฐธรรมนูญของชาวอเมริกันกว่า 170 ล้านคน”

ในทางตรงกันข้าม ว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์แสดงความเห็นว่าตั้งใจว่าจะช่วย TikTok โดยให้คำมั่นกับ สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ประธานาธิบดีจีน พร้อมที่จะขยายเวลาการตัดสินใจขายกิจการของ TikTok ไปอีก 90 วันหลังจากที่เขาดำรงตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคมนี้ ซึ่งทางโจวก็ตอบรับเป็นอย่างดี

ชาติอื่นเตรียมตัดสินใจ

สหรัฐฯ ไม่ใช่ชาติแรกที่แบนหรือคิดจะแบน TikTok กระแสการแบน TikTok จากความกังวลด้านความมั่นคง การเผยแพร่ภาพความรุนแรงที่เกิดขึ้นบนแพลตฟอร์ม และเหตุผลอื่น ๆ มีมาสักพักหนึ่งแล้ว จนถึงตอนนี้มี 9 ประเทศทั่วโลกที่แบน TikTok ในแบบที่ว่าห้ามใช้เลย อาทิ อินเดีย อัลแบเนีย เนปาล และจอร์แดน โดยสหรัฐฯ ก็กำลังกลายเป็นประเทศที่ 10

ขณะที่ อีกหลายรัฐบาลทั่วโลกอย่าง สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เดนมาร์ก แคนาดา ฝรั่งเศส เนเธอร์แลนด์ นอร์เวย์ ไอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ ไต้หวัน รวมถึงองค์กรของสหภาพยุโรปก็ได้มีการห้ามเจ้าหน้าที่รัฐใช้ TikTok ในทางราชการแล้ว

จะเห็นได้ว่าในกลุ่มหลังนี้คือพันธมิตรที่พร้อมเดินตามรอยสหรัฐฯ ในฐานะมหามิตรที่ต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่ในสงครามการค้าและเทคโนโลยีด้วยกัน การแบนในครั้งนี้ของสหรัฐฯ ก็อาจทำให้ประเทศที่ยังลังเลอยู่อาจตัดสินใจแบน TikTok เหมือนกันด้วย

คนนอกสหรัฐฯ จะยังใช้ได้อยู่ไหม ?

สำนักข่าว Reuters ชี้ว่าผลจากการวิเคราะห์ข้อมูลพบว่าการที่ TikTok ทำงานได้อย่างราบรื่นจำเป็นต้องพึ่งผู้ให้บริการเจ้าอื่น ๆ กว่า 100 เจ้า ในจำนวนนี้มีบางส่วนที่อยู่ในสหรัฐฯ ผลของกฎหมายก็อาจทำให้บริษัทเหล่านี้ต้องเลิกให้บริการ TikTok ซึ่งชี้ว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงก็จะกระทบกับผู้ใช้งาน TikTok นอกสหรัฐฯ แน่นอน แต่บริษัทกำลังหาทางแก้ไขปัญหานี้อยู่

นี่ยังไม่รวมการที่เนื้อหาจากฝั่งโลกตะวันตกบน TikTok ที่ก็จะหายหน้าหายตาไปมากขึ้นเรื่อย ๆ เพราะการแบนที่ก็เริ่มลุกลามในหลายประเทศหลังจากที่การแบนในสหรัฐฯ มีผล

TikTok ยังมีโอกาสอีกไหม ?

ทรัมป์เคยประกาศไว้ว่าจะหาทางช่วย TikTok และเคยกล่าวหาว่าการแบน TikTok จะช่วยให้โซเชียลมีเดียอย่าง Facebook และ Instagram ของ Meta ผูกขาดตลาดโซเชียลมีเดียได้อย่างเบ็ดเสร็จ แม้ว่าตัวเองจะเป็นผู้ริเริ่มการแบน TikTok ก็ตาม

อย่างไรก็ดี ต้องไม่ลืมว่ากฎหมายแบน TikTok เป็นการร่วมกันผลักดันของพรรคใหญ่ทั้งสองพรรค ไม่ได้เป็นแนวคิดแต่ทางฝั่งของเดโมแครตที่เป็นพรรคของไบเดนแต่เพียงฝ่ายเดียว และในหลายครั้งก็เป็นทางฟากรีพับลิกัน ที่เป็นพรรคที่เสนอชื่อทรัมป์ด้วยซ้ำที่เป็นฝ่ายขัดขวางการขยายการบังคับใช้กฎหมายที่ว่านี้

ตัวอย่างก็คือการที่ ชัก ชูเมอร์ (Chuck Schumer) ส.ว. จากฟากเดโมแครตที่พยายามจะซื้อเวลาให้ TikTok เพื่อให้มีธุรกิจอเมริกันมาซื้อกิจการไป โดยการเสนอกฎหมายขยายเวลาแบน เพราะไม่อยากให้แพลตฟอร์มที่มีผู้ใช้อเมริกันจำนวนมากใช้งานและพึ่งพาในการดำเนินธุรกิจต้องปิดไปอย่างดื้อ ๆ แต่ก็เป็นทาง ส.ว. ฝั่งรีพับลิกันอย่าง ทอม ค็อตตอน (Tom Cotton) จากรัฐอาร์คันซอที่ขัดขวางความพยายามนี้ โดยบอกว่า TikTok มีเวลามากเกินพอแล้ว

สำหรับรัฐบาลใหม่ของทรัมป์ แม้ว่าตัวเขาจะแสดงความพยายามว่าจะช่วยเหลือ TikTok แต่นโยบายต่างประเทศของทรัมป์ไปในทิศทางตรงกันข้าม โดยมีแนวโน้มที่จะเพิ่มมาตรการที่เป็นลบต่อจีนเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ บวกกับการที่ยังไม่มีการนำเสนอแนวทางช่วยเหลือที่ชัดเจน

ทั้งนี้ ต้องแยกก่อนระหว่างความพยายามจะช่วย TikTok ในฐานะแพลตฟอร์มกับความเห็นเกี่ยวกับ TikTok ในฐานะเป็นเครื่องมือของจีน เพราะกฎหมายชี้ชัดว่า TikTok จะอยู่รอดจากการแบนได้ก็คือต้องถูกขายให้ธุรกิจในสหรัฐฯ พ้นจากเงื้อมมือบริษัทแม่ที่จีนเท่านั้น และก็เป็นสิ่งที่นักการเมืองทุกค่ายเห็นพ้องกัน

TikTok คืนชีพ ? โอกาส หรือความฝัน

ในวันที่ 20 มกราคมซึ่งเป็นวันแรกของการดำรงตำแหน่งของทรัมป์ TikTok ก็กลับมาให้บริการอีกครั้งหลังจากผ่านไปราว 12 ชั่วโมง TikTok ให้เหตุผลส่วนหนึ่งว่ามาจากการที่ทรัมป์ให้คำมั่นว่าจะช่วย ‘กอบกู้’ TikTok ให้ยังมีเวลาตัดสินใจ ด้วยการออกคำสั่งทางบริหาร (Executive Order) ที่จะยืดเวลาการบังคับใช้กฎหมายแบน TikTok ออกไปอีก

ซึ่งการที่ TikTok ปิดตัวลงไปเมื่อวันที่ 19 มกราคมไม่ได้เป็นผลทางกฎหมายที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่เป็นการตัดสินใจของ TikTok เองที่ปิดแอปฯ ในสหรัฐฯ ก่อนถึงกำหนดด้วยซ้ำ เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่ารัฐบาลไบเดนจะยกให้เรื่องการบังคับใช้กฎหมายเป็นการตัดสินใจของรัฐบาลในยุคทรัมป์

เพลย์นี้ก็อาจทำให้คนตั้งคำถามได้ว่าหรือจะเป็นเกมการเมืองของทรัมป์ที่ร่วมกับ TikTok จากการที่ TikTok ที่วิจารณ์รัฐบาลไบเดนมาตลอด แต่มาชื่นชมทรัมป์แบบหน้าชื่นตาบาน (แม้ว่าทรัมป์จะเป็นต้นคิดแบน TikTok ก็ตาม)

อย่างไรก็ดี คำสั่งทางบริหารก็จะมีผลแค่ชั่วคราวเท่านั้น เพราะยังไงกฎหมายแบน TikTok ก็ผ่านความเห็นชอบของสภาคอนเกรส และศาลสูงก็ให้การรับรอง ดังนั้น จึงเป็นเพียงแค่การประวิงเวลารอขายของ TikTok เท่านั้น หากจะช่วย TikTok ได้ มีแต่ต้องออกกฎหมายมาแก้

สุดท้ายแล้ว ไม่ว่า TikTok จะเปิดให้บริการต่อไปหรือไม่ แต่สิ่งที่แน่นอนก็คือสหรัฐฯ ไม่มีทางยอมให้ TikTok ในแบบที่ยังเป็นของธุรกิจจีนควบคุมอยู่ให้บริการต่อไปในสหรัฐฯ แน่นอน