ตอนนี้เราอยู่ในทางแยกของเทคโนโลยีรถยนต์นะครับ ทางแยกแรกคือความเป็นไปของตลาดรถยนต์ในบ้านเราที่ยังเน้นไปที่รถแบบใช้น้ำมันที่คุ้นเคย และก้าวเข้าสู่รถยนต์ Hybrid ที่ใช้เครื่องยนต์ผสมระหว่างไฟฟ้ากับน้ำมัน
ส่วนอีกทางแยกหนึ่งคือรถยนต์ที่ใช้ไฟฟ้า 100% หรือที่เรียกว่า Battery Electric Vehicle : BEV ซึ่งตอนนี้เป็นเทรนด์สำคัญในต่างประเทศที่รัฐบาลนานาชาติร่วมกันสนับสนุน ซึ่งเราว่าทางเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้านั้นทั้งดูล้ำนำเทรนด์ในไทย และยังมีข้อดีหลายอย่างที่ทำให้เหมาะสำหรับการใช้งานรถยนต์ในชีวิตประจำวันครับ
รู้จักรถยนต์ประเภทต่างๆ ในปัจจุบัน
ตอนนี้เราอาจแบ่งรถยนต์ที่ใช้ในไทยออกเป็น 4 ประเภทหลักๆ คือ
- รถยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine : ICE) ที่ใช้น้ำมันล้วนๆ ซึ่งเราใช้กันมาอย่างยาวนาน มีข้อดีตรงสามารถหาที่เติมน้ำมันได้ง่าย ใช้เวลาเติมไม่กี่นาทีก็สามารถขับได้อีกหลายร้อยกิโล แต่ต้องบำรุงรักษาพอสมควร และระหว่างการขับขี่จะมีการปล่อยไอเสียและก๊าซเรือนกระจกออกมา
- รถไฮบริด – HEV (Hybrid Electric Vehicle) คือรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้าและน้ำมัน โดยอาศัยจุดเด่นของมอเตอร์ไฟฟ้าที่มีแรงบิดสูงมาช่วยในการขับเคลื่อน ไปพร้อม ๆ กับเครื่องยนต์ ทำให้ประหยัดน้ำมันมากขึ้น โดยรถประเภทนี้จะไม่สามารถเสียบชาร์จไฟได้ ต้องชาร์จระหว่างที่ขับขี่เท่านั้น และจะมีค่าบำรุงรักษาที่สูงขึ้นเพราะต้องดูแลทั้งระบบไฟฟ้า และเครื่องยนต์ ซึ่งรถยนต์ไฮบริดในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะเป็นรถซีดานที่มีราคาระหว่าง 1 – 1.79 ล้านบาท
- รถไฮบริดแบบเสียบปลั้ก – PHEV (Plug in Hybrid) พัฒนาขึ้นมาจากรถไฮบริดแบบธรรมดา โดยมีแบตเตอรี่ใหญ่ขึ้น สามารถชาร์จแบตเตอรี่จากภายนอก ควบคู่ไปกับการใช้เครื่องยนต์น้ำมันปั่นไฟให้ในระหว่างขับขี่ ทำให้การขับรถในระยะที่ไม่ไกลนัก ผู้ใช้สามารถเลือกขับเคลื่อนรถยนต์ด้วยพลังงานไฟฟ้าอย่างเดียวก็ได้ แต่ก็มีค่าบำรุงรักษาเยอะ และยังปล่อยไอเสียอยู่ดี ซึ่งรถยนต์ปลั๊กอินไฮบริดในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมีในรถยนต์ระดับพรีเมียมด้วยราคาเฉลี่ยที่มากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป
- รถยนต์ไฟฟ้า – BEV (Battery Electric Vehicle) เป็นรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าจากแบตเตอรี่เพื่อขับเคลื่อนล้วน ๆ โดยไม่มีเครื่องยนต์และไม่ต้องเติมน้ำมัน ใช้การเสียบชาร์จอย่างเดียว ข้อดีคือให้ประสิทธิภาพการขับเคลื่อนสูง เหยียบเร่งแล้วกำลังมาทันที ค่าใช้จ่ายในการเดินทางถูก ค่าบำรุงรักษาต่ำเพราะไม่มีทั้งเครื่องยนต์และชุดเกียร์ขนาดใหญ่ ไม่มีไอเสีย แต่การขับออกไปต่างจังหวัดไกล ๆ ต้องวางแผนจุดชาร์จให้เหมาะสม
ความพิเศษของรถยนต์ไฟฟ้า
เครื่องยนต์น้ำมันนั้นมีลักษณะเฉพาะอยู่ตรงที่แรงบิดน้อยนะครับ เพราะฉะนั้นจึงต้องมีชุดเกียร์ขนาดใหญ่เพื่อทดรอบการหมุนของเครื่องยนต์ให้ออกมาเป็นกำลังในการขับเคลื่อนที่เหมาะสมในสถานการณ์ต่าง ๆ เช่นการขึ้นเขา ต้องใช้เกียร์ต่ำเพื่อทดรอบจำนวนมากให้ได้แรงบิดออกมาเยอะจึงปีนขึ้นเขาได้ ส่วนการใช้ความเร็วสูง ๆ จะใช้เกียร์สูงขึ้นเพราะรถมีแรงเฉื่อยอยู่แล้ว ทำให้ไม่ต้องทดรอบเยอะครับ
แต่มอเตอร์ไฟฟ้านั้นใช้พลังงานจากไฟฟ้าในการขับเคลื่อน ซึ่งทำให้ได้แรงบิดเยอะ จนไม่ต้องใช้ชุดเกียร์ขนาดใหญ่ที่ซับซ้อน แค่มีเกียร์เดินหน้ากับถอยหลังก็สามารถลุยได้ทุกพื้นที่แล้ว
เมื่อความซับซ้อนของระบบขับเคลื่อนรถยนต์ไฟฟ้ามีน้อยกว่า จึงทำให้ค่าซ่อมบำรุงต่ำกว่าเครื่องยนต์น้ำมันมาก เพราะไม่ต้องเปลี่ยนน้ำมันเครื่องบ่อยๆ ไม่ต้องดูแลเกียร์ ยกตัวอย่างให้เห็นภาพอย่าง NEW MG ZS EV ตลอดระยะทาง 100,000 กิโลเมตร มีค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงตามระยะทางแค่ 8,545 บาทเท่านั้น ซึ่งเทียบกับรถใช้น้ำมัน ค่าบำรุงแค่ปีเดียวก็เป็นหลักหมื่นแล้ว พร้อมรับประกันแบตเตอรี่นาน 8 ปี หรือ 180,000 กิโลเมตร แล้วแต่อย่างใดอย่างหนึ่งถึงก่อนครับ
รถยนต์ไฟฟ้ามาพร้อมความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ภาพลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้าที่คนทั่วไปเข้าใจในตอนนี้คือเป็นรถยนต์ที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษ ฝุ่น PM2.5 ก็ไม่มีระหว่างขับขี่ และในแง่มุมของเทคโนโลยี รถยนต์ไฟฟ้าก็มักมาพร้อมเทคโนโลยีหรือออฟชันในการขับขี่ที่จัดเต็มกว่ารถยนต์ทั่วไป เพราะภาพลักษณ์ของรถยนต์ไฟฟ้าคือรถยนต์แห่งอนาคต ผู้เลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าก็มักจะเป็นคนทันสมัย ต้องการส่วนประกอบในรถที่ตอบสนองการใช้ชีวิตในรูปแบบใหม่ ๆ ด้วย
ซึ่งเทคโนโลยีต่าง ๆ ที่เริ่มใช้แล้วในรถยนต์ไฟฟ้าปัจจุบันก็เหมือนเป็นจุดเริ่มต้นไปสู่รถยนต์ในอนาคต ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า ทำงานอัตโนมัติไร้คนขับ หรือรถที่ใช้ร่วมกันได้ (Car Sharing) และรถที่สามารถเชื่อมต่อระหว่างคนกับรถ (Connectivity Car) การเปลี่ยนผ่านของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ จะถูกขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่ม Tech Savvy ที่ชื่นชอบและหลงใหลในเทคโนโลยี
อย่าง NEW MG ZS EV เองก็มีระบบสนับสนุนผู้ขับขี่มากมายอย่าง Adaptive Cruise Control ที่ควบคุมคันเร่งอัตโนมัติให้สัมพันธ์กับรถคันหน้า พร้อมระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ระบบแจ้งเตือนอันตรายในมุมอับสายตา และยังมีระบบความปลอดภัยอีกหลายรายการ ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมรถได้อย่างมั่นใจ แล้วในส่วนของการออกแบบก็ยังมีหลังคาแบบ Panoramic Sunroof เพื่อเปิดรับแสงภายนอกได้อีกด้วย
นอกจากนี้ยังมาพร้อม i-Smart ระบบอัจฉริยะที่สามารถสั่งงานด้วยเสียงภาษาไทยจากในรถได้เลย เช่นสั่ง เปิด-ปิดหลังคาด้วยเสียง พูดสั่งระบบปรับอากาศในรถ ซึ่งตัวจอขนาด 8 นิ้วในรถยังสามารถควบคุมระบบความบันเทิงในรถได้อย่างคล่องตัว แถม MG ยังมีแอปสำหรับสมาร์ตโฟนด้วย เพื่อให้ผู้ใช้สั่งล็อก ปลดล็อกประตู, ค้นหาตัวรถ, ตรวจสอบความผิดปกติของตัวรถ หรือตรวจสอบสถานะของแบตเตอรี่รถยนต์พร้อมค้นหาสถานทีชาร์จ หรือกำหนดขอบเขตตำแหน่งของรถและแจ้งเตือนเมื่อรถออกนอกเขตก็ได้
NEW MG ZS EV รถยนต์ไฟฟ้าที่สัมผัสได้แล้ววันนี้
NEW MG ZS EV เป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ที่ราคาคุ้มค่าที่สุดในตลาดไทยตอนนี้นะครับ ด้วยราคาแค่ 1,190,000 บาท แต่ได้รถยนต์ไฟฟ้าแท้ๆ ที่มีความจุแบตเตอรี่ 44.5 kWh สามารถวิ่งได้ไกล 337 กิโลเมตรต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง (ตามมาตรฐาน NEDC หรือมาตรฐานการทดสอบความประหยัดน้ำมันและมลพิษของยุโรป) โดยมีค่าใช้จ่ายของพลังงานน้อยกว่า 1 บาทต่อกิโลเมตร (จากข้อมูลการศึกษาของ บริษัท เอ็มจี เซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยของอัตราการสิ้นเปลืองพลังงานบน ECO Sticker เทียบกับอัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยทั่วประเทศ (ข้อมูลอ้างอิงจากคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน เดือนมิถุนายน 2563))
ซึ่งในเรื่องของแบตเตอรี่ที่หลายคนอาจจะกังวล NEW MG ZS EV ก็มาพร้อมกับระบบระบายความร้อนให้แบตเตอรี่แบบ Liquid Cooling โดยมีน้ำหล่อเย็นช่วยระบายความร้อนที่เกิดขึ้นในขณะใช้งาน เพื่อให้แบตเตอรี่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดและมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น ที่สำคัญคือ SAIC Motor ได้พัฒนาเทคโนโลยีการเปลี่ยนแบตเตอรี่แบบ Module โดยสามารถเปลี่ยนเฉพาะโมดูลที่เสียหายได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ทั้งหมด ช่วยลดค่าบำรุงรักษาในระยะยาวด้วย
โดย MG เป็นหนึ่งในแบรนด์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ SAIC Motor หนึ่งในผู้นำเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าของโลก และเป็นบริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ในจีน ซึ่งมียอดขายรถยนต์รวมกว่า 7 ล้านคันต่อปี โดยมียอดขายรถไฟฟ้า ตั้งแต่ปี 2011 จนถึงปัจจุบัน สูงถึง 270,000 คันทั่วโลก
ปัจจุบัน SAIC Motor ยังคงพัฒนาเทคโนโลยียานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีการแนะนำออกมาแล้วถึง 14 รุ่น แบ่งเป็น รถไฮบริด (HEV) 8 รุ่น และรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV (Electric Vehicle) 6 รุ่น โดยได้เพิ่มขีดความสามารถของผลิตภัณฑ์ ทั้งในด้านของระยะทางการขับขี่ ระบบการควบคุมอัตโนมัติ ระบบขับเคลื่อน และระบบการเชื่อมต่ออย่างต่อเนื่อง
สำหรับประเทศไทย SAIC Motor ได้จับมือกับพันธมิตรสำคัญอย่างเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ก่อตั้ง SAIC Motor-CP ขึ้น ให้ประเทศไทยเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการผลิตและส่งออกรถยนต์พวงมาลัยขวา ภายใต้แบรนด์ MG ครับ
ก็จะเห็นได้ว่า NEW MG ZS EV รถยนต์ไฟฟ้าจาก MG นั้นไม่ธรรมดาทั้งเทคโนโลยีการขับเคลื่อน ระบบสนับสนุนผู้ขับขี่ รวมถึงลูกเล่นมากมายที่อยู่ในตัวรถ ซึ่งเทคโนโลยีล้ำสมัยเหล่านี้ เราก็สามารถเป็นเจ้าของได้ไม่ยากด้วยราคาที่ไม่ได้แตกต่างจากรถระดับเดียวกันที่ใช้เครื่องยนต์น้ำมันเลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส