จั่วหัวด้านลบหน่อยนะครับฉบับนี้ พอดีผมได้ลองใช้งานแว่น VR หรือ “Virtual Reality” เทคโนโลยีใหม่ที่หวังเปลี่ยนโลกออนไลน์ให้กลายเป็นโลกเสมือนได้จริงจังดั่งจินตนาการฮอลลีวูดที่ให้ไว้ในหนังยุค’90 อย่าง “Virtuosity” ในสมัยที่ Russell Crowe ยังเล่นเป็นผู้ร้าย (และ Denzel Washington ยังหนุ่มมาก!)

ต้องยอมรับครับว่าความพยายามในการทำ “แว่น VR” มีมานานมากแล้วและทำได้เพียงแค่ระดับ “ของเล่น” เท่านั้น เป็นเพียงงานทดลองที่ออกวางขายและก็สร้างเสียงฮือฮาไม่ได้เนื่องมาจากความ “ไม่จริง” ของมัน ซึ่งเป็นแค่ “หน้าจอเล็กๆเหลี่ยมๆฝังไว้ในแว่น” … แต่ล่าสุดโลกก็ได้ฮือฮากับโปรเจค “Oculus Rift” แว่น VR ของมหาเนิร์ดชาวเกมเมอร์อย่าง Palmer Luckey หนุ่มผู้โชคดี (และหัวดี) สมชื่อสกุล ทำโปรเจคสร้างโลกเสมือนได้สมจริงใน ระดับที่โลกต้องทึ่ง ถึงขนาดที่ Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook (ซึ่งก็เนิร์ดไม่แพ้กัน) ทุ่มเงินระดับ 2,000 ล้านเหรียญซื้อกิจการ Oculus™ เพื่อดันให้ Palmer Luckey สามารถทำฝันให้ออกมาเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทุกคนใส่กันเหมือนถุงเท้านักเรียนคาร์สันได้จริง 🙂

IMG_0801
ผมได้แว่นใหม่ที่ Oculus™ ถูกว่าจ้างให้พัฒนาเทคโนโลยีให้ นั่นก็คือ Samsung GearVR™ โปรเจคสุดล้ำที่วางขายแล้วในอเมริกา ทาง Gadzbox.com ได้สอยเข้ามาในราชอาณาจักรไทยแล้วเพื่อ เทสต์ ราคาเพียง 200 เหรียญเท่านั้น เหตุผลก็เพราะมันเป็นเพียงแค่ “กรอบแว่น” เราต้องซื้อ Galaxy Note4 มาสอดใส่เป็นจอแสดงผลอีกต่อหนึ่งถึงจะทำให้เราเข้าสู่โลก Virtual Reality ได้ … ซึ่งทันทีที่สวมใส่เข้ากับดวงตาก็อ้าปากค้างทันที มันคือโลกเสมือนที่เราเกลือกตามองได้ 360 องศาจริงๆ หันซ้ายขวา-บนล่างไปทางไหนก็เห็นภาพจากมุมมองอื่นรอบตัวได้เหมือนชีวิตจริง กล่าวคือ “มันไม่มีกรอบของจอภาพสี่เหลี่ยม” มากำหนดมุมมองเราได้อีก ภาพที่ได้คือภาพเต็มตาด้วยฤทธิ์อำนาจของ”เลนส์นูน”ที่ดูดสาย ตาเราเข้าไปติดจอภาพ Galaxy Note4 สีสด (เสียวสายตาเสียเหมือนกันนะครับ Super AMOLED แสดงผลสีสันได้ถึง 65 ล้านสี!!) เคล็ดลับของมันนอกจากเลนส์นูนคือการแสดงผลซอฟต์แวร์ออกเป็นภาพคล้ายกัน 2 ภาพแล้วใช้ “ความใกล้” บังคับลูกตาเราให้มองภาพ 2 ภาพนี้ “ซ้อนกัน” ..เมื่อภาพ 2 ภาพซ้อนกันแล้วเกิดอะไรขึ้นครับ? ยุคนึงคุณคงจำโปสเตอร์กราฟฟิกจุดยึกยือๆ ที่แปะไว้หน้าร้านหนังสือล่อให้ “คนทำตาเหล่เป็น”มามองเห็น “ไดโนเสาร์ลอยได้” ที่ซ่อนอยู่ในภาพ ..นั่นแหละครับหลักการเดียวกันเลย! ไอ้เด็กเนิร์ดนั่นมันไม่ได้คิดอะไรใหม่เลยครับ แต่มันเผือกคิดออกว่าทำอย่างไรมนุษย์จึงจะหลุดเข้าสู่โลกเสมือนนี้ได้โดยสมบูรณ์

IMG_0804

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของเรื่องนี้คือ “การออกแบบซอฟต์แวร์ของ Oculus” นั่นเอง รูปแบบที่ถูกนำมาสื่อในโลกเสมือนทำ ให้ผมนึกถึง “ภาพของโลกโซเชียลในอนาคต” เลยครับ Oculus ทำแอปสถานที่ท่องเที่ยวแบบ 360 องศาให้เราสำรวจโลกรอบตัวได้ (แต่ยังเดินไม่ได้นะครับ) แอปโรงหนังก็ให้เราเห็นหนังบนจอผ้าใบสี่เหลี่ยมท่ามกลางบรรยากาศของโรงหนังจริงๆ หลากหลายดีไซน์ ยามเราหันไปข้างๆ นี่เจอเก้าอี้เต็ม เลยครับ ..ทีนี้คุณลองจินตนาการตามผมนะ “แว่นนี้มันออนไลน์ได้ แล้ว Facebook ก็เป็นเจ้าของมัน แล้วไอ้ Facebook เนี่ยมันมีสมาชิกอยู่ 1,300 ล้านคนทั่วโลก วันหนึ่งประกาศบริการใหม่ว่าใครใส่แว่น Oculus Rift เล่น Facebook ได้ ก็แปลว่า แอปท่องเที่ยว, แอปโรงหนัง, แอปเกม ฯลฯ ที่เคยมีเราเล่นอยู่เพียงผู้เดียว มันจะมี “ร่างอวตารของเพื่อนคนอื่นๆเข้ามาอยู่ในโลกเสมือนนี้ด้วยไงครับ!!!” น่าขนลุกนะ และมันจะเป็นเช่นนั้นแน่นอนเพราะการลงทุน 2 พันล้านเหรียญหรือกว่า 6 หมื่นล้านบาทเข้าทุ่มซื้อกิจการครั้งนี้คงไม่เป็นเพียงแค่การสร้างเครื่องเล่นเกมแบบใหม่เท่า นั้นเป็นแน่…

IMG_0798

ผมทดสอบระบบ Oculus บนแว่นซัมซุง GearVR™ อยู่นาน 30 นาที ผมเพลิดเพลินกับมันอย่างมาก ยิ้มแย้มรับกับภาพมหัศจรรย์บนใบหน้า ในสมองคิดถึงแต่โลกอนาคตอีกไม่ไกลที่คงจะมหัศจรรย์ไปกว่านี้เมื่อ “ทุกๆ คนออนไลน์พร้อมๆกัน” พร้อมความกังวลเล็กๆว่าเมื่อโลกออนไลน์มันสมจริงขนาดนี้แล้ว “คนที่จะเสพติดโลกโซเชียลแบบแยกแยะไม่ออก” คงจะเกิดขึ้นอีกมากและเป็นปัญหาสังคมตามมา (คนเล่นเกมไล่ล่าแล้วอินจัดจนมาไล่ฆ่าคนคงมีให้เห็นอีกแน่!) …ผมถอดแว่นนี้ออกท่ามกลางแสงไฟฉากสีเหลืองรายการ TheRevieWER ผมทรุดลงไปบนโต๊ะแทบจะทันที ภาพจากโลกจริงมันแทงเข้ามาในลูกตาที่เพิ่งผ่านการท่องโลกเสมือนไปไม่นาน ความรู้สึกไม่ต่างจาก “นีโอหลุดออกจากโลก Matrix” มอร์เฟียสคืออาจารย์ศุภเดชที่อยู่ด้านข้างถึงกับต้องถามว่า “ไหวไหมเพื่อน!?” …

เรื่องแว่น VR นี่ไม่มีคำตอบอื่นให้อีกแล้วนอกจากคำว่า “ต้องลองเอง” ครับ..