ที่ผ่านมาเรามักจะเห็นคนบอกว่า iPhone มีราคาแพง แพงขึ้น แพงขึ้น แพงขึ้น ความจริงแล้ว Apple ตั้งราคา iPhone ไว้ที่ราคาเดิมมาตลอดในช่วง 5 ปีที่ผ่านมานี้ แต่กลับเป็นผู้ผลิตสมาร์ตโฟน Android เองที่มีราคาที่สูงขึ้นในทุกช่วงราคาเลยล่ะ
ระดับท็อป: แบรนด์จีนเข้าร่วมตลาดเรือธง
ในอดีตเรามักจะเห็นแบรนด์จีนทำสเปกสมาร์ตโฟนแบบ Flagship Killer หรือเน้นสเปกเรือธง แต่ตั้งราคาไม่สูงมาก ทำให้มีเพียง 2 แบรนด์ที่เป็นแบรนด์ระดับพรีเมียมจริง ๆ ทั้งราคาและสเปก ฝั่ง iOS มีแบรนด์เดียวคือ iPhone ส่วน Android คือ Samsung อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตสมาร์ตโฟนเริ่มตระหนักได้ในภายหลังว่าการทำตลาดแบบนี้อาจไม่ใช่ทางออกที่ดีนัก แม้ว่าสเปกจะพรีเมียมจริง แต่สิ่งที่ขาดไปก็คือการทำให้แบรนด์ดูพรีเมียมไปด้วย
เดิมทีสมาร์ตโฟนไฮเอนด์กลุ่ม Flagship Killer จากประเทศจีนจะมีราคาอยู่ที่ 1,999 หยวน หรือประมาณ 10,000 บาทเท่านั้น แต่ช่วงหลังมานี้ ผู้ผลิตแบรนด์จีนได้ขยับราคาของเรือธงขึ้นไปสู่ระดับพรีเมียมของจริง ราคาเริ่มตั้งแต่ 3,999 หยวน ไปจนถึง 10,000 หยวน (20,000 – 50,000 บาท) แต่เนื่องจากภาพลักษณ์เดิม ๆ ทำให้ผู้ซื้อตั้งข้อสงสัยว่าการซื้อสมาร์ตโฟนไฮเอนด์จากจีนนั้น คุ้มค่าจริง ๆ หรือไม่?
นับเป็นความท้าทายของผู้ผลิตสมาร์ตโฟนแบรนด์จีนเนื่องจากแบรนด์จีนมักจะครองตลาดระดับเริ่มต้นไปจนถึงระดับกลาง การปรับตัวเองเพื่อมาเป็นระดับไฮเอนด์เป็นการเปลี่ยนหน้าตาของตัวเองแบบพลิกฝ่ามือ
สมาร์ตโฟน Android ระดับเริ่มต้น-กลางก็ขึ้นราคา
จริง ๆ แล้วไม่ใช่สมาร์ตโฟนระดับเรือธงของจีนเท่านั้นที่มีการขยับราคาขึ้นเพื่อยกระดับความพรีเมียมของตัวเอง แต่สมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นและระดับกลางเองก็ขยับตัวขึ้นด้วยเหมือนกัน
ข้อมูลจาก Counterpoint Research พบว่าในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา สมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นและระดับกลางมีราคาที่สูงขึ้นประมาณ 20% ซึ่งสาเหตุหลัก ๆ มาจากต้นทุนผลิตที่สูงขึ้น ชิ้นส่วนที่ขาดตลาด รวมถึงความผันผวนขอค่าเงินที่ส่งผลต่อต้นทุนการผลิต นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าราคาสมาร์ตโฟนกลุ่มนี้อาจปรับตัวสูงขึ้นอีกราว 10-12% เนื่องจากปัญหาเงินเฟ้อ
ด้วยเหตุนี้เองทำให้ส่วนแบ่งตลาดสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้นเริ่มลดลงด้วย 2 สาเหตุคือมีผู้ใช้งานที่เลือกใช้มือถือของตัวเองนานขึ้น และบางส่วนขยับไปเล่นสมาร์ตโฟนระดับที่สูงขึ้นแทน สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของผู้ผลิตแบรนด์จีนที่พยายามขยับแบรนด์ให้กลายเป็นระดับพรีเมียม
นอกจากนี้นักวิเคราะห์ยังมองว่าตัวเลือกสมาร์ตโฟนราคาถูกจะเริ่มค่อย ๆ น้อยลงเรื่อย ๆ เพราะผู้ผลิตไปเน้นกลุ่มบนมากขึ้นแทน
iPhone ขายราคาเดิมมา 5 ปีแล้ว
นับตั้งแต่ Apple เปิดตัว iPhone X ที่เป็นการปรับราคาครั้งใหญ่ สู่ราคา 999 เหรียญ (ราคาไทย ณ เวลานั้นคือ 40,500 บาท) และขายราคานี้เป็นราคามาตรฐานมาจนปัจจุบันตั้งแต่ iPhone Xs, iPhone 11 Pro, iPhone 12 Pro, iPhone 13 Pro และ iPhone 14 Pro
เปรียบเทียบราคา iPhone ในแต่ละปี
iPhone X (2017)
- iPhone 8 ราคา 699 เหรียญ
- iPhone 8 Plus ราคา 799 เหรียญ
- iPhone X ราคา 999 เหรียญ
iPhone XS/S Max (2018)
- iPhone XS ราคา 999 เหรียญ
- iPhone XS Max ราคา 1,099 เหรียญ
iPhone 11/Pro/Pro Max (2019)
- iPhone 11 ราคา 699 เหรียญ
- iPhone 11 Pro ราคา 999 เหรียญ
- iPhone 11 Pro Max ราคา 1,099 เหรียญ
iPhone 12/Mini/Pro/Pro Max (2020)
- iPhone 12 ราคา 799 เหรียญ
- iPhone 12 Mini ราคา 699 เหรียญ
- iPhone 12 Pro ราคา 999 เหรียญ
- iPhone 12 Pro Max ราคา 1,099 เหรียญ
iPhone 13/Mini/Pro/Pro Max (2021)
- iPhone 13 ราคา 799 เหรียญ
- iPhone 13 Mini ราคา 699 เหรียญ
- iPhone 13 Pro ราคา 999 เหรียญ
- iPhone 13 Pro Max ราคา 1,099 เหรียญ
iPhone 14/Plus/Pro/Pro Max (2022)
- iPhone 14 ราคา 799 เหรียญ
- iPhone 14 Plus ราคา 899 เหรียญ
- iPhone 14 Pro ราคา 999 เหรียญ
- iPhone 14 Pro Max ราคา 1,099 เหรียญ
จะเห็นว่า Apple ตั้งราคา iPhone รุ่นมาตรฐานเอาไว้ที่ 999 เหรียญไม่เคยเปลี่ยนเลยตั้งแต่เปิดตัว iPhone X เมื่อปี 2017 แต่สาเหตุที่ราคาในหลายประเทศมีการขยับขึ้น-ลงเนื่องจากความผันผวนของค่าเงิน ซึ่ง Apple จะมีการปรับตามอยู่แล้ว แต่สำหรับปีนี้อาจไม่เหมือนเดิม เพราะมีข่าวว่า Apple จะปรับราคาของ iPhone รุ่นใหม่ขึ้นเนื่องจากต้นทุนการผลิตและภาวะเงินเฟ้อทั่วโลก โดยเฉพาะ iPhone Pro Max ที่เพิ่มเลนส์ Periscope เข้ามา
ด้วยปัจจัยต่าง ๆ ทั่วโลก คงเป็นเรื่องยากแล้วที่ราคาของสมาร์ตโฟนจะขยับลง ดูทรงแล้วมีแต่จะขยับขึ้นกันท่าเดียว
ที่มา Gizchina, Financial Express, Android Authority
พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส