จากบทสัมภาษณ์ใน หนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ
นายพงศ์สุข หิรัญพฤกษ์ กรรมการผู้จัดการบริษัทโชว์ไร้ขีดจำกัด (โชว์โนลิมิต) ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตรายการโทรทัศน์ไอที เทคโนโลยีทางโทรทัศน์ ได้แก่ รายการแบไต๋ไฮเทค เปิดเผยว่าบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเป็นพันธมิตรทางธุรกิจหรือเป็นคอนเทนท์ โปรวายเดอร์ ให้กับผู้ชนะการประมูลทีวีดิจิทัล 4 รายรวม 5 ช่อง คือ ช่องเอชดี 2 ช่อง ช่องวาไรตี้เอสดี 2 ช่อง และช่องเด็ก 1 ช่อง คาดสรุปแผนการผลิตรายการให้กับทีวีดิจิทัลในเดือน มี.ค.นี้
ปัจจุบันบริษัทผลิตรายการทางช่องฟรีทีวี 4 รายการและหลังจากรับงานทีวีดิจิทัลเพิ่มจะทำให้บริษัทมีรายการเพิ่มอีกราว 5 รายการ รวม 9 รายการ
“ทีวีดิจิทัล ถือเป็นโอกาสทองของคอนเทนท์ โปรวายเดอร์ทุกรายหลายรวมทั้งบริษัท จากเดิมที่มีไอเดียทำรายการมากมาย แต่ไม่มีโอกาสได้ออกอากาศในช่องฟรีทีวี หลังจากนี้จะนำไอเดียรายการมาสร้างสรรค์ให้ช่องดิจิทัล” นายพงศ์สุข กล่าว
สำหรับรายการที่เตรียมนำเสนอช่องทีวีดิจิทัล ยังโฟกัสรายการที่นำเสนอข้อมูลด้านเทคโนโลยี ซึ่งนำมาต่อยอดเป็นเกมส์โชว์และรายการบันเทิงต่าง ๆ เน้นรูปแบบการมีปฏิสัมพันธ์ (Interaction) ร่วมกันระหว่างผู้ชมรยการที่มีอุปกรณ์สามารถรับชมทีวีได้ทุกจอ
นายพงศ์สุขกล่าวอีกว่าการบริหารคอนเทนท์ในช่องทีวีดิจิทัล จะเป็นรูปแบบแบ่งเวลาโฆษณา (Time Sharing) มากที่สุดเนื่องจากเป็นข้อเสนอจากช่องทีวีดิจิทัลแต่ละราย ที่เสนอสัดส่วนเวลาโฆษณาให้แก่คอนเทนท์ โปรวายเดอร์มากขึ้น โดยถือเป็นกลยุทธ์หนึ่งในการดึงดูดคอนเทนท์โปรวายเดอร์ให้มาร่วมงาน
ปีนี้บริษัทจะใช้งบลงทุน 30 ล้านบาทเพื่อรองรับการลงทุนผลิตรายการป้อนทีวีดิจิทัล ทั้งการจ้างบุคลากรเพิ่มเติมในระดับหัวหน้าและทีมงานย่อย โดยจ้างงานทั้งรูปแบบประจำและฟรีแลนซ์ตามความเหมาะสมของทีมงานนั้น ๆ รวมทั้งลงทุนฉากรายการและสตูดิโอใหม่
นอกจากนี้จะให้ความสำคัญกับแผนกขายมากขึ้น โดยแต่งตั้งผู้อำนวยการฝ่ายขายและทีมงานเพื่อดูแลการขายคอนเทนท์และให้ความรู้ด้านทีวีดิจิทัลและแพลตฟอร์มกับลูกค้า เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงการส่งสัญญาณโทรทัศน์ระบบดิจิทัลที่ต่างจากอนาล็อกเดิม เป็นช่วงที่คอนเทนท์ โปรวายเดอร์ต้องสร้างความเข้าใจให้กับเอเยนซีและลูกค้ามากขึ้น
อย่างไรก็ตามคาดว่าการผลิตรายการป้อนช่องทีวีดิจิทัลในปีนี้ จะผลักดันรายได้บริษัทเติบโตเท่าตัว โดยวางเป้าหมายรายได้ปีนี้ 80 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มีรายได้ 40-50 ล้านบาท หลังจากมีรายการใหม่ ๆ ป้อนส่งช่องทีวีดิจิทัลมากขึ้นโดยสัดส่วนรายได้แบ่งเป็นทีวีดิจิทัล โฆษณา และอีเว้นท์ 80% และรับจ้างผลิตรายการให้ช่องฟรีทีวี 20%
ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ฉบับวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ 2557