จากกรณี Donald Trump นำออกคำสั่งทางการบริหารห้ามบริษัทอเมริกาทำธุรกิจกับบริษัทเทคโนโลยีจีนที่อาจเป็นภัยต่อความมั่นคง จนทำให้ Google อาจต้องเลิกให้บริการซอฟต์แวร์ของตัวเองบนมือถือ Huawei และบริษัทเทคโนโลยีอเมริกาหลายรายอย่าง Intel, Qualcomm, Broadcom ก็เตรียมหยุดการทำธุรกิจกับ Huawei ด้วยตามคำสั่งของรัฐบาล ซึ่งถ้ากรณีนี้ยืดเยื้ออาจส่งผลกระทบหนักสุดหนึ่งใน 2 ทางคือ

  1. Huawei ลดขนาดลง ลดการเติบโตลง และต้องยอมสหรัฐเหมือนที่ ZTE เคยต้องยอมสหรัฐมาแล้ว และจีนก็ต้องระวังการปะทะกับสหรัฐอเมริกามากขึ้น
  2. บริษัทเทคโนโลยีของอเมริกาสูญเสียอำนาจในการต่อรองด้านเทคโนโลยี กลายเป็นจีนสามารถครองโลกเทคโนโลยีได้แทน

“แบน Huawei” มูฟแรกของสหรัฐอเมริกาที่ทำให้บริษัทจีนเจ็บหนัก

แม้ว่าสหรัฐอเมริกาจะไม่สามารถกีดกัน Huawei ไม่ให้ใช้ Android ได้ เพราะแกนกลางของระบบ Google เปิดเป็น Android Open Source Project (AOSP) เพื่อให้ทุกคนบนโลกสามารถนำไปพัฒนาต่อได้ฟรี ซึ่งในส่วนนี้ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่รัฐบาลจะมีอำนาจสั่งให้บริษัทเทคโนโลยีงดทำธุรกิจกับบริษัทจีนได้

แต่อีกส่วนหนึ่งที่ทำให้ Google สามารถกุมหัวใจของ Android ได้ แม้จะเปิดแกนกลางให้ทุกคนใช้ได้ฟรีๆ คือ Google Play Service และ Google Mobile Services (GMS) เช่น Gmail, Google Maps, Google Play Store บริการกลุ่มนี้ทุกบริษัทที่ต้องการใช้ จะต้องมายืนยันตัวและขออนุญาตใช้งานจาก Google จึงจะใช้ได้ ซึ่งบริการกลุ่มนี้เองที่เป็นตัวชี้เป็นชี้ตายของอุปกรณ์ Android “ก็ใครจะอยากใช้เครื่องที่ใช้ Play Store ไม่ได้ ลงแอปจาก Play Store ไม่ได้กันล่ะ” ทำให้สมาร์ตโฟน Android ทุกเครื่อง Google ก็ยังได้รับผลประโยชน์อยู่ดี เพราะจะต้องมีแอปของตัวเองติดตั้งอยู่

เมื่อคำสั่งจากรัฐบาลทำให้สมาร์ตโฟนรุ่นที่กำลังจะออกในอนาคตของ Huawei ยังสามารถใช้ Android ได้ แต่ไม่สามารถใช้บริการจาก Google ได้ จะทำให้เกิดผลดังนี้

  1. สมาร์ตโฟนของ Huawei ที่ขายในจีน ไม่ได้รับผลกระทบอะไร เพราะไม่ได้ใช้บริการจากกูเกิ้ลอยู่แล้ว ทุกวันนี้ก็ใช้หน้าดาวน์โหลดแอปของตัวเอง มีบริการของตัวเองที่ใช้แทน Google ได้หมด
  2. สมาร์ตโฟนของ Huawei ที่ขายไปทั่วโลก จะได้รับผลกระทบหนัก นอกจากจะดาวน์โหลดแอปผ่าน Play Store ไม่ได้ แอปแบบ apk ที่ดาวน์โหลดมาเองก็อาจจะใช้ไม่ได้ เพราะไม่มี Google Play Service แล้ว ซึ่งฟังก์ชั่นหลายอย่างในแอปปัจจุบัน เช่นการเรียกแผนที่, การตรวจสอบขนาดจอ, การเรียกเก็บเงิน ก็เป็น API ของ Google Play Service

นอกจากนี้ การที่บริษัทสหรัฐอื่นๆ ไม่สามารถทำธุรกิจกับหัวเว่ยได้ ก็ทำให้หัวเว่ยอาจมีปัญหาเรื่องชิ้นส่วนการผลิต หรือกระบวนการผลิตอื่นๆ ได้

ซึ่งเมื่อสหรัฐอเมริกาเปิดหน้าชกกันมาแบบนี้ Huawei เจ็บหนักแน่นอน กลายเป็นว่าธุรกิจของตัวเองที่กำลังเติบโตในประเทศโซนยุโรปและเอเชียต้องมาหยุดชะงัก ผู้บริโภคก็ไม่มั่นใจว่าผลิตภัณฑ์ของ Huawei จะได้รับการสนับสนุนจาก Google หรือไม่ ก็ทำให้ต้องหยุดคิดและเปลี่ยนไปซื้อแบรนด์อื่นๆ แทน

ในระยะยาว ถ้าสหรัฐอเมริกากดหัวจีนไม่ลง ตัวเองจะเสียหายหนัก

ถ้าใครตามข่าวของ Donald Trump และรัฐบาลกลางสหรัฐอเมริกามาตลอดในช่วงหลัง จะพอเข้าใจภาพว่า “สหรัฐกลัวจีนมาก” และทำทุกทางเพื่อกดหัวบริษัทจากจีนลง ไม่ให้เติบใหญ่เร็วจนเกินไปในตลาดโลก โดยเฉพาะในรัฐบาลของ Trump ที่มีภาพลักษณ์ชัดเจนว่าจะทำให้อเมริกาเจ๋งอีกครั้ง (make america great again) ก็ต้องทำทุกทางเพื่อยับยั้งการเติบโตของจีนนี้ และทำให้บริษัทอเมริกาแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งก็เป็นเหตุเป็นผลกับสิ่งที่ทำออกมา

  • ขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 25% จากเดิม 10% ทำให้ประชาชนสหรัฐซื้อของจากจีนน้อยลง และหันมาซื้อของสหรัฐมากขึ้น แม้ว่าจะต้องทำให้คนเสียเงินซื้อของมากขึ้น
  • แบนเทคโนโลยีจากจีน ทำให้ Huawei และ ZTE ไม่สามารถเติบโตได้ในสหรัฐ บริษัทเทคโนโลยีของสหรัฐมีโอกาสเติบโตมากขึ้น แม้ว่าจะทำให้เทคโนโลยี 5G ในสหรัฐแพร่หลายช้า และต้องใช้เงินลงทุนมากกว่าเทคโนโลยีจากจีนมาก
  • ห้ามบริษัทอเมริกาทำธุรกิจกับ Huawei ทำให้หัวเว่ยโตช้าลง

เมื่อสหรัฐออกหมัดหนัก ทั้งจับตัวรองประธาน Huawei และ ห้ามบริษัทอเมริกาทำธุรกิจกับบริษัทจีนอย่างหัวเว่ยนั้น กลายเป็นสหรัฐขึ้นขี่หลังเสือ เร่งเหตุการณ์ให้เร็วขึ้นแบบย้อนกลับไม่ได้แล้ว ถ้า Huawei และจีนไม่ยอมอ่อนข้อให้สหรัฐเหมือนกับกรณีของ ZTE ที่ยอมจ่ายค่าปรับและทำตามที่สหรัฐต้องการล่ะ มันจะกลายเป็นการเร่งให้จีนมีเทคโนโลยีที่จำเป็น เป็นของตัวเองรึเปล่า แทนที่จะใช้ของอเมริกาไปเรื่อยๆ อย่างตอนนี้

อย่างที่เราทราบกันแล้วว่า Huawei เองก็เตรียมแผนสำรองสำหรับกรณีที่โดนสหรัฐเล่นงานอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน เช่นการพัฒนา OS ของตัวเองและพัฒนาระบบต่างๆ ของตัวเอง นอกจากการพัฒนาชิปประมวลผล หรือชิปเครือข่ายต่างๆ ที่หัวเว่ยสามารถทำได้เองอยู่แล้วในปัจจุบัน แน่นอนว่าการเริ่มต้นใช้ระบบของตัวเองเหล่านี้มันจะทำให้หัวเว่ยเจ็บหนัก เพราะต้องเสียผู้ใช้ไปมากมาย แต่ถ้าหัวเว่ยทนได้ และพัฒนาต่อเนื่องได้ดีพอ ในอนาคตกลายเป็นว่าอเมริกาเสียอำนาจในการต่อรองเทคโนโลยีสำคัญของโลกไป เพราะจีนเร่งพัฒนาขึ้นมาจนสู้ได้และเป็นตัวเลือกให้นานาชาติใช้แทน เมื่อถึงวันนั้น คนที่เจ็บหนักจะกลายเป็นอเมริกาแทน

ซึ่งแน่นอนว่าอเมริกาคงไม่ต้องการให้เกิดเรื่องแบบนั้นแน่ เราจึงจะเห็นมาตรการกดหัวจีนของสหรัฐต่อไป อย่างน้อยก็จนกว่า Donald Trump จะหมดอำนาจ และอเมริกาได้ผู้นำใหม่ที่มีแนวคิดต่างจากนี้ แต่ก็คิดได้ว่าการตัดสินใจปล่อยหมัดหนักครั้งนี้ ก็อาจทำเพื่อเรียกคะแนนเสียงจากชาวอเมริกันที่หวังให้ อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้เช่นกัน

การเมืองในสหรัฐ แค่เอาใจคะแนนเสียงในประเทศแต่สะเทือนทั้งโลก

ถ้าดูจากคะแนนนิยมของ Donald Trump แล้ว ทรัมป์ไม่เคยได้ผลโพลล์ชื่นชอบการดำเนินงานเกิน 50% ของผลสำรวจเลย และการจัดอันดับประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ชื่อของ Donald Trump ก็อยู่อันดับท้ายๆ ตารางอยู่เสมอ และการเลือกตั้งรอบกลางเทอมเมื่อปี 2018 ของสหรัฐ พรรครีพับลิกันของทรัมป์กลับได้จำนวนสส. น้อยกว่าพรรคเดโมแครต แต่ในส่วนของวุฒิสภาพรรครีพับลิกันก็ยังได้จำนวนมากกว่าอยู่ ซึ่งถ้ามองกันคร่าวๆ การที่ทรัมป์จะได้เป็นประธานาธิบดีอีกสมัยจากการเลือกตั้งครั้งต่อไปในเดือนพฤศจิกายน 2020 ก็ดูจะเป็นไปได้ยากกว่าครั้งแรก

ซึ่งการเลือกตั้งในครั้งหน้า คุณ  ทีมงานแบไต๋ที่ติดตามการเมืองสหรัฐมาตลอดให้ความเห็นดังนี้

ถ้าสังเกตที่ผ่านมาพรรครีพับลิกันมีแนวโน้มชอบสร้างสงครามเรียกกระแสชาตินิยม เพื่อสร้างเสียงนิยมอยู่แล้ว ทั้งกรณีของตาลีบัน หรืออิรัก แต่โลกปัจจุบันมันเปลี่ยนไปแล้ว ตัวร้ายที่ก่อสงครามได้จริงๆ ไม่มีใครแล้ว ฝั่งรัสเซียก็มีชนักติดหลังเรื่องช่วยเลือกตั้งทรัมป์รอบก่อนอีก แถมไม่คุ้มอะไรด้วยจะไปเล่น แม้ว่าจริงๆ ทรัมป์มีไพ่ในมืออีกอันคือสงครามกับอิหร่าน ตอนนี้ก็ส่งกองทัพไปรอที่ปากอ่าวแล้วด้วย แต่รอบนี้จะเดินเกมเหมือนอิรักคงไม่ง่าย คนต่อต้านคงหนักกว่ารอบอิรัก สงครามกับจีนน่าจะให้ภาพของการชิงมหาอำนาจโลกที่แท้จริงและดูไม่เป็นคนรุนแรงเท่าการทำสงครามด้วยอาวุธกับอิหร่านด้วย จัดให้จีนนี่ล่ะเป็นภัยคุกคามความยิ่งใหญ่ใหม่ที่แท้ทรู จึงจัดเต็มในคราวนี้

ไปดูกระแสฝั่งเดโมแครตบ้าง ก็ไม่ใช่ว่าจีนจะสบายใจได้ทีเดียวหรอก ในฝั่งเดโมแครตก็มีตัวแรงที่ไม่เอาเทคโนโลยีจีนเหมือนกัน (ก็มีแนวคิดว่าอเมริกาต้องไปดึงแคนาดา ญี่ปุ่น เกาหลีเป็นพวกชดเชยที่เสียจีนไป) แต่กระแสอาจไม่แรงเท่า Bernie Sanders ที่ภาพรักอบอุ่นประนีประนอมมากว่า ซึ่งจีนเชียร์ Bernie Sanders นี่ล่ะ เพราะน่าจะคุยง่ายกว่าให้ลุ้นร่วมชิงตำแหน่งประธานาธิบดีคนต่อไป ดังนั้นจีนต้องลุ้นสองต่อ เดโมแครตได้สายประนีประนอมมาชิง แล้วต้องลุ้นให้ชนะรีพับลิกันด้วย

แน่นอนว่าเรื่องแบบนี้ทรัมป์ก็รู้แล้วว่า ถ้าไม่กดดันให้เกิดผลงานในรุ่นเขาก็จะมีแต่ภาพแย่ๆ ติดตัวไปจนเลือกตั้ง ก็ต้องเร่งต่อรองกับจีนให้รู้สึกว่าอเมริกามีอำนาจต่อรองมากกว่าให้ได้ ซึ่งทรัมป์ก็หลุดพูดออกมาทีว่าที่จีนฝันว่าเบอร์นี่จะชนะจะไม่มีทางเกิดขึ้น และถ้าไม่รีบเจรจาให้เขาพอใจตอนนี้ ถ้าเขาได้กลับมาอีกในสมัยหน้าจะจัดหนักจีนยิ่งกว่านี้อีก

แต่มูฟของสหรัฐเอาจริงทั้งคนจีนและคนอเมริกาทั่วไปไม่ได้เดือดร้อนเท่าไหร่ (คนจีนก็ใช้ Huawei ที่ไม่มี Google อยู่แล้ว ส่วนคนอเมริกันก็ไม่ได้ใช้หัวเว่ยอยู่แล้ว) แต่คนใช้หัวเว่ยทั่วโลกไม่รู้สึกดีกับอเมริกาแน่ๆ ก็ไม่รู้ได้คุ้มเสียมั้ย แต่มันก็ตามนโยบายเด๊ะ ทำอเมริกายิ่งใหญ่อีกครั้ง อะไรไม่เกี่ยวเมกาทรัมป์ไม่สน

ซึ่งต้องรอดูกันต่อไปว่าจะลงเอยกันยังไง