ยุค TV 4K มาพร้อมกับเรื่องใหม่ๆ มากมาย และนี่คือความจริงที่คุณต้องรู้ก่อนเลือกซื้อจอ 4K! (คลิกดูคลิปด้านบนนะ)
ความละเอียด 4K ต้องใช้จอใหญ่ และนั่งใกล้ถึงเห็นผล
หลายคนที่เคยซื้อจอ 4K ไปมักจะบ่นให้ฟังว่า นั่งดูที่บ้านแล้วไม่เห็นจะรู้สึกว่าภาพคมชัดกว่าจอ Full HD เดิมเลย นั้นก็เพราะว่าจอคุณใหญ่ไม่พอ หรือคุณนั่งไกลจากจอไปครับ
เราขอข้ามหลักการวิทยาศาสตร์มากมายแล้วสรุปให้ฟังเลย อย่างทีวี LG UHD 4K TV รุ่นนี้มีขนาด 65 นิ้ว ก็ควรนั่งห่างจากจอไม่เกิน 2.6 เมตร แต่ถ้าใช้จอ 55 นิ้ว ควรนั่งห่างจากจอไม่เกิน 2.2 เมตร และถ้าคุณใช้จอ 4K ขนาด 50 นิ้ว คุณควรนั่งห่างจากจอไม่เกิน 2 เมตร คุณถึงจะรู้สึกว่าภาพ 4K จากจอนั้นแตกต่างจาก Full HD งานนี้ใครมีห้องดูทีวีเล็กๆ ได้เปรียบ ไม่ต้องซื้อจอใหญ่บึ้ม ก็เห็นผลแล้ว
แต่คำแนะนำที่ง่ายไปกว่านั้น ให้เลือกซื้อจอ 4K ให้ใหญ่ที่สุดเท่าที่คุณจะวางในห้องได้ และงบคุณถึงครับ ถ้าจอเล็กกับจอใหญ่ราคาต่างกันไม่กี่พัน กัดฟันซื้อจอใหญ่ไป จะให้ประสบการณ์ 4K ที่ดีกว่า
จอ OLED ให้คุณภาพดีที่สุด แต่จอ LED ก็ไม่น้อยหน้า
ตอนนี้เทคโนโลยี OLED มาแรงจริงๆ เพราะถือเป็นสุดยอดจอที่ให้ Contrast สูงที่สุด ให้มุมมองภาพกว้าง แทบไม่มีปัญหา Motion Blur ซึ่งก็สมกับราคาที่อยู่ในระดับท็อปของมัน
ถ้างบไม่ถึง จอ 4K LED เดิมก็ยังไหวอยู่ แต่เราก็ควรเลือกชนิดจอ LED ให้เหมาะสมกับการใช้งานของเราด้วยนะ ดูยังไง เอามือถือติดเลนส์ macro ส่องจอแบบนี้ครับ
ถ้าพิกเซลของจอเป็นเหมือนลูกศรแบบนี้ นี่คือจอ IPS คุณสมบัติคือให้มุมมองภาพที่กว้าง เหมาะสำหรับบ้านที่ดูทีวีพร้อมกันหลายๆ คน ทุกคนจะได้ภาพชัดเหมือนกันหมด รวมถึงการดูทีวีในห้องสว่างๆ
แต่ถ้าส่องแล้วเจอพิกเซลเป็นตั้งๆ แบบนี้ คือจอ VA ที่เหมาะสำหรับชมภาพยนตร์เพราะให้สีดำลงลึก และดูในห้องมืดๆ แต่จอนี้สำหรับบ้านที่ดูทีวีไม่กี่คนนะ เพราะถ้าดูมุมเอียงหน่อยสีภาพจะเปลี่ยนแล้ว
จอ LED แบบ RGBW เป็น 4K เก๊
ถ้าใครติดตามข่าวสารในวงการจอภาพหน่อยจะได้ยินกระแสข่าวที่ว่าจอ LED แบบ RGBW เป็นจอ 4K ปลอม ส่วนจอ RGB นั้นเป็น 4K แท้ เอ๊างง มีจอเก๊จอแท้ด้วย เรื่องนี้มันเป็นไงมาไงกันแน่ ฟังครับฟัง
คืองี้ครับ แต่ละจุดที่เรามองเห็นบนทีวีนั้นไม่ใช่อยู่ๆ 1 จุดหรือ 1 พิกเซลก็แสดงได้ทุกสีเลยนะครับ แต่มันเป็นการรวมพิกเซลย่อย 3 แม่สีคือ Red Green Blue หรือ RGB เข้าด้วยกัน เพื่อผสมกันเป็นสีของจุดนั้นๆ และเมื่อจุดวางเรียงกันในแนวนอน 3,840 จุด และวางในแนวตั้ง 2,160 จุด รวมแล้วเป็น 8.2 ล้านจุด เราจึงเรียกว่าจอ 4K ครับ
แล้วที่นี้จอแบบ RGBW หรือจอ M+ คือจอที่แทรกพิกเซลย่อยสีขาว (White = W) ลงไป แล้วจัดกลุ่ม 3 พิกเซลย่อยเป็น 1 พิกเซลเช่นกัน โดยมีพิกเซลย่อยสีขาวแซมไปเรื่อยๆ แต่เมื่อนับพิกเซลรวมของจอ RGBW ก็ได้ 8.2 ล้านจุดเท่ากับ RGB จึงนับว่าเป็นจอ 4K เหมือนกันครับ มันจึงไม่มีจอ 4K แท้กับ 4K เก๊ มันมีแต่ข้อดีข้อเสียที่แตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับเทคนิคการกำเนิดภาพที่แต่ละแบรนด์เลือกใช้
ข้อดีของจอประเภท RGBW คือการที่มีสีขาวรวมอยู่ในแต่ละพิกเซลเลย ทำให้จอมีความสว่างมากขึ้น และกินไฟน้อยลง ซึ่งทำให้ผลิตจอสำหรับใช้งาน HDR ได้ดีขึ้น เพราะ HDR ต้องการจอที่มีความสว่างสูงเพื่อดึงรายละเอียดของภาพออกมาให้ได้
แต่จอ RGBW จะเสียเปรียบจอ RGB ตรงปริมาณของสีที่น้อยกว่า สีสันจะไม่สดเท่า เพราะพิกเซลย่อยสีขาวไม่สามารถผสมเป็นสีได้ และการแสดงภาพที่มีรายละเอียดยิบย่อยมากๆ เช่นตัวอักษรเล็กๆ จากคอมพิวเตอร์ จะไม่เนี๊ยบเท่าจอ RGB แต่ผู้ผลิตจอ RGBW ก็พัฒนาชิปและระบบประมวลผลภาพเพื่อแก้ไขจุดอ่อนเหล่านี้ของจออยู่แล้ว จนผ่านการทดสอบมาตรฐานสีต่างๆ และการใช้งานจริงมองไม่เห็นความแตกต่างมากนัก แล้วยังรับชมเวลานอนได้สบายตากว่าด้วย ก็เอาเป็นว่าเลือกจอที่ดูแล้วชอบดีกว่าครับ
เรื่องงงงวยของ HDR
เทคโนโลยีจอ 4K นั้นมักถูกพูดถึงพร้อมกับ High Dynamic Range หรือ HDR นะครับ ซึ่ง HDR คือความสามารถในการส่วนมืดและส่วนสว่างได้ดีขึ้น ซึ่งการแสดงผล HDR ได้ดีประกอบไปด้วย 3 ส่วนคือ จอที่รองรับขอบเขตสีกว้าง (Wide Color Gamut) จอที่สามารถแสดงสีได้มากในระดับ 10 bit ขึ้นไป และจอที่มีความสว่างสูง ซึ่งการจะทำทั้ง 3 เรื่องนี้ให้ดีเป็นเรื่องของต้นทุนทั้งนั้น จอที่ราคาสูงกว่า จึงมักแสดงภาพแบบ HDR ได้ดีกว่า
ปัจจุบันเรามีมาตรฐาน HDR หลัก 2 มาตรฐานคือ HDR10 และ Dolby Vision พูดอย่างสั้นที่สุด Dolby Vision เป็นมาตรฐานที่ดีกว่าทุกด้าน ทั้งรองรับจำนวนสีมากกว่า ในขณะที่ HDR10 รองรับสี 10 bit พันล้านสี แต่ Dolby Vision รองรับสีสูงถึง 12 bit 68,700 ล้านสี จัดการโทนแสงภาพได้มีมาตรฐานกว่า และส่งข้อมูลอ้างอิงสีหรือ Metadata ได้ยืดหยุ่นกว่า
ถ้าอยากได้ทีวี HDR ประสิทธิภาพสูง จึงควรพิจารณาทีวีที่สนับสนุน Dolby Vision ซึ่งมีเพียงไม่กี่รุ่นในท้องตลาดครับ