ในตลาดชิป AI ที่มีมูลค่ามากกว่า 1 ล้านล้านบาท มีเพียง NVIDIA บริษัทเดียวที่ยืนหนึ่งรันวงการด้วยการครอบครองส่วนแบ่งตลาดมากถึง 95% แต่หลายบริษัทก็เริ่มหันมาพัฒนาชิปของตัวเองสู้มากขึ้นเช่นกัน

ทิ้งห่างไกล

ชิป AI หมายถึงหน่วยประมวลผลที่สามารถประมวลผลการทำงานของ AI ได้ ตลาดชิป AI แบ่งเซ็กเมนต์ (ส่วนย่อยของตลาด) ได้เป็นหลายส่วนย่อย ๆ ตั้งแต่ CPU (หน่วยประมวลผลกลาง หัวใจของคอมพิวเตอร์) GPU (หน่วยประมวลผลกราฟิก หรือที่เรียกกันว่าการ์ดจอ) ไปจนถึง ASIC (วงจรรวมที่ออกแบบมาสำหรับการใช้งานเฉพาะอย่าง) และ FGPA (วงจรรวมแบบปรับแต่งได้)

ชิป Grace Blackwell ที่ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell (ที่มา NVIDIA)

ตลาดชิป AI เติบโตขึ้นเรื่อย ๆ เป็นผลมาจากความต้องการใช้ AI ที่ซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ จนต้องใช้ชิปจำนวนมากขึ้นและก้าวหน้ามากขึ้น นักวิเคราะห์ประเมินว่าในปี 2024 มูลค่าตลาดชิป AI อยู่ที่เกือบ 30,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 1 ล้านล้านบาท)

โดยคาดการณ์กันว่าตลาดชิป AI จากนี้ไปจนถึงปี 2033 อาจมีมูลค่าเพิ่มเป็นกว่า 500,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 16 ล้านล้านบาท) มีอัตราเติบโตโดยเฉลี่ยต่อปี ระหว่าง 23 – 37%

ปัจจุบัน ผู้ที่ยังถือครองตลาดชิป AI รวมกันในทุกเซ็กเมนต์ก็ยังคงเป็น NVIDIA ที่ประเมินกันว่าอาจครองส่วนแบ่งตลาดตั้งแต่ 65 – 90% ในปี 2024 NVIDIA มีรายได้จากชิป AI อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 25,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (843,500 ล้านบาท) ตามมาอย่างห่าง ๆ ด้วยคู่แข่งอย่าง AMD ที่มีรายได้ 8,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 269,920 ล้านบาท) และ Intel ที่รายได้ 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 168,700 ล้านบาท) ยกเว้นแต่ในบางเซ็กเมนต์ที่ Intel ถือส่วนแบ่งแซงหน้า AMD ขึ้นไปเป็นอันดับสอง

เหล่าผู้ท้าชิง

แต่การแข่งขันในตลาดชิป AI ที่ถือว่าเป็นเสมือน “ทองคำใหม่” ก็ดุเดือดมาก NVIDIA ยังต้องเผชิญกับคู่แข่งตลอดกาลอย่าง AMD และ Intel ที่ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อแข่งขันในสนามประลองเดือด เช่นเดียวกับอีกหลายเจ้า ทั้งในและนอกประเทศที่เข็นไม้เด็ดกันออกมา มาดูกันดีกว่าว่าในตอนนี้มีเจ้าไหนบ้างที่ทั้งแข่งอยู่แล้ว และเพิ่งจะเข้ามาเล่นในเกมนี้

แน่นอนว่าถ้าพูดถึงสนามแข่งชิป AI แล้ว ไม่พูดถึง AMD ก็คงไม่ได้ ที่ลงมาแข่งกับ NVIDIA ในสายความถนัดหลักโดยตรงอย่าง GPU โดยเข็นชิป AI อย่าง MI300A และ MI300X รวมถึงสถาปัตยกรรมชิป AI ใหม่ ๆ อย่าง RDNA 4 เพื่อสู้กับ NVIDIA ที่ออกสถาปัตยกรรมใหม่ทุกปี และยังออกแพลตฟอร์มปรับแต่ง GPU อย่าง ROCm ที่เอามาแข่งกับ CUDA

ลิซา ซู (Lisa Su) ซีอีโอของ AMD

จุดเด่นของ AMD คือพยายามสู้ด้วยราคาที่ถูกกว่า โดยพบว่าในตลาดมีการนำ GPU ของ AMD มาใช้ในขั้นตอน AI Inference (การนำ AI ที่ฝึกเสร็จแล้วมาลองใช้ในโลกจริง) มากขึ้น ส่วนแบ่งตลาดในช่วงหลังก็เพิ่มขึ้นด้วย

อย่างไรก็ดี ข้อจำกัดของ AMD คือประสบการณ์น้อยกว่า ลูกค้าแคบกว่า และความเสถียรน้อยกว่า ยิ่งไปกว่านั้นตลาดที่ AMD เข้าไปแข่งยังจำกัดอยู่มากเมื่อเทียบกับพี่ใหญ่ NVIDIA ที่ขายของหลากหลายกว่ามาก

ถือเป็นผู้อาวุโสแห่งวงการ CPU ในแง่อายุบริษัท แม้ในช่วง 3 – 4 ปีให้หลัง บริษัทจะเจอมรสุมรุมเร้าตั้งแต่การปลดซีอีโอ แพต เกลซิงเจอร์ (Pat Gelsinger) และการปลดพนักงานมากกว่า 15,000 คน แถมก็โดน NVIDIA น้องใหม่กว่าแซงหน้าไปไกลแล้วในด้านรายได้ แต่บริษัทก็ยังสู้สังเวียนต่อด้วยการขยายฐานสินค้าผ่านการซื้อบริษัท AI หลายเจ้า

ตัวชูโรงของ Intel คือชิปตระกูล Gaudi ทั้ง Gaudi 2 และ Gaudi 3 เป็นชิปตัวเร่งการประมวลผล Ai ที่ออกแบบมาเพื่อลดภาระการประมวลผล AI และเพิ่มสมรรถะการทำงานในภาพรวม ในขณะเดียวกันก็มีราคาถูกกว่า H100 ของ NVIDIA แถมยังหันมาเน้นธุรกิจผลิตชิปมากขึ้นด้วย

ในปี 2024 ปีเดียวยอดขายด้าน AI ของ Intel ก็ไปแตะ 3,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 118,090 ล้านบาท) จากผลิตภัณฑ์ที่ขายได้มากกว่า 500,000 ชิ้น

อย่างไรก็ดี จุดตายของ Intel ยังอยู่ที่ปัญหาเชิงโครงสร้างของบริษัทที่ยังกระท่อนกระแท่น กระทบถึงธุรกิจฝั่งผลิตชิปที่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ก็คงต้องหันมาแก้ปัญหาภายในก่อนที่จะกระโจนไปบวกกับใคร

Broadcom เป็นอีกหนึ่งผู้เล่นที่น่าสนใจ ตัวบริษัทหันไปจับตลาดโครงสร้างพื้นฐาน AI แทนที่จะเป็น GPU หรือ CPU โดยตรง แต่เปิดพื้นที่ให้ธุรกิจอื่นพัฒนา ASIC เป็นของตัวเองได้ นับว่าจุดเด่นของ Broadcom ก็คือตลาดชิป ASIC หรือชิปที่ถูกปรับแต่งมาเฉพาะทาง

เมื่อปลายปีที่แล้ว Broadcom มีรายได้จาก AI เพิ่มขึ้น 77% ขึ้นเป็น 4,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ อีกทั้งยังมีลูกค้า ASIC เพิ่มขึ้นด้วย โดยคาดกันว่าภายในปีการเงิน 2026 Broadcom จะมีโอกาสในตลาด สูงถึง 60,000 – 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 2 – 3 ล้านล้านบาท)

Amazon Web Services เป็นธุรกิจคลาวด์ของ Amazon ถือเป็นน้องใหม่ในวงการชิป เพิ่งจะเปิดตัวชิป AI ของตัวเองในปี 2018 ภายใต้แบรนด์ Inferentia ก่อนที่ในปี 2021 จะเริ่มปล่อยชิปตระกูล Trainium สำหรับการฝึก AI โดยเฉพาะ เป็นชิปที่ออกมาเสริมขีดความสามารถในด้านคลาวด์ที่เป็นความถนัดของ AWS แม้ว่าก่อนหน้านี้จะใช้ชิปของ NVIDIA และ AMD ก็ตามที

คู่แข่งของ NVIDIA มาเพิ่มเรื่อย ๆ บริษัทสายเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Google (Trillium) Microsoft (MAIA และ Cobalt) และ Meta ก็เริ่มพยายามปั้นชิป AI ของตัวเองเข้ามาสู้ และประกาศว่าจะทุ่มงบมหาศาลเพื่อพัฒนาชิปของตัวเอง ฝั่ง Qualcomm เจ้าตลาดชิปมือถือเองก็พัฒนาชิปให้ใช้งาน AI ได้มากขึ้น และหันไปพัฒนาชิปสำหรับ PC ด้วย

นอกสหรัฐฯ คู่แข่งรายใหม่ก็ปรากฏตัวเช่นกัน โดยเฉพาะจากจีนที่มี Huawei, Alibaba, Baidu และ SMIC ที่พยายามพัฒนาชิปของตัวเอง เพื่อเอาชนะมาตรการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ และไม่ต้องพึ่งพาเทคโนโลยีของฝั่งตะวันตก เช่นเดียวกับพันธมิตรสหรัฐฯ อย่าง Samsung ก็หันมาเอาดีในด้านชิป AI บนสมาร์ตโฟนเหมือนกัน

นอกจากเจ้าใหญ่ ๆ แล้ว สตาร์ตอัปก็ลงสนามแข่งที่เต็มไปด้วยความเป็นไปได้มากมายนี้ด้วย แม้ว่าการออกแบบ พัฒนา และผลิตชิป AI จะมีราคาที่สูง แต่ก็มีพื้นที่ใหม่ ๆ ให้ลงเล่น

แต่ละเจ้ามีความเชี่ยวชาญแตกต่างกันไป อย่าง D-Matrix ที่ออกแบบชิปความจำ Cerebras Systems ที่พัฒนาชิปที่รวมเอาความสามารถของ GPU มาไว้รวมกับ CPU และหน่วยความจำ

หรืออย่าง SambaNova และ Groq ที่ต่างก็ออกแบบผลิตภัณฑ์เฉพาะทางที่เน้นไปที่การฝึกและการนำ AI ไปใช้โดยเฉพาะ สตาร์ตอัปยังขยายไกลออกไปนอกประเทศ อย่างเกาหลีใต้ ก็มี Rebellions ที่ปั้นชิป ATOM ออกมาสู้

กลยุทธ์ที่งัดมาใช้แข่ง

สิ่งที่คู่แข่ง NVIDIA รู้ดี ก็คือการที่ยักษ์เขียวรายนี้มีแต้มต่อทั้งความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและเทคโนโลยีที่ทรงพลัง ไหนจะตำแหน่งแห่งที่ในตลาดที่มั่นคง การที่จะจู่ ๆ ไปงัดในความถนัดด้วยวิธีการตลาดแบบปกติ ก็คงจะมีแต่เสียกับเสีย เพราะอย่างที่รู้กันดีว่าต้นทุนกระบวนการดีไซน์ พัฒนา และผลิตชิป AI ใช้เงินทุนมหาศาล หากพลาดแล้วก็ไม่น่าจะมีโอกาสเป็นครั้งที่สอง ด้วยเหตุนี้ หลายเจ้าจึงเอากลเม็ดมากมายออกมาใช้เพื่อพยายามจะแย่งเค้กให้ได้

ไหน ๆ ถ้าเทียบด้วยประสิทธิภาพก็คงสู้ไม่ได้แล้ว ก็เน้นพัฒนาชิป AI ที่ราคาย่อมเยาซะเลย บางเจ้าก็หันไปเน้นทุ่มในเซ็กเมนต์ที่ตัวเองถนัดแทน การที่ชิปของ NVIDIA ที่แม้จะทรงพลังแต่ก็มีราคาที่สูง จึงเป็นโอกาสให้คู่แข่งทำชิปที่ถูกกว่ามาสู้

อย่าง AWS ที่เร็ว ๆ นี้เพิ่งจะประกาศให้เช่าเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ Trainium ที่อ้างว่ามีประสิทธิภาพพอ ๆ กับ H100 แต่มีราคาเพียง 25% เท่านั้นเมื่อเทียบกับของ NVIDIA เช่นเดียวกับ AMD ที่แข่งในตลาด GPU สำหรับคำนวณ AI ด้วยเรือธง Instinct MI300X แต่มีราคาที่ถูกกว่าของ NVIDIA พอสมควร

อีกกลยุทธ์หนึ่งนอกจากการตัดราคาสู้แล้ว ยังมีการหันไปเน้นผลิตชิปแบบเชี่ยวชาญเฉพาะเพื่อสู้กับ NVIDIA ด้วย อย่างที่เห็นแล้วว่าบริษัทอย่าง Broadcom ที่หันไปสู้ในสังเวียนชิป ASIC

ขณะที่ AMD เองก็พยายามเน้นให้ชิปไปเชี่ยวชาญในด้าน Inference มากขึ้นด้วย นอกจากนี้ พี่เบิ้มอย่าง Apple ก็พยายามพัฒนาชิป AI ที่ใช้ได้เหมาะกับระบบนิเวศของตัวเอง ซึ่งถือว่าใช้ข้อได้เปรียบที่มีอยู่แล้วของบริษัท

หลายเจ้าก็หันมาร่วมมือกันแทน อย่าง AMD ที่จับมือกับ Microsoft ภายใต้โครงการ Athena ที่หวังจะยึดหัวหาดในตลาดชิป AI ทางฝั่ง Google ก็มีแผนจับมือกับ MediaTek จากไต้หวันเพื่อพัฒนาชิปที่ราคาย่อมเยาลงมาด้วย

หนึ่งในความท้าทายสำคัญสำหรับ NVIDIA คือการที่ต้องมาแข่งกับลูกค้ารายใหญ่ของตัวเอง มีการประเมินว่ารายได้จากยักษ์ใหญ่วงการเทคโนโลยี 4 เจ้าดังอย่าง Google, Microsoft, Amazon และ Oracle คิดเป็นมากกว่า 40% ของรายได้ทั้งหมด การที่เป็นลูกค้าอยู่แล้วทำให้บริษัทเหล่านี้เข้าใจผลิตภัณฑ์ของ NVIDIA ดี และรู้ว่ากำลังสู้อยู่กับอะไร

แต่ต้องเหนื่อยหน่อย

แม้จะเผชิญคู่แข่งที่แข็งแกร่ง NVIDIA ก็ยังคงตรึงพื้นที่แน่น เห็นได้จากการที่ส่วนแบ่งของบริษัทในตลาดนั้นเปลี่ยนแปลงน้อยมากในรอบหลายปีที่ผ่านมา ความได้เปรียบใน ‘ระบบนิเวศ’ ชิป AI และฐานลูกค้าทั่วโลก ซึ่งคู่แข่งหลายเจ้าก็ยังต้องพึ่งชิป AI ของ NVIDIA อยู่ด้วย แม้ว่านี่จะเป็นความท้าทายสำหรับ NVIDIA แต่ก็เป็นจุดแข็งไปในตัว ทำให้สถานะผู้นำคงยังไม่สั่นคลอนง่าย ๆ แน่นอน

Bank of America ประเมินว่าในปี 2023 บริษัทมีรายได้จากชิป AI ถึง 34,500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 1.16 ล้านล้านบาท) รายได้ของ เจนเซน หวง (Jensen Huang) ซีอีโอ NVIDIA ก็พุ่งขึ้นจาก 3,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 101,220 ล้านบาท) กลายเป็น 90,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 3 ล้านล้านบาท) ในเวลาเพียงแค่ 5 ปีเท่านั้น

ยิ่งไปกว่านั้น NVIDIA ไม่เคยหยุดเสริมความเข้มแข็งของตัวเอง ด้วยการออกแบบสถาปัตยกรรมใหม่ทุกปี จากปีที่แล้วออก Blackwell ปีนี้ก็เพิ่งจะเปิดตัว Rubin สำหรับปีหน้า และ Feynman ในปีถัด ๆ ไปด้วย แต่ละสถาปัตยกรรมเรียกได้ว่าประสิทธิภาพสูงกว่าตัวก่อนหน้าอย่างมาก

เจนเซน หวง

ด้านหวงเองแม้ว่าบริษัทจะขึ้นแท่นอันดับหนึ่งแล้ว ก็ยังไม่ตายใจ ตัวเขาเองเคยออกมาบอกว่า “กังวล” ว่า NVIDIA อาจเสียแต้มต่อให้กับคู่แข่งรายใหม่ ๆ ที่นับวันมีแต่เข้มแข็งขึ้นเรื่อย จึงตั้งใจที่จะทำลายขีดจำกัดของตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน

เกมนี้ยังเพิ่งเริ่ม ?

ความเป็นเจ้าตลาดของ NVIDIA ก็อาจเป็นเพียงแค่อุปสรรคที่เหล่าคู่แข่งในสนามอยากจะลองวัดกันดูสักตั้ง หลายบริษัทไม่หยุดที่จะทุ่มทุนในตลาด AI

สำนักข่าว Bloomberg ประเมินว่าในปี 2025 เจ้าใหญ่อย่าง Microsoft, Amazon และ Meta จะลงทุนในสถาปัตยกรรม AI เป็นเงินรวมกันมากถึง 372,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 12.5 ล้านล้านบาท) และคาดว่าจะมากถึง 525,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 17.7 ล้านล้านบาท) ภายในปี 2032

โอกาสก็ยังมีอีกมาก ตลาดโลกที่โตขึ้นทุกปี โดยเฉพาะในเอเชีย-แปซิฟิกที่อัตราการเติบโตของตลาดชิป AI รวดเร็วกว่าในภูมิภาคอื่น มูลค่าในปี 2023 เท่ากับ 5,250 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 177,135 ล้านบาท) แต่คาดว่าจะเติบโตขึ้นเรื่อย ๆ ไปแตะ 129,340 ล้านเหรียญสหรัฐฯ (ราว 4.3 ล้านล้านบาท) ในปี 2033 เป็นผลมาจากอัตราการนำ AI มาใช้ที่มากขึ้นเรื่อย ๆ ทั้งในองค์กรและบุคคลทั่วไป

ไหนจะการพัฒนาของ AI ที่เทคโนโลยีใหม่ ๆ มาเรื่อย ๆ ตั้งแต่ Artificial General Intelligence หรือ AI เก่งพอกับมนุษย์ ไปจนถึง Agentic AI หรือ AI ที่คิดและทำงานได้เป็นอิสระจากมนุษย์ ที่มีแต่จะต้องใช้ชิป AI ที่ทรงพลังมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง

ความเป็นไปได้จึงแทบจะไร้ที่สิ้นสุด !