เมื่อวันที่ 29 พ.ย. 2564 ที่ผ่านมา กสทช. ร่วมกับ หัวเว่ย เร่งผลักดันพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานไฟเบอร์ ในงาน “Giga Thailand : Broadband Forum” ภายใต้แนวคิด “โครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลที่เอื้อประโยชน์กับทุกฝ่าย” หวังยกระดับมาตรฐานใหม่ของประเทศ เสริมสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ มุ่งสู่ดิจิทัลไทยแลนด์
โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวันมาก ที่ผ่านมาทำให้เราสามารถทำงานต่อไปได้ไม่มีสะดุดอย่างเช่นในช่วงนี้ที่โควิด-19 ก็ยังระบาดอยู่ หลาย ๆ องค์กรมีการปรับเปลี่ยนให้ทำงานอยู่ที่บ้านมากขึ้น ประโยชน์อีกอย่างคือเด็กที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลสามารถได้รับการศึกษาอย่างเท่าเทียมจากอินเทอร์เน็ต และในส่วนของการซื้อขายสินค้าออนไลน์สามารถเพิ่มรายได้ในส่วนนี้ด้วย เรื่องของการสื่อสารแน่นอนว่าเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราใกล้ชิดกันได้มากที่สุดในช่วงนี้ ซึ่งความสำคัญของกลยุทธ์ Giga Thailand ต่อประเทศไทย ในการเป็น ASEAN Digital Hub, สามารถสร้างงานมากขึ้น, ปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงาน และดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น
ความร่วมมือภายใต้โครงการ Giga Thailand : Broadband Forum มีจุดประสงค์เพื่อการเปิดตัวหนังสือปกขาว Giga Thailand ซึ่งจะรวบรวมคำแนะนำเกี่ยวกับการเร่งขยายเครือข่ายบรอดแบนด์ รวมไปถึงการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีและนโยบายสำหรับรองรับโครงข่ายไฟเบอร์ในประเทศไทย โดย กสทช. และหัวเว่ยจะทำงานร่วมกันเพื่อผลักดันเครือข่ายไฟเบอร์บรอดแบนด์ใน 3 ด้าน
- ด้านแรกคือการร่วมมือในการผลักดันเรื่องการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีโครงข่ายไฟเบอร์ให้เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของไทยในอนาคต รวมถึงสนับสนุนให้ขยายความครอบคลุมของโครงข่ายไฟเบอร์เพื่อเพิ่มค่าดัชนีความเชื่อมต่อ (connectivity index) ของประเทศไทย
- ด้านที่สองคือความร่วมมือเพื่อช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางดิจิทัลในประเทศไทย
- ด้านที่สามคือการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลของไทยเพื่อเสริมสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทยทั้งประเทศ
นายไตรรัตน์ วิริยะศิริกุล รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวถึงความร่วมมือในการกล่าวสุนทรพจน์ว่า “โครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์แบบไฟเบอร์มีความสำคัญต่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทย เพื่อขับเคลื่อนดิจิทัล เศรษฐกิจ ตลอดจนการนำเทคโนโลยีใหม่ ๆ มาใช้ การต่อยอดนวัตกรรมแอปพลิเคชันและการสร้าง S-Curve ในทุกอุตสาหกรรมในประเทศ ให้ความครอบคลุมของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์และจะต้องได้รับการเร่งอัปเกรดเป็นมาตรฐานความเร็วกิกะบิต
ยิ่งไปกว่านั้น สถานการณ์ในช่วงสองปีที่ผ่านมาแสดงให้เราเห็นว่าอินเทอร์เน็ตบรอดแบนด์มีความสำคัญมากต่อการใช้ชีวิตในแต่ละวันของเรา และจะมีความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ การเป็นหุ้นส่วนในวันนี้ถือเป็นจุดเริ่มต้นของความพยายามร่วมกันในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ของประเทศไทย ซึ่งจะช่วยผลักดันประเทศให้กลายเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนและช่วยปิดช่องว่างทางดิจิทัลในประเทศ”
ไซมอน หลิน ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ยประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลเป็นประโยชน์ต่อชีวิตส่วนตัว เทคโนโลยีอย่างบรอดแบนด์ 5G คลาวด์ และ AI ทำให้สังคมของเราอยู่ร่วมกันได้ ช่วยให้คนจำนวนมากทำงานจากที่บ้าน เชื่อมต่อกับคนที่เรารัก และเข้าถึงทรัพยากรทางการแพทย์ ในปี 2022 ที่จะถึงนี้จะเปิดบทใหม่สำหรับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล และเชื่อว่าด้วยความพยายามร่วมกันของเรา จะสามารถสร้าง Giga Thailand ที่เชื่อมโยงและครอบคลุมได้อย่างสมบูรณ์”
นายอาเบล เติ้ง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวเสริมว่า “ความเกี่ยวโยงกันระหว่างเทคโนโลยีทั้งหลายจะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่สามารถตีความได้ และเมื่อนำความหนาแน่นของการเชื่อมต่อของเราไปคูณกับขุมพลังการประมวลผลคอมพิวเตอร์ที่เรามีอยู่ ก็จะทำให้เราเห็นถึงความแข็งแกร่งของเศรษฐกิจดิจิทัล ซึ่งการผสมผสานระหว่างการเชื่อมต่อและการประมวลผลจะเปลี่ยนแปลงภาคอุตสาหกรรมทุกภาค ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรมคมนาคม การเงิน พลังงาน และยังจะช่วยสร้างคุณค่าใหม่ให้กับสังคมอีกด้วย ทั้งนี้ เครือข่ายไฟเบอร์บรอดแบนด์ได้กลายเป็นหัวใจสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจดิจิทัลจนไม่ต่างไปจากน้ำกินน้ำใช้หรือกระแสไฟฟ้า และเป็นตัวผลักดันใหม่สำหรับการพัฒนาการเติบโตด้านเศรษฐกิจและสังคมอีกด้วย”
ทางด้านนายภุชพงษ์ โนดไธสง เลขาธิการคณะกรรมการดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวว่า “การเชื่อมต่อด้วยไฟเบอร์ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานด้านไอซีทีที่สำคัญสำหรับรัฐบาลไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าประเทศไทยมีการพัฒนาอย่างรวดเร็วของเครือข่ายบรอดแบนด์และบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเครือข่าย ซึ่งสิ่งนี้จะขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีของประเทศ การพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนการเติบโตอย่างรวดเร็วของเศรษฐกิจดิจิทัล”
ด้าน ดร.อัตสึโกะ โอคุดะ ผู้อำนวยการระดับภูมิภาคของสหภาพโทรคมนาคมระหว่างประเทศ สำนักงานภูมิภาคเอเชียและแปซิฟิก กล่าวว่า “ในขณะเดียวกัน การระบาดใหญ่ของโควิด-19 ได้เน้นย้ำถึงความเร่งด่วนของการเร่งการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัล มายถึงการก้าวไปสู่เป้าหมาย และเป้าหมายของ Connect 2030 ITU คือไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เพื่อสร้างความมั่นใจในการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปลอดภัยและเอื้อต่อการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและนวัตกรรม วาระ Connect 2030 มีส่วนช่วยในทศวรรษแห่งการดำเนินการของ UN เพื่อให้บรรลุเป้าหมาย 2030 Agenda for Sustainable Development และ SDG9 โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ยืดหยุ่น ส่งเสริมอุตสาหกรรมที่ครอบคลุมและยั่งยืน และส่งเสริมนวัตกรรม เทคโนโลยีดิจิทัลและการทำงานของ ITU มีความสำคัญต่อการบรรลุ SDG ทั้ง 17 ประการ ”
และด้านนายวิเชาวน์ รักพงษ์ไพโรจน์ นายกสมาคมโทรคมนาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า “ขณะนี้บรอดแบนด์ของประเทศไทยกำลังเผชิญกับปัญหาสำคัญหลายประการ เช่น อัตราการเจาะไฟเบอร์ต่ำต่อครัวเรือน โดยเฉพาะอาคารเก่าและพื้นที่ห่างไกล รวมถึงความเร็วอินเทอร์เน็ตที่ไม่เท่าเทียมกัน และสายเคเบิลโทรคมนาคมที่ไม่มีการจัดการอย่างเป็นระบบ อย่างไรก็ตาม รัฐบาลไทยควรวางมาตรการเพื่อส่งเสริมการติดตั้งไฟเบอร์ เนื่องจากโครงสร้างพื้นฐานของไฟเบอร์จะขับเคลื่อนสู่ระบบดิจิทัลในอนาคต ทำให้เปิดใช้งานบรอดแบนด์ความเร็วสูง, 5G mmWave และคลาวด์”