ใกล้เริ่มยุค Metaverse กันแล้ว แว่น VR ก็มีราคาถูกลงในปัจจุบัน ใครที่อยู่ในวงการ VR หรือเล่น VR เป็นประจำ ก็น่าจะทราบกันดีว่า การที่จะมีเซตอัป Full Body Tracking ได้นั้น เราจะต้่องเสียค่าอุปกรณ์กันมากมาย ไม่ว่าจะเป็น Vive Tracking, Base Station ยังไม่รวมค่าคอมพิวเตอร์ และตัวแว่น VR ที่เราจะสามารถใช้ด้วยกันได้อีก เรียกได้ว่าหมดกันเป็นแสนกันเลยทีเดียว แต่ถ้าเราบอกว่า วันนี้หากคุณมีอุปกรณ์ VR อยู่แล้ว แล้วอยากได้ระบบ Full Body Tracking คุณสามารถหามาใช้ได้ในราคา 269 บาท!
Solution ที่ว่านี้คืิอ Driver4VR ครับ Driver 4VR นั้นคือ tools สำหรับช่วยนำเอาอุปกรณ์ต่าง ๆ มาร่วมใช้กับ VR ได้ เช่นเอา Joy-Con Switch หรือมือถือ มาใช้เป็น Locomotion แทนพวก Kat Loco S ที่เป็นอุปกรณ์ที่มีราคาสูง พูดสั้น ๆ ก็คือนำอุปกรณ์ที่มีเซนเซอร์ต่าง ๆ มาเป็น solution ในการ tracking นั่นเอง
ที่น่าสนใจคือในเวอร์ชันล่าสุดของ Driver4VR นั้นอัปเดตระบบ Webcam Body Tracking ที่ให้เราสามารถนำกล้อง Webcam มาใช้แทนทั้งระบบ Full Body Tracking ราคาแพงได้เกือบทั้งหมด (เนื่องจากยังเป็นเวอร์ชัน beta จึงยังมีข้อจำกัดอยู่บ้าง)
Webcam Body Tracking ของ Driver4VR นั้นใช้ โมเดล Deep Learning ในการ track ส่วนต่าง ๆ ของร่่างกายได้อย่างแม่นยำ ซึ่งแน่นอนว่าการจะประมวลผล image processing เพิ่มเติมนั้นจะต้องใช้ทรัพยากรเครื่องคอมพิวเตอร์เพิ่มเติมอีกด้วย ซึ่งประสิทธิภาพที่ออกมาก็จะขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งสเปกตัวคอมพิวเตอร์เอง และเรื่องการจัดแสงด้วย
สิ่งที่ต้องเตรียม
- แว่น VR
- Webcam / สมาร์ตโฟน
- ซอฟต์แวร์ Driver4VR (Steam)
เซตอัปที่ผมใช้จะเป็นไร้สายล้วน เป็น Oculus Quest 2 ที่ต่อผ่าน AriLink กับตัวคอมพิวเตอร์ และสมาร์ตโฟน ซึ่งก็จะทำให้เซตอัปของเราค่อนข้าง flexible มากหน่อย เพราะไม่ต้องมีสายต่อมาให้น่ารำคาญ
ก่อนอื่นหลังจากโหลด Driver4VR มาแล้ว ต้องเปลี่ยนเป็นเวอร์ชัน beta ก่อนนะครับ เพราะเขาแยกฟีเจอร์นี้เอาไว้ใน beta channel
เข้าไปที่ Steam library คลิกขวา > Properties
เลือก betas > แล้วเปลี่ยนช่อง “Select the beta you would like to opt into:” เป็น beta – Beta เสร็จแล้วรอให้โปรแกรมดาวน์โหลดตัว beta มาใช้แทน
เมื่อเสร็จแล้วก็ต่อแว่น VR พร้อมเปิด SteamVR ได้เลย (ต้องต่อแว่น และเปิดตัว SteamVR ก่อนถึงจะเปิด Driver4VR ได้นะ)
เมื่อเปิดขึ้นมาแล้ว แนะนำให้เข้าไปที่ settings และกดลง “run installer” และเลือก “Auto Launch Driver4VR Clien”เพื่อครั้งต่อไปที่จะเซตอัปขึ้นมาเล่น จะได้ไม่ต้องยุ่งยาก
ต่อไปแนะนำให้ไปตั้งกล้อง Webcam / สมาร์ตโฟนให้เรียบร้อยก่อน ในที่นี้ผมใช้สมาร์ตโฟนต่อเพื่อที่จะได้นำไปวางตรงไหนก็ได้ของห้อง โดยต่อผ่านโปรแกรมที่ชื่อว่า Iruin Webcam
เสร็จแล้วกลับมาที่โปรแกรม ไปที่ Main กด Start ซ้ายบน แล้วเลือกตรง Camera ให้ตรงกับชื่อ Webcam ของเรา ในที่นี้ของผมคือ Iruin Webcam โดยแนะนำให้วางกล้องให้เห็นเราทั้งตัว และต้องมีพื้นที่ให้เราเดินไปข้างหน้า หรือข้างหลังได้โดยที่จะไม่หลุดออกจากเฟรมกล้อง (เราอาจจะใช้พรมหรืออะไรก็ได้วางไว้เพื่อบอกเราเมื่อเราจะโดนออกจะพื้นที่ หรืออาจจะตั้งเป็น Guardian Zone ใน VR ไปเลย)
เสร็จแล้วจะได้หน้าตาประมาณนี้
ในส่วนนี้เราจะต้องตั้งค่ากันเอง ตามเซ็ตอัปของแต่ละคน ถ้าตั้งกล้องระนาบเดียวกันเข้าตัวแบบผมก็สามารถตั้งตามผมได้ โดยเซตอัปของผมจะวางเก้าอี้ไว้ข้างหลัง เผื่ออยากจะถอยหลังไปนั่ง ซึ่งจะทำให้ผมมีพื้นที่เหลือด้านหน้าให้เดินไปมาได้ด้วย
ผมแนะนำให้ปรับ AI Model Complexity เป็น Optimal เพื่อที่จะได้ fps ในการ tracking มากที่สุด (ของผมใช้ AMD Ryzen 5 5600X + GTX 1070 ได้ fps ในการ track ราว ๆ 20-30fps) ซึ่งหากใครคิดว่าคอมแรงพอจะลองปรับเป็น Complexity ก็ได้นะ ลองปรับแก้ตามที่เหมาะสมดูได้ครับ
ก่อนจะเริ่มเข้าเล่นอะไร เราจะต้อง Calibrate กันก่อนหนึ่งครั้ง ซึ่งก็ทำได้ไม่ยาก กด Calibrate แล้วยืนตรง แขนแนบลำตัว และขาแยกออกจากกันนิดหน่อย หลังจากได้ยินเสียงปรบมือก็แปลว่า calibrate เสร็จสิ้นแล้ว
เสร็จแล้วเราก็สามารถเข้าเล่นเกมได้ปกติได้เลย โดยในที่นี้ผมลองใช้กับ VRChat เกมยอดฮิตสำหรับชาว VR
ข้อจำกัด
- ยังสามารถใช้ได้กับกล้องแค่ตัวเดียว จึงทำให้ตลอดการเล่นต้องหันหน้าเข้ากล้องตลอดถึงจะได้ประสิทธิภาพดีที่สุด
- ตัว Driver4VR ยังคุยกับตัวเกมต่าง ๆ ได้ไม่ดีพอ ทั้ง ๆ ที่ตัว AI สามารถ tracking การเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ เนื่องจากมีข้อมูลแค่แนว X และ Y นั่นเอง
- การยืดขา หรือแตะไปข้างหน้ายังทำไม่ค่อยได้
- นั่งไขว่ห้างไม่ได้ หลัก ๆ คือการเคลื่อนไหวที่ต้องมีการยืดขาไปข้างหน้าสูง ๆ หรือการไขว้กันของขายังทำได้ไม่ค่อยดี
ส่วนตัวคิดว่า beta ทำได้ขนาดนี้ก็เจ๋งมากแล้ว ซึ่งการทำงานของมันอาจจะแตกต่างจาก Solution อื่น ๆ อย่าง Xbox Kinect ที่เป็น depth sensor แต่สำหรับการใช้ RGB Webcam ทั่วไปทำได้ขนาดนี้ในเวอร์ชันแรกก็เจ๋งมากแล้ว และหากผู้พัฒนา Driver4VR สามารถ Optimize ตัวโปรแกรมให้คุยกับซอฟต์แวร์นอกได้ดีมากกว่านี้อีกก็คงจะทำให้ประสิทธิภาพสุดท้ายออกมาดีมากกว่านี้
หลังจากลองเล่นไปสักพัก ก็รู้สึกว่าทำให้ความรู้สึกในการเล่น VR มันมีความ immersive มากขึ้น จากปกติที่ใช้งานแบบ Half Body มาตลอด พอเราสามารถควบคุมขาของเรา และท่าทางอื่น ๆ ได้ด้วยก็ทำให้มีประสบการณ์ในการใช้งานที่แตกต่างออกไปอีกแบบ ใครที่สนใจก็ลองจัดตามกันไปได้เลย
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส