โดย : ดร.ธีระพล ถนอมศักดิ์ยุทธ
ประธานคณะผู้บริหาร ด้านความยั่งยืนองค์กร และการพัฒนากลยุทธ์
เครือเจริญโภคภัณฑ์

ทะยานขึ้นอย่างต่อเนื่องสำหรับจำนวนผู้ใช้งาน AI โดยเฉพาะ Chat GPT โดยบริษัท โอเพนเอไอ (Open AI) ที่มีผู้ใช้งานเฉลี่ย 200 ล้านคนทั่วโลก มีอัตราการเยี่ยมชมกว่า 53 ล้านการเยี่ยมชมต่อวัน บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ติดอันดับในนิตยสารฟอร์จูน 500 ถึง 92% ใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ไม่ต่างจาก Deep Seek, Chatbot AI น้องใหม่จากจีนที่ก่อตั้งโดยกองทุนจีน High-Flyer มียอดผู้ใช้งานเฉลี่ย 22 ล้านคนต่อวัน  บรรดาบริษัทชั้นนำจากจีน อาทิ เทนเซ็นต์ ไป่ตู้ หรืออาลีบาบา ก็นำโมเดลของ Deepseek ไปไว้ในบริการคลาวด์ของตนเอง

แพลตฟอร์ม AI เหล่านี้ ไม่เพียงเป็น เครื่องมือที่ให้ข้อมูลแก่ผู้ใช้ แต่ความสามารถ การใช้เหตุผล (Reasoning) แบบเฉพาะเจาะจง (Hyper-Personalization) กำลังชี้นำ การตัดสินใจ ที่สำคัญยิ่งยวดของมนุษย์ โดยเฉพาะเมื่อการตัดสินใจเหล่านั้นมิใช่เพียงแค่เรื่องของการทำงาน หากยังรวมถึงเรื่องราวในชีวิตประจำวันแทบทุกด้าน

ดังที่นักวิจัยจากศูนย์เลเวอร์ ฮัลม์ สำหรับอนาคตของปัญญาประดิษฐ์ มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์ หรือ “Cambridge’s Leverhulme Centre for the Future of Intelligence (LCFI)” เปิดเผยผ่านบทความ “Coming AI-driven economy will sell your decisions before you take them, researchers warn” ระบุว่า 

AI ที่มีลักษณะเป็นมนุษย์ จะเข้าถึงข้อมูลทางจิตวิทยา และพฤติกรรมที่เป็นส่วนตัวอย่างมาก ผสมผสานความรู้เกี่ยวกับพฤติกรรมออนไลน์ของเรา ให้เข้ากับความสบายใจของเรา เลียนแบบบุคลิก และคาดการณ์การตอบสนองที่ต้องการ ทั้งนี้เพื่อสร้างความไว้วางใจ และความเข้าใจในระดับที่สามารถชักจูงทางสังคมในระดับอุตสาหกรรมได้

มนุษย์อาจกลายเป็นเพียง “ผู้รับคำแนะนำ” จาก AI ที่ประมวลข้อมูลได้รวดเร็วกว่า มีข้อมูลแน่นกว่า และดูเป็นเหตุเป็นผลมากกว่า 

AI คิดเป็นเหตุเป็นผล ไร้ความเหนื่อยล้า

สาระสำคัญของประเด็นนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะ AI คิดได้รวดเร็วกว่า แต่เป็นเพราะ มันไม่เหนื่อยล้า ไม่มีอารมณ์ และความลำเอียง ซึ่งจะทำให้ดูเหมือนว่า การตัดสินใจของเราที่มาจาก AI นั้นมีคุณภาพมากกว่า

หากวิเคราะห์ในระดับมหภาค อาทิ ด้านการอุตสาหกรรม AI สามารถคาดการณ์แนวโน้มการตลาด ควบคุมระบบห่วงโซ่อุปทาน และบริหารทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ ดังที่บรรดาบริษัทยักษ์ใหญ่ที่ติดอันดับในนิตยสารฟอร์จูนต่างใช้ AI ตามที่กล่าวจั่วหัวไว้ข้างต้น สิ่งนี้ทำให้บริษัทเหล่านี้อาจมีศักยภาพเหนือกว่าบริษัทที่ยังพึ่งพาการตัดสินใจของมนุษย์ อย่างๆน้อย คือ เรื่องของความรวดเร็วของการบริหารข้อมูล อันนำมาสู่การตัดสินใจ เป็นต้น

ด้านการแพทย์ และสุขภาพ เป็นอีกประเด็นที่โดดเด่น และได้รับความสนใจเมื่อมาเปิดประเด็นด้าน AI ว่าที่จริงปัจจุบัน AI สามารถประมูลข้อมูลแบบ Hyper-Personalization ผ่านเทคโนโลยี Deep-Learning เจาะข้อมูลมหาศาลจาก IoT และจีโนมของแต่ละบุคคล คาดการณ์โรคที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า และพบความผิดพลาดน้อยที่สุด ดังผลงานวิจัยทางการแพทย์ พัฒนา AI วินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง จากมหาวิทยาลัยไฮเดลเบิร์ก ประเทศเยอรมนี “Convolutional Neural Network” หรือ “CNN” สามารถแยกแยะรอยโรคชนิดที่เป็นมะเร็ง โรคผิวหนังอื่นๆ และผิวหนังปกติ จากภาพถ่ายผิวหนัง 100,000 ภาพ ได้แม่นยำถึง 95% ในขณะที่แพทย์วินิจฉัยได้แม่นยำเพียง 86.6% ซึ่งสามารถลดการผ่าตัดที่ไม่จำเป็นในผู้ป่วยมะเร็งแต่ละเคสมากขึ้น

AI ที่แม่นยำกว่ามนุษย์ จึงอาจนำไปสู่ยุคที่ มนุษย์ไม่สามารถแข่งขันกับการตัดสินใจของ AI ได้อีกต่อไป

Big Data และ IoT : โลกที่อนาคตถูกคาดการณ์ได้ทั้งหมด

เป็นข่าวคราวใหญ่โต เมื่อ Big Data ถูกพาดพิงในการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาในปี 2559 ผ่านบทความ “บิ๊กดาต้า” กับ “เลือกตั้ง” ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ในเว็ปไซต์กรุงเทพธุรกิจ โดยคุณธนชาติ นุ่มนนท์ ที่ระบุถึงความเห็นของทีมงานหาเสียงของพรรครีพับลิกัน สำหรับความพ่ายแพ้ของนางฮิลลารี คลินตัน โดยระบุว่า ข้อมูลที่พรรคเดโมแครตมีอยู่ไม่เป็น “ปัจจุบัน” ทำให้วางกลยุทธ์การหาเสียงบางด้านผิดพลาด นอกจากนี้ยังมีการกล่าวถึงการจ้าง “Cambridge Analytica” นำข้อมูลส่วนบุคคล มาใช้วิเคราะห์ และนำเอไอมาสร้างโมเดลหาเสียง

เป็นไปได้ไหมว่า การตัดสินใจของผู้ลงคะแนนแต่ละครั้ง อาจถูกกำหนดล่วงหน้าอย่างแนบเนียน ที่ใช้เทคโนโลยีการเก็บ และวิเคราะห์ Big Data เข้ามาช่วย “นำทาง” การตัดสินใจ

อีกเทคโนโลยีหนึ่งที่มักได้รับการกล่าวถึงควบคู่กับ AI และ Big Data คือ IoT หรือ Internet of Things เป็น “สิ่ง” จำนวนมากมายที่ถูกเชื่อมต่อด้วยอินเทอร์เน็ต และถูกแบ่งปันข้อมูลกันและกัน ระหว่างเครื่องจักร อุตสาหกรรม และอุปกรณ์อื่นๆ พร้อมกับตัวมนุษย์ ที่คอยป้อนข้อมูลผ่านการสั่งการ และการกระทำในแต่ละครั้ง ดังเราเห็นได้จากหลายเมืองในโลกได้ฝังเซ็นเซอร์ในรูปแบบ IoT ไว้กับโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพ เพื่อตรวจสอบกิจกรรมต่างๆ อาทิ การตรวจจับการจราจร ที่ติดขัด ผ่านเครื่องวัด IoT อัตโนมัติ ที่ติดกับสัญญาณไฟจราจร เป็นต้น

เพื่อให้เห็นภาพชัดขึ้น เราอาจยกตัวอย่าง “IoMT” หรือ “Internet of Medical Things” เช่น นาฬิกาล้ำสมัยที่ตรวจจับพฤติกรรมการนอนหลับ และพฤติกรรมสุขภาพอื่นๆ ให้เราได้รับรู้ และเป็นข้อมูลทางการแพทย์ ที่สามารถกำหนดแนวทางการรักษาของโรคได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข้อมูลเหล่านี้มิเพียงนำมาช่วย “ตัดสินใจ” ทว่าถูกนำมา “วางแผน” และ “คาดการณ์” ล่วงหน้า กลายเป็น “เซ็นเซอร์เก็บข้อมูล” อาทิ บ้านอัจฉริยะจะรู้ว่ามนุษย์กำลังป่วยก่อนที่มนุษย์จะรู้ตัวเอง เมืองอัจฉริยะจะคำนวณปริมาณการจราจร และพฤติกรรมของประชาชนล่วงหน้า แพทย์จะสามารถกำหนดการป้องกัน และแนวทางการการรักษาก่อนที่โรคจะเกิดขึ้น เป็นต้น

ในอนาคตเราอาจถูก AI วางแผนได้ว่า เราจะมีอายุถึงกี่ปี?

เส้นแบ่งที่เลือนราง ความโดดเดี่ยว โลกเสมือนจะกลายเป็นโลกจริง

ข้อมูลจาก IoT และ AI จะถูกส่งตรงเข้าสู่สมองโดยไม่ต้องใช้จอภาพ หรืออุปกรณ์อีกต่อไป มนุษย์สามารถเรียนรู้และรับประสบการณ์โดยตรงผ่าน Neural Interface หรือ Brain-Computer Interface (BCI) ซึ่งทำให้มนุษย์ “เชื่อมต่อ” กับโลกเสมือนแทนที่จะอยู่ในโลกจริง ข้อเท็จจริงนี้ก่อให้เกิดความท้าทายใหม่หลายประเด็น อาทิ ความสุขในโลกเสมือนจะมีค่ามากกว่าโลกจริง คนจะเลือกใช้ชีวิตใน Metaverse มากกว่าชีวิตจริง หรือ  ความเป็นจริง (Reality) และโลกเสมือน (Virtual Reality) จะหลอมรวมกัน จนทำให้คนแยกไม่ออกว่าอะไรคือของจริง ที่สำคัญสิ่งนี้อาจนำไปสู่กระบวนการเรียนรู้ของมนุษย์ ทั้งความรู้ ค่านิยม และประสบการณ์ที่ถูกควบคุมโดย AI 

สิ่งนี้นำมาสู่ความกังวลที่ว่า เมื่อคนเริ่มหลีกหนีจากโลกจริงไปอยู่ในโลกเสมือน จะทำให้ปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ที่มีต่อกันน้อยลง และทำให้เกิดความโดดเดี่ยวในหัวใจของมนุษย์แต่ละคนมากขึ้น

AI กระทุ้งเศรษฐกิจ – ตำแหน่งแห่งที่มหาอำนาจ – ระบบการเงินโลกผันแปร 

มีคำกล่าวว่า “ข้อมูล” คือ “ทรัพย์สิน” ที่สำคัญของมนุษยชาติ ใครเป็นเจ้าของข้อมูล ก็เป็นเจ้าของ “ความรู้” เป็นขุมทรัพย์ที่นำทางการตัดสินใจของมนุษย์ ทั้งด้านการเมือง สังคม เศรษฐกิจ และอื่นๆ เป็นต้น

เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เผยแพร่บทความ “DeepSeek-กระแสชั่วครู่ หรือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ AI” ได้เล่าถึงการแข่งขันความเป็นผู้นำด้านเอไอระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา โดยระบุความตอนหนึ่งว่า

เมื่อไม่นานมานี้ ศูนย์วิจัยกสิกรไทยได้เผยแพร่บทความ “DeepSeek-กระแสชั่วครู่ หรือจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ AI” ได้เล่าถึงการแข่งขันความเป็นผู้นำด้านเอไอระหว่างจีน และสหรัฐอเมริกา โดยระบุความตอนหนึ่งว่า

“หลายฝ่ายมองว่าการเปิดตัว DeepSeek-R1 เป็น “Sputnik Moment” ของอุตสาหกรรม AI สหรัฐฯ หรือแม้แต่จุดสิ้นสุดของการครองอำนาจนำด้าน AI ของสหรัฐฯ  อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรไทยคาดว่าแม้ DeepSeek ยังไม่ได้แซงหน้า OpenAI ในด้านความสามารถ แต่จะเป็นการปลุกให้สหรัฐฯ ให้ตื่นตัว”

“สงคราม Tech War ระหว่างจีนและสหรัฐฯ คงจะรุนแรงขึ้นซึ่งจะนำไปสู่การปรับนโยบายด้าน AI ของทั้งสองประเทศ”

”จีนคาดว่าจะใช้โอกาสนี้เพื่อผลักดันแผน Next Generation AI Development Plan  ที่มุ่งหวังให้ประเทศเป็นศูนย์กลางนวัตกรรม AI ระดับโลกภายในปี 2573 บริษัทชั้นนำอย่าง Alibaba กำลังเปิดตัวโมเดล AI ใหม่ (เช่น Qwen 2.5 ) แม้ว่าผลิตภัณฑ์เหล่านี้อาจยังไม่สามารถเทียบกับจุดแข็งด้านต้นทุนของ DeepSeek ได้”

ข้อมูลนี้ชี้ให้ การแข่งขันการครองตำแหน่งแห่งที่ของความเป็นผู้นำด้าน AI ซึ่งจะส่งผลกระเทือนต่อระบบเศรษฐกิจโลกตามมา เรียกได้ว่าประเทศที่ควบคุม และพัฒนา AI ที่มีประสิทธิภาพสูงสุด จะเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ด้วยการกำ “ชุดข้อมูล และความรู้” ของสังคมไว้ ประเทศที่ไม่มี AI ล้ำสมัย อาจกลายเป็น “ผู้บริโภค” ของประเทศที่มีเทคโนโลยี AI ที่ดีกว่า สิ่งที่น่าขีดเส้นใต้ตรงนี้ คือ AI จะกำหนดว่าใครเป็นผู้ชนะในโลกธุรกิจ ไม่ใช่มนุษย์อีกต่อไป

อีกประเด็นหนึ่งที่น่าจะสนใจ คือ ระบบการเงิน ที่มีความเสี่ยงถูกสั่นคลอนได้ง่าย เนื่องจาก AI สามารถเจาะระบบความปลอดภัยขั้นสูงสุดได้ภายในเสี้ยววินาที สิ่งเหล่านี้อาจนำมาสู่ การโจมตีทางไซเบอร์ (Cyber Attacks) ระบบบล็อกเชน และคริปโทเคอร์เรนซี อาจถูก AI ควบคุมได้ และระบบธนาคารกลางอาจไม่สามารถป้องกันเงินเฟ้อ หรือการโจมตีทางการเงินที่มาจาก AI ได้เพื่อตอบสนองต่อภัยคุกคามนี้ โลกอาจต้องมี ตำรวจไซเบอร์ที่เป็น AI เพื่อคอยควบคุม AI อื่นๆ ไม่ให้ทำผิดจริยธรรม

AI ปฏิวัติวงการการศึกษา

มีคำกล่าวว่า AI จะเป็นผู้สอนทุกอย่างแทนที่ครู มนุษย์จะสามารถดาวน์โหลดทักษะ และความรู้เข้าสมองได้โดยตรง หรือแม้กระทั่งโรงเรียน และมหาวิทยาลัยอาจไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป บทสนทนาเรื่อง AI กับระบบการศึกษา เป็นหัวข้อสนทนาที่ได้รับการพูดถึงมากขึ้นในแวดวงต่างๆ

บทความ World Economic Forum หัวข้อ “การปฏิวัติห้องเรียน: AI กำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาโลก” เผยแพร่ในเดือนเมษายน 2567 อ้างถึงรายงาน“Shaping the Future of Learning: The Role of AI in Education 4.0” ระบุว่า

เทคโนโลยีที่เกิดขึ้นใหม่สามารถช่วยระบบการศึกษาตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการรู้หนังสือดิจิทัล และการสร้างสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่ปรับตัวได้ โดยผ่านกรณีศึกษา ซึ่งแสดงให้เห็นว่า AI ที่ใช้งานอย่างสร้างสรรค์กำลังเปลี่ยนแปลงการศึกษาโดยการปรับปรุงผลการเรียนรู้ เสริมพลังให้กับครู และเตรียมนักเรียนให้พร้อมกับทักษะในอนาคต”

โดยซาเดีย ซาฮิดี กรรมการผู้จัดการ World Economic Forum ถึงกับระบุว่า

AI กำลังก้าวหน้าอย่างรวดเร็วในการเปลี่ยนแปลงภูมิทัศน์การศึกษาทั่วโลก

มีกรณีศึกษาหลายกรณี ในบทความนี้ อาทิ กระทรวงศึกษาธิการของเกาหลีใต้ใช้ AI พัฒนาตำราเรียน ออกแบบให้ตอบโจทย์ความหลากหลายของนักเรียน โดยมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มการเรียนรู้ที่ได้รับการปรับแต่งให้เหมาะสม (Personalized learning) และลดการพึ่งพาทางการศึกษาของภาคเอกชน เป็นต้น

บทความชิ้นนี้ยังเสนอแนะให้ผู้นำทางการเมือง และผู้นำทางการศึกษาบูรณาการ AI ให้เข้าระบบการศึกษาอย่างมีความรับผิดชอบ และรับประกันความปลอดภัยของข้อมูลที่ละเอียดอ่อน เพื่อให้ “เทคโนโลยี” กับ “อนาคตเด็ก” เดินเคียงคู่ และส่งเสริมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

เราจะเห็นได้ว่า AI กำลังเข้ามามีบทบาทสำคัญในแวดวงการศึกษา ทลายกรอบการศึกษาแบบเดิม และเดินสู่การศึกษาแบบ 5.0 ซึ่งมีทั้งผลลัพธ์ที่น่าสนใจ และความท้าทาย

ในฐานะภาคเอกชนก็ได้ตอบรับความท้าทายนี้เช่นกัน อาทิ เครือเจริญโภคภัณฑ์ โดยบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) นำเอาแนวคิด “Bionic Organization องค์กรแห่งอนาคต” เข้ามาเป็นแนวคิดขับเคลื่อน ผสานการทำงานระหว่างคน และเครื่องจักร โดย 70% เป็นเรื่องคน และ 30% เป็นเรื่องเทคโนโลยี ผลักดันสู่เป้าหมายเกษตรเทคโนโลยี (Agri Tech) นำ AI และนวัตกรรมปรับใช้ในทุกกระบวนการผลิต พร้อมสนับสนุนนวัตกร สร้างสรรค์ผลงานที่สร้างคุณค่าเพิ่ม

โดยสรุป บทความนี้กำลังเชื้อเชิญให้ผู้อ่านตั้งคำถามว่า หาก AI มีบทบาทตัดสินใจและคาดการณ์อนาคตได้อย่างแม่นยำ มนุษย์อาจต้องเลือกระหว่าง การเป็นผู้ควบคุม AI หรือ เป็นเพียงผู้ตาม

เราควรให้ AI ตัดสินใจทุกอย่างแทนเราหรือไม่? เราจะป้องกันไม่ให้ AI ทำลายความเป็นมนุษย์ได้อย่างไร? และมนุษย์จะยังคงมีอิสระในการตัดสินใจของตัวเอง หรือจะกลายเป็นเพียง “เครื่องจักรชีวภาพ” ที่ทำตามคำแนะนำของ AI?

นี่คือสิ่งที่เราต้องถามตัวเองในวันนี้