รายงานจากทาง Financial Times เผยว่าวัยรุ่นใหม่ชาวอเมริกันมีความชื่นชอบ iOS มากกว่า Android ซึ่งอาจทำให้ส่วนแบ่งในอนาคตตกเป็นของ iOS มากขึ้นเรื่อย ๆ
ตัวอย่างกลุ่มของวัยรุ่นชาวอเมริกันคือ Gen Z ซึ่งเกิดตั้งแต่ปี 1996 ซึ่งมีสัดส่วนของผู้ใช้งาน iPhone ทั้งหมดอยู่ที่ 34% ถือว่าเป็นจำนวนที่ไม่น้อย อีกทั้งประชากรกลุ่มนี้มีแนวโน้มที่จะเข้ามาอยู่ในระบบนิเวศของ Apple อย่างเต็มตัว มีสินค้าอย่างอื่นของ Apple นอกจาก iPhone ด้วย เช่น AirPods, Apple Watch และ Mac เป็นต้น
จริง ๆ เหตุผลของการซื้อ iPhone ในคนกลุ่มนี้ดูเป็นเรื่องหนักใจเสียหน่อย แหล่งที่มาระบุว่าประชากร Gen Z มีความกังวลว่าหากไม่ได้ซื้อ iPhone อาจเกิดการกีดกันได้ ส่งผลให้ประชากรกลุ่มนี้เลือกซื้อ iPhone และผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ของ Apple ตามไปด้วย
แน่นอนว่า Apple ได้ผลประโยชน์ไปเต็ม ๆ เพราะได้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นในสินค้าหลายกลุ่ม
จากข้อมูลเผยว่าทุก ๆ ครั้งที่มีคนซื้อ iPhone ทั้งหมด 100 เครื่อง Apple จะสามารถขาย iPad ได้ทั้งหมด 27 เครื่อง Apple Watch ทั้งหมด 17 เรือน และ AirPods ทั้งหมด 35 เครื่อง ซึ่งแตกต่างจาก Samsung ที่หากขายสมาร์ตโฟนได้ทั้งหมด 100 เครื่อง จะสามารถขายแท็บเล็ตได้เพียง 6 เครื่อง สมาร์ตวอตช์ 6 เรือน และหูฟังไร้สาย 6 เครื่อง
นอกจากนี้ประชากรกลุ่มนี้ยังเป็นกลุ่มที่มีการออนไลน์ผ่านสมาร์ตโฟนมากที่สุดในทุก ๆ เจน เฉลี่ยอยู่ที่ 6 ชั่วโมงต่อวัน ผลที่ตามมาคือ เมื่อระบบนิเวศของ Apple มีความแพร่หลายมากขึ้น ก็กลายเป็นตัวกำหนดรูปแบบทางสังคมไปด้วย เช่น หากเพื่อนส่วนใหญ่ใช้ iPhone ก็จะแชตกันผ่าน iMessage ซึ่งไม่สามารถทำผ่านสมาร์ตโฟน Android ได้ เป็นต้น
พฤติกรรมนี้ตรงข้ามกับผู้ใช้งานในยุโรปที่ iMessage ไม่ใช่เรื่องสำคัญขนาดนั้น อย่างไรก็ตาม เทรนด์ของคนรุ่นใหม่ในโซนยุโรปก็หันมาใช้ iPhone กันมากขึ้นเหมือนกัน
ที่มา MacRumors
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส