Bang & Olufsen ได้นำลำโพงสำหรับใช้ภายในบ้านสุดคลาสสิกอย่าง Beosound 2 และ Beosound A9 กลับมาอัปเกรดใหม่อีกครั้งเป็น Beosound 2 เจเนอเรชันที่ 3 และ Beosound A9 เจเนอเรชันที่ 5 หลังจากเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2012

จุดเด่นของรุ่นนี้คือทั้งคู่มาพร้อม Mozart ซอฟต์แวร์แพลตฟอร์มสำหรับการเชื่อมต่อและการสตรีมมิงอัจฉริยะ ทำให้สามารถรับซอฟต์แวร์อัปเดตได้ และหากตัวโมดูลตกรุ่นผู้ใช้ก็สามารถเปลี่ยนเฉพาะส่วนนั้นเพียงส่วนเดียวได้

B&O Beosound 2 และ Beosound A9 เจนใหม่นี้มาพร้อมการพัฒนาประสิทธิภาพของ Wi-Fi, การเชื่อมต่อแบบสเตอริโอ และทุกอย่างที่ทำงานร่วมกับแอป Bang & Olufsen รวมถึง AirPlay 2, Spotify Connect และ Google Chromecast โดย Beosound A9 ยังคงเป็นลำโพงดีไซน์ทรงกลมซึ่งออกแบบโดย โอวีนด์ สเลอัตโต (Oivind Slaatto) สามารถปรับระดับเสียงได้จากการใช้มือสไลด์บริเวณผิวของลำโพง และเพียงแค่แตะบน A9 ก็สามารถเลือก ข้าม (skip), เล่น (play) หรือ หยุด (pause) ได้
สำหรับ Beosound 2 ซึ่งเปิดตัวเป็นครั้งแรกในปี 2016 จะเป็นลำโพงวัสดุอลูมิเนียม มาพร้อมเสียงทรงพลัง โดยเทคโนโลยี Active Room Compensation ทำให้ Beosound 2 สามารถจับตำแหน่งที่ตั้งของตัวมันเองภายในห้องและปรับแต่งเอาต์พุตของเสียงให้เหมาะสมกับตำแหน่งนั้น ๆ ได้
ในครั้งนี้ทั้งคู่มาพร้อมตัวเลือกสี ได้แก่ สีใหม่สีดำ (Black Anthracite), สีทอง (Gold Tone) และสีธรรมชาติ (Natural Aluminium) โดย Beosound A9 5th Gen จะวางขายในราคา 3,699 เหรียญ (ราว 129,500 บาท) เริ่มต้นเดือนมีนาคม ในขณะที่ Beosound 2 3rd Gen จะวางขายในเดือนเมษายนด้วยราคา 3,199 เหรียญ (ราว 111,900 บาท)


ที่มา: Stuff
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส