หลังจากผ่านการรีวิวสมาร์ตโฟนฝั่ง Android มานานหลายเดือนติดต่อกัน ในที่สุดแอดก็ได้กลับมาใช้ iPhone เครื่องส่วนตัวสักที แต่การกลับมาใช้ครั้งนี้ให้ความรู้สึกไม่เหมือนเดิม มีหลายอย่างที่น่าหงุดหงิดมากเมื่อเทียบกับประสบการณ์ที่ได้รับจากฝั่ง Android วันนี้จึงเขียนบทความนี้เพื่อบอกเล่าประสบการณ์ที่ iPhone ทำได้แย่กว่าสมาร์ทโฟนตัวท็อปๆ ของฝั่งแอนดรอยด์มาก ดังนี้
1. iPhone ชาร์จก็ช้า แบตก็หมดเร็ว
ประเด็นเรื่องระบบพลังงานนั้นมีปัญหากับ iPhone มาช้านานนะครับ ซึ่งแอปเปิ้ลก็อินดี้ ไม่คิดจะแก้ไขแบบที่มันง่ายๆ เหมือนกับสมาร์ตโฟนฝั่งแอนดรอยด์ที่เน้นเพิ่มความจุแบต แล้วพอแบตก้อนใหญ่ชาร์จช้าลง ก็พัฒนาเทคโนโลยีการชาร์จไฟต่อ แต่ฝั่ง iPhone เล่นท่ายาก เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพของ CPU ให้กินไฟน้อยลง จึงใช้งานได้นานขึ้น แต่ก็ยังตกม้าตายเรื่องความจุแบตเตอรี่อยู่ดี
ถ้าคุณอยู่ในโลกของ iPhone มาตลอด คุณอาจจะเคยชินว่าพอแบตหมดระหว่างวันก็เสียบชาร์จ หรือเสียบ Power Bank สิ เพราะแบตไอโฟนถ้าไม่ใช่เครื่องใหม่กิ๊กๆ ที่แบตยังจุอยู่ หรือเป็นรุ่นท็อปในตระกูล Max ที่ให้แบตมามากหน่อย มันมีความเสี่ยงจะหมดระหว่างวันได้เสมอครับ ผู้ใช้ iPhone จึงต้องมี Power Bank ติดตัวเอาไว้ตลอด
แล้วฝั่ง Android ล่ะ ในปีนี้ความจุแบตเตอรี่ขั้นต่ำเค้าเริ่มต้นกันแถวๆ 3700 mAh แล้ว ตัวเรือธงก็มักจะใส่มาระดับ 4000 mAh หรือตัวเน้นแบตหน่อยก็อัดมา 5000 mAh ซึ่งเมื่อเทียบกับ iPhone Xs นั้นมีแบตแค่ 2658 mAh หรือ iPhone XR ให้แบตมา 2942 mAh หรือ iPhone Xs Max ก็มีแบตแค่ 3174 mAh ก็จะเห็นว่าความจุนั้นเทียบกันไม่เห็นฝุ่น
ผลก็คือ ตลอดเวลาที่รีวิวเครื่อง Android แอดไม่เคยต้องพก Power Bank ติดตัวเลย เพราะแบตเตอรี่มันไม่เคยหมดระหว่างวัน แถมบางตัวยังมีแบตมากพอที่จะใช้ได้ 2 วันด้วยซ้ำ ซึ่งเมื่อกลับมาใช้ iPhone จึงปวดร้าวมากกับเรื่องนี้ที่แบตหมดเอาๆ ชีวิตไม่มีความซีเคียวในเรื่องแบตเลย
มาที่เรื่องความเร็วในการชาร์จแบตกันบ้างครับ ให้คลิปมันฟ้องเนอะ
iPhone คือสมาร์ตโฟนที่เป็นแชมป์ด้านการชาร์จช้าของโลก เครื่องก็ขายแพงที่สุด แต่ต้องให้ลูกค้าไปซื้อชุดชาร์จเร็วมาใช้เอาเอง เราก็ไม่รู้จะสนับสนุนให้แอปเปิ้ลมีกำไรเพิ่มขึ้นทำไม
2. iPhone มีความสามารถด้านการเชื่อมต่อที่ล้าหลัง
เรื่องนี้แอดเจอมากับตัวครับ เมื่อตอนไปเที่ยวปีใหม่นี้แหละ แอดไปพักต่างจังหวัดโดยใช้ iPhone เป็นสมาร์ตโฟนเครื่องหลัก ไม่ได้ติดเอา Android ไปด้วย ผลก็คืองานเข้าเลย T T
ที่พักที่ไปพักนั้นไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ค่ายที่แอดใช้ครับ ทำให้ใช้เน็ตหรือติดต่ออะไรไม่ได้เลย แต่โชคดีที่มี Wifi ของอีกค่ายหนึ่งซึ่งแอดมีรหัสอยู่พอดี แต่ WiFi นั้นใช้ได้ทีละเครื่องครับ ทำให้ต้องสลับการล็อกอิน WiFi กันไปกันมาระหว่างอุปกรณ์ทั้งหลาย เหนื่อยมั่ก ไปหลายคนด้วยไง
Wait, since when can we be connected to Wi-Fi and run a hotspot at the same time? Perhaps even as a repeater of the Wi-Fi signal (I haven't tested yet)?
Pixel 3 XL here. pic.twitter.com/sFKzrXY4vh
— Artem Russakovskii (@ArtemR) November 1, 2018
ที่นี้ถ้าคนที่ใช้ iPhone มาตลอด ไม่เคยใช้ Android ก็คงต้องยอมรับสภาพนี้ไป และไปย้ายค่ายมือถือให้มันมีสัญญาณครอบคลุมทั่วไทย แต่สำหรับคนใช้ Android มันไม่เป็นแบบนั้นครับ เพราะแอนดรอยด์รุ่นใหม่ๆ หน่อยจะมีความสามารถที่เรียกว่า Wi-Fi Bridge คือให้มือถือรับ WiFi ก่อน แล้วให้มันกระจายสัญญาณนั้นกลับมาเป็นชื่อของเรา เราก็จะใช้อินเทอร์เน็ตที่จำกัดให้ใช้ได้คนเดียวได้อย่างสุขขี แชร์ไปให้อีก 3-4 เครื่องใช้ได้เลย แถมสร้างเป็นเครือข่ายส่วนตัวของเราเอา ทำให้เอา Chromecast ไปต่อกับทีวีของโรงแรม แล้วเปิด Netflix ก็ทำได้
พอคิดได้แบบนี้ แอดได้แต่เศร้าใจว่าทำไมไม่เอา Android ไป
แล้วอีกเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับการเชื่อมต่อคือ iPhone นั้นไม่สามารถกระจายสัญญาณ Wifi หรือ Personal Hotspot แบบ 5 GHz ได้ครับ ซึ่งสำหรับการใช้ในเมืองแล้ว Hotspot 2.4 GHz ที่ไอโฟนปล่อยได้นั้นมันโดนรบกวนง่ายมาก และความเร็วก็ตกด้วย!
3. iPhone มีกล้องที่ดี แต่ไม่สุด ในขณะที่ราคาไปสุดทางแล้ว
เราไม่ได้ว่ากล้องของ iPhone นั้นไม่ดีนะครับ แต่เมื่อเทียบกับฝั่ง Android ที่ขายถูกกว่าแล้ว ก็อดนึกในใจไม่ได้ว่า iPhone มีปัญญาทำได้ดีที่สุดได้เท่านี้เหรอ
ปัญหาของกล้อง iPhone คือคู่แข่งฝั่ง Android นั้นพัฒนาเรื่องกล้องไปเร็วกว่ามาก และอุดช่องว่างที่เมื่อก่อนกล้อง iPhone เคยเป็นกล้องสมาร์ตโฟนที่ดีที่สุด จนตอนนี้ Android นั้นแซงไปแล้ว ซึ่งข้อจำกัดของกล้อง iPhone คือ
- ถ่ายกลางคืนไม่สวย ในขณะที่ Android หลายรุ่นมีเทคโนโลยีเปิดหน้ากล้อง 3-4 วิเพื่อถ่ายภาพกลางคืนโดยไม่ต้องใช้แฟลชแล้ว
- ไม่มีเลนส์ถ่ายรูปมุมกว้างมาก เชื่อเราเถอะว่าถ้าได้ลองมือถือที่มีเลนส์มุมกว้างแล้ว คุณจะอึดอัดกับการใช้กล้องไอโฟน
- ถ่าย Selfies ไม่เนียบ จะว่ามันเรียลไปก็ได้ ฝรั่งมันชอบแบบนี้ แต่จะว่า Android ถ่ายหน้าคนแล้วดูหลอก มันก็ไม่ใช่แล้ว เทคโนโลยีการถ่ายหน้าคนของสมาร์ตโฟนจากจีนนั้นน่ากลัวมาก ถ่ายดูดีแบบไม่หลอกได้แล้ว
- สีสันภาพที่ได้ดูตุ่นๆ แต่ก็เป็นสีแบบ iPhone เนอะ อันนี้คงแล้วแต่คนชอบ
แต่จุดเด่นของกล้อง iPhone คือมีแอปแต่งภาพเยอะมาก มีให้เลือกหลากหลายกว่า Android แต่แอดเป็นคนขี้เกียจแต่งภาพ อยากได้ภาพแบบถ่ายแล้วสวยเลย Android จึงตอบโจทย์กว่าครับ (ถ้าจะถ่ายไปแต่ง Android ก็ถ่ายเป็น RAW ไปแต่งต่อได้อีกเพียบนะ)
4. iPhone มีเรื่องระบบเสียงที่จัดว่าแย่ในกลุ่มเรือธง
เรื่องนี้อาจจะไม่ได้มีน้ำหนักมากนัก ถ้าคุณเป็นคนที่ฟังเพลงทั่วไป ที่ใส่หูฟัง Bluetooth ฟังเพลงแบบชิวๆ ไม่ได้สนใจเรื่องพวก Hi-Res Audio นัก แต่สำหรับนักฟังเพลงแบบ Audiophile เราใช้ไอโฟนไม่ได้!
- มันไม่มีช่องหูฟัง อันนี้ก็หงุดหงิดมากแล้ว โดยเฉพาะกับแอดที่รถไม่ได้มี Bluetooth นิน่า เวลาฟังเพลงในรถก็จะต่อสาย AUX จากมือถือเอา เวลาใช้ iPhone นี่เลิกฟังเพลงในรถจากมือถือเลย ต่อ Walkman ฟังเอาก็ได้
- Bluetooth ไม่รองรับมาตรฐานเสียงดีๆ อย่าง aptX หรือ LDAC ทำให้เวลาซื้อหูฟังไร้สาย ก็ต้องดูรุ่นที่จูนมาสำหรับใช้กับ iPhone ด้วยถึงจะให้เสียงที่ดี แต่ก็ไม่ใช่คุณภาพเสียงสูงสุดที่ Bluetooth จะทำได้
- ไ
ม่รองรับ Hi-res Audio ก็ไม่รู้จะเอาไฟล์ชนิดนี้ไปเล่นใน iPhone ยังไงเอาใหม่ มีคนเถียงว่ามันเล่นไฟล์ Hi-Res ได้ ก็ต้องเขียนลงรายละเอียดลึกลงไปอีก- การรองรับ Hi-Res Audio ของ iPhone นั้นจะรองรับโดยพื้นฐานที่ความละเอียดเสียง 48 kHz 24 Bit ถ้าไฟล์ที่ความละเอียดสูงกว่านี้จะเล่นบนแอปปกติของเครื่องไม่ได้ ต้องใช้ท่ายากเล่น
- การใช้ตัวแปลง Lighting เป็น 3.5 mm ก็ให้ความละเอียดเสียงสูงสุดที่ 48 kHz เท่านั้น ถ้าไฟล์ความละเอียดสูงกว่านี้จะถูก Downsample ลงมา เพราะฉะนั้น ถ้าคุณฟังเพลงด้วย iPhone ให้ซื้อไฟล์ความละเอียดสูงสุดแค่ 48 kHz 24 bit ก็พอ ถ้าซื้อไฟล์ความละเอียดสูงกว่านี้ก็จะเสียเปล่า แพงโดยใช่เหตุ เว้นว่าคุณจะใช้ท่ายาก
- คือหา DAC แบบ Lighting ที่รองรับความละเอียดสูงกว่านั้นมาเสียบกับ iPhone แล้วใช้แอปเล่นไฟล์แบบ Hi-Res คุณถึงจะเล่นเพลง 96 kHz หรือ 192 kHz ได้อย่างเต็มภาคภูมิ
- สำหรับคนชอบเสียงอลังการ iPhone ก็ไม่มีระบบเสียงพิเศษ พวก Dolby Atmos หรือ DTS ให้เลือกทั้งนั้น ฟังเสียงเพียวๆ อย่างเดียว ซึ่งเสียงก็ยังดีสู้มือถือ Android ที่มี DAC แยกไม่ได้
5. ลืมเรื่อง iOS มีแอปดี ระบบเสถียรไปได้เลย นั้นมันอดีต
คนที่ใช้ iPhone มาตลอด ไม่เคยใช้ Android อาจจะชอบพูดว่า iPhone มีแอปที่ดีกว่า เสถียรกว่า แต่ขอโทษครับ นั้นมันความคิดเมื่อ 2-3 ปีก่อน และปัจจุบันไม่ใช่แบบนั้นแล้ว
ถ้าคุณลองลิสรายการแอปที่ใช้ในชีวิตประจำวันเป็นหลักมา มันก็หนีไม่พ้น facebook, LINE, Instagram, Messenger, WhatsApp, Web Browser ซึ่งแอปทั้งหมดนี้ทั้ง iOS และ Android นั้นมีเหมือนกันครับ แถม Android ให้ประสบการณ์ดีกว่า iPhone ด้วย
- facebook ของฝั่ง Android ไม่มีปัญหากด See more แล้วไม่ขึ้นนะจ๊ะ
- Browser ของ Android ก็เปิดหน้าเว็บได้เยอะกว่า ไม่ต้องรีโหลดบ่อยๆ เพราะแรมในเครื่องเยอะกว่า
- ผู้ใช้ฝั่ง Android เปิดแอปได้ 2 ตัวพร้อมกันได้ด้วย บางรุ่นลง LINE ได้ 2 บัญชีในเครื่องเดียว
- ฟีเจอร์จำเป็นอย่างการบันทึกเสียงสนทนา หรือการแคปภาพตามแนวยาว iPhone ก็ทำไม่ได้
ส่วนเรื่องความเสถียร แอดก็ใช้ Android มายาวนาน หลายรุ่น ก็ไม่เห็นมันจะค้าง หรือแฮงค์มากกว่า iPhone ตรงไหนเลย เรื่องเดียวที่ iPhone จะดีกว่าจริงๆ คือมีแอปให้เลือกเยอะกว่า พวกแอปกล้องมีหลากหลาย หรือเกมก็มีเกมอินดี้เยอะนั้นแหละ
สุดท้ายจึงอยากจะบอกว่า ถ้าคุณยังคิดว่า iPhone ดีกว่าทุกอย่างโดยที่ยังไม่เคยใช้ Android ดีๆ สักรุ่น (เช่น Huawei Mate 20 X, OPPO R17Pro, OnePlus 6T, Asus Zenfone 5) ขอให้ได้ลองใช้ก่อนสักเดือนหนึ่งครับ แล้วกลับมาคุยกันใหม่เนอะ
ปล. ถ้าอ่านแล้วหงุดหงิด แอดรวบรวม 5 ข้อดีของ iPhone ที่ทำให้เรายังซื้อกันอยู่ จากคอมเมนต์ของบทความนี้มาให้แล้ว ลองอ่านดูครับ